การทหารเพื่อสันติภาพ ไม่มีสนามรบไหน ‘ไม่จบด้วยการเจรจา’ – Decode

การทหารเพื่อสันติภาพ ไม่มีสนามรบไหน ‘ไม่จบด้วยการเจรจา’

Conflict ResolutionNews
Reading Time: 2 minutes

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในการลงพื้นที่บ้านด่านกลาง ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ คือบังเกอร์หลบภัยที่เต็มไปด้วยภาพการ์ตูนสีสันสวยงาม บังเกอร์แห่งนี้ตั้งอยู่ในโรงเรียนของหมู่บ้าน ถูกสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงและทรัพยากรอันจำกัดของคนในชุมชนเพื่อเป็นที่หลบภัยสำหรับเด็ก ๆ ระดับชั้นอนุบาล หากมองข้ามความสวยงามไป บังเกอร์สีสันสดใสนี้อาจจะไม่สามารถช่วยป้องกันภัยได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกันกับบังเกอร์ในหลายจุดที่ชาวบ้านต้องหางบประมาณกันเองราวกับการทอดผ้าป่าสามัคคี

จริงอยู่ว่าหน่วยการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) พอจะมีประสบการณ์จัดการเรื่องการอพยพหลังจากผ่านเหตุการณ์ปะทะครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมมาแล้ว ครั้งนี้หลายบ้านเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของไว้พร้อมตามคำแนะนำ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติที่ต้องคอยลุ้นตลอดเวลาว่าจะต้องอพยพเมื่อไหร่มาเกือบห้าเดือน พอถึงเวลาต้องอพยพจริง ๆ เป็นครั้งที่สองจากการปะทะครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม ปรากฏว่าคนในชุมชนยังต้องมาขอรับบริจาคกันเองเพื่อหาซื้อข้าวสารอาหารแห้งให้ศูนย์อพยพที่ขาดแคลน

ความทุกข์ยากของประชาชนด่านหน้าในพื้นที่ชายแดนที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรจำกัดของตัวเอง สะท้อนว่าการจัดการวิกฤตที่เน้นยุทธศาสตร์ทางทหารเพียงอย่างเดียวล้มเหลวในการปกป้องความมั่นคงของมนุษย์ ทางออกจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้จึงไม่ใช่การ “ไม่ยอมถอย” ท่าเดียว แต่รัฐควรมียุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมทั้งระยะสั้นและยาวเพื่อดูแลประชาชน และมุ่งหน้าจัดการความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานระหว่างไทย-กัมพูชาด้วยสันติวิธี

เรายังไม่รู้ว่ากองทัพและรัฐบาลรักษาการจะปล่อยให้ชีวิตของประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่กันตามสภาพแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน แต่บทความนี้ทำหน้าที่หยิบยกเอาบางข้อเสนอและแนวทางในการจัดการปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจากหลายภาคส่วนมาให้ช่วยกันพิจารณา

ให้อำนาจท้องถิ่นข้อเสนอจากคนด่านหน้า หวั่นความขัดแย้งยืดเยื้อ

“ผมว่าให้คนในพื้นที่เป็นคนตัดสินใจ อย่างตำบลก็ให้กำนัน หมู่บ้านก็ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่าว่าจะอพยพหรือไม่ เวลาสั่งอพยพพร้อมกันด้วยคำสั่งเดียวกัน มันก็ออกไปหมดพร้อมกันแล้วรถติดมากเลย ครั้งก่อนมียิงผ่านเส้นอพยพด้วย”

สุเทียน ผิวจันทร์ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน บ้านด่านกลาง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีข้อเสนอที่รัฐควรรับฟังหากเชื่อว่าการแก้ปัญหาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางคือทางออก เขาเป็นด่านหน้าของกองหลัง คนที่ทำหน้าที่ดูแลหมู่บ้านช่วงอพยพและต้องนอนหลบในบังเกอร์เพื่อดูแลความเรียบร้อยปลอดภัยตลอดช่วงที่ทั้งสองฝั่งปะทะกัน

“แผนต้องซ้อมบ่อย ๆ เข้าหลุมหลบภัยต้องทำตัวอย่างไร แล้วก็เรื่องวัตถุระเบิด ลูกปืนที่ลงมา ต้องแจ้งชาวบ้านด้วยว่า เอ้อ เห็นลูกลักษณะนี้คือสิ่งนี้ เอาตัวจริงไปให้เขาดูเลยแต่ละหมู่บ้าน ให้เขาศึกษาว่าเวลาคุณเห็นคุณต้องทำอย่างไร เพราะในความเป็นจริงแล้ว เจ้าหน้าที่เขาไม่ได้มาดูพื้นที่ทั้งหมด เป็นชาวบ้านที่ต้องแจ้งไปเพราะเขาต้องเข้ามาดูพื้นที่ของตัวเองอยู่แล้ว บางทีชาวบ้านเขาไม่รู้ไงว่าเป็นลูกอะไร เกิดลองทุบลองอะไรดูมันจะเป็นเรื่องอีก เนี่ยลูกปืนครั้งก่อนยังเอาออกไม่หมดเลย ที่ออกข่าวร้อยกว่าลูกนี่ไม่ใช่นะครับ เกือบพันลูกล่ะมั้งที่ลงในอำเภอกันทรลักษ์”

สุเทียนมั่นใจว่า ความขัดแย้งครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนาน จึงค่อนข้างกังวลกับเรื่องทรัพยากรที่คนในชุมชนยังต้องการมากกว่านี้หากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ปกติที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ 

ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 1.7 พันล้าน สำหรับการสร้างและซ่อมหลุมหลบภัย รวมถึงเยียวยาประชาชนทั้ง 7 จังหวัดชายแดน เงิน 2,000 บาท ที่ครอบครัวของสุเทียนและคนอื่น ๆ ได้รับไม่เพียงพอสำหรับการซ่อมแซมบังเกอร์ที่ชำรุดเสียหาย นอกจากนี้คนในหมู่บ้านต้องการสร้างบังเกอร์เพิ่มให้กระจายตัวกว่าเดิม เพื่อว่าแต่ละครอบครัวจะได้ไม่ต้องวิ่งไปหาบังเกอร์ที่อยู่ไกลบ้านเมื่อเกิดเหตุ พวกเขาจึงใช้วิธีการระดมทุนแบบร่วมด้วยช่วยกันเอง ซึ่งยังไม่พออยู่ดี ทำให้มีหลายบังเกอร์ที่ใช้งานไม่ได้จริง

“ผมมองว่าถ้าเรามีหลุมหลบภัยที่ดีและเพียงพอ เมื่อสถานการณ์การสู้รบมันไม่หนัก ทหารเขายิงสวนกันแค่ในป่าไม่มาถึงหมู่บ้าน ถ้ามีหลุมหลบภัยอย่างน้อยเราประเมินได้ว่าเราจะอพยพหรือไม่อพยพ ถ้าอพยพกันออกไปทั้งหมด งบประมาณที่ศูนย์อพยพใช้เยอะนะ แล้วอีกอย่างการที่เราไปศูนย์ ถ้าอยู่เหมือนรอบแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม มันหลายวัน ชาวบ้านก็เครียด วิตกกังวล คิดถึงบ้าน มันไม่เหมือนเหตุการณ์ปี 2554 ที่สามวันก็จบ”

ประชาชนกว่า 300,000 คน จะต้องอยู่ในศูนย์อพยพอีกนานแค่ไหน สุเทียนเสนอว่า หากการสู้รบยังไม่สิ้นสุดในเร็ววัน ในระยะยาวคนชายแดนต้องการบังเกอร์หลบภัยที่ได้มาตรฐาน ต้องการองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในสถานการณ์การสู้รบ ต้องการทรัพยากรที่จะช่วยสนับสนุนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่จะต้องอยู่เฝ้าหมู่บ้าน ต้องการงบประมาณสนับสนุนที่มากกว่านี้ ที่สำคัญ พวกเขาต้องการให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจแทนที่จะต้องรอฟังคำสั่งจากส่วนกลางอย่างเดียว

การทหารเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ

“ในการทำสงครามมันมีกฎอยู่สามข้อ หนึ่ง ปฏิบัติการทางทหารต้องดำเนินตามนโยบายของรัฐ สอง ต้องมีความชอบธรรม ต้องเป็นไปเพื่อปกป้องตนเอง ไม่ใช่การใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อลงโทษ หรือเพื่อความสะใจ หรือเกิดจากความเกลียดชังอยากทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง สาม ปฏิบัติการทางทหารต้องมีจุดมุ่งหมายสูงสุดเพื่อแสวงหาสันติภาพ เพื่อหาข้อยุติ เพื่อออกจากวิกฤตให้ได้”

ศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยพูดย้ำถึงประเด็นการทหารเพื่อสันติภาพไว้ตั้งแต่การปะทะครั้งแรกในเดือนกรกฏาคม โดยเสนอให้ทั้งฝ่ายการเมือง รัฐบาล กระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองทัพ ทำงานควบคู่กัน แต่อาจารย์พวงทองมองว่า ปัญหาสำคัญคือการที่รัฐบาลยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร และต้องการให้เรื่องนี้จบอย่างไร

รัฐบาลไทยส่งรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าไทยใช้กำลังทหาร ‘เพื่อป้องกันตัวเอง’ โดยอ้างถึงการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามมาตราที่ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ แต่เราควรระลึกไว้ว่า กฎบัตรสหประชาชาติเป็นรากฐานของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ เป็นการสร้างกรอบการทำงานระดับโลกที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือระหว่างรัฐ มาตรา 51 เพียงให้ข้อยกเว้นต่อมาตรา 2(4) ที่ห้ามไม่ให้รัฐคุกคามหรือใช้กำลังต่อกันในกรณีที่รัฐจำเป็นต้องป้องกันตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการสูงสุดของสหประชาชาติ ได้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการอ้างสิทธิในการป้องกันตนเองต้องแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่าง คือความจำเป็นและความได้สัดส่วน

ความจำเป็นในที่นี้คือการที่รัฐต้องตอบคำถามให้ได้ว่า การใช้กำลังเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการโจมตีจากอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ และการใช้กำลังทหารในการป้องกันตัวเองควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อทางเลือกสันติวิธีแบบอื่น ๆ เป็นไปไม่ได้ การเจรจาทางการทูต การร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงให้ช่วยดำเนินการ หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ทางการทหาร ต้องถูกพิจารณาให้ครบถ้วน

คนไทยหลายคนไม่พอใจที่สื่อต่างประเทศต่างพากันพาดหัวข่าวว่า ประเทศไทยเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศใส่กัมพูชา นั่นเป็นเพราะภาพที่โลกเข้าใจคือกองทัพไทยมีแสนยานุภาพและทรัพยากรมากกว่ากัมพูชาชนิดเทียบกันได้ยาก เราจะอธิบายกับโลกอย่างไรว่าการโจมตีทางอากาศใส่ประเทศที่ไม่มีเครื่องบินรบสักลำเป็นการป้องกันตัวเองที่จำเป็นและได้สัดส่วน?

ไม่นับว่าหากผู้นำไทยยังแคร์จุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลกอยู่บ้าง การที่กองทัพไทยติดแฮชแท็กสื่อสารกับประชาชนว่า ‘สันติภาพไม่มีจริง’ นั้นเหมาะสมแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่าหลายประเทศเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหาทางออกด้วยวิธีการเจรจาและใช้สันติวิธี

ผศ.ดร. พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทำงานเรื่องความขัดแย้งมาอย่างยาวนาน ยืนยันเหมือนที่หลายคนได้พูดไว้ ว่า “การเจรจาคือทางออก” จะทำให้ประชาชนชายแดนทั้งสองฝั่งบอบช้ำน้อยที่สุด

“เชื่อเถอะค่ะทั้งโลกใบนี้ ไม่มีสนามรบไหนที่ไม่จบลงด้วยการพูดคุยเจรจาและหาทางออกร่วมกัน งานวิจัยมันมีทั่วโลก เราอยากเป็นผู้นำสันติภาพ หรือเราอยากจะเป็นผู้นำที่ทำให้โลกเขาจำเราว่า อ๋อ ประเทศไทยก็มีผู้นำประเภทนิยมความรุนแรง เราอยากเป็นแบบไหน”

จัดการวิกฤตแบบพลเรือนนำพลทหาร จำกัดพื้นที่ความเกลียดชัง

“การสื่อสารของสังคมเราไปทางเดียวกันหมดเลย มันถูกนำด้วยความเห็นทางยุทธวิธีทางทหารว่า เราจะเอาชนะกัมพูชาอย่างไร ถึงปัจจุบันนี้เรายังไม่เลิกความคิดนี้กันเลย แล้วเราจะหาสันติภาพได้อย่างไรในเมื่อเราอยากจะเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง นี่เป็นปัญหานะครับ”

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผู้สื่อข่าวอาวุโส และนักวิชาการอิสระผู้มีบ้านอยู่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา มองว่าการจัดการและสื่อสารในสภาวะวิกฤตด้วยวิธีคิดแบบทหารเป็นหลักไม่เป็นผลดีต่อสันติภาพและคนชายแดน ที่ผ่านมาพี่น้องชายแดนต้องรอรับข้อมูลผ่านการสื่อสารจากหน่วยงานราชการที่เป็นไปอย่างจำกัด หลายอย่างเป็นความลับทางทหาร รู้กันได้เพียงไม่กี่คน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่จัดการชีวิตได้อย่างยากลำบาก

สุภลักษณ์ย้ำว่า การที่ทหารเป็นคนควบคุมการจัดการวิกฤตในครั้งนี้ คนชายแดนจึงได้รับคำเตือนแบบทหารที่คำนึงถึงยุทธวิธีทางการทหารก่อนความปลอดภัยของประชาชน

“เวลาเขาบอกว่าให้คุณเตรียมพร้อม นั่นคือเขาบอกพลทหารนะครับว่าคุณต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา แต่ว่าประชาชนเนี่ย เราจะต้องออกไปกรีดยางตอนเช้านะครับ จะเตรียมตัวอะไรกันล่ะ เพราะฉะนั้นวิธีรับมือกับวิกฤตมันจึงไปผูกอยู่กับความมั่นคงในเชิงยุทธวิธีทางการทหาร ผมคิดว่านี่เป็นบทเรียนใหญ่”

ในขณะที่ชายแดนลุกเป็นไฟ ทั้งสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ และชาวเน็ตจำนวนมากต่างช่วยกันเติมเชื้อด้วยการผลิตและเสพข่าวสารที่มีเนื้อหาปลุกเร้าและสร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทยและกัมพูชาจนแทบไม่เหลือที่ทางให้กับประชาชนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ ใครเรียกร้องสันติภาพขึ้นมาก็ถูกด่าประณามว่า ไม่รักชาติ ไปจนถึงถูกไล่ให้ไปอยู่ชายแดน

การสื่อสารที่เน้นยุทธวิธีทางการทหารและวาทกรรมชาตินิยม ทำให้พื้นที่ของการสร้างสันติภาพหดแคบลงทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ 

“คนที่อยู่ข้างนอกเชียร์ให้ฆ่าให้รบกัน นี่คนด้วยกันนะครับ ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นทั้งคนไทยและคนเขมร ใจจริง ๆ ก็ไม่อยากให้สู้รบกัน อยากให้อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ แต่ในโลกโซเชียลมันต่างคนต่างคิด ต่างคนก็มาคอมเมนต์กันว่าฆ่าให้ตายไปเลย ล้างเผ่าพันธุ์ไปเลย บางคนก็แค่เอามัน แต่ความเป็นจริงต้องมาดูในพื้นที่ด้วย เพราะคนในพื้นที่ไม่อยากให้รบหรอก ความสงบก็ไม่มี ชีวิตก็ไม่ปลอดภัย อยู่ด้วยความลำบาก อยู่กับความกังวล คนที่อยู่ในพื้นที่เดือดร้อนจริง ๆ”

จากการลงพื้นที่พูดคุยกับคนชายแดน สิ่งหนึ่งที่หลายคนพูดคล้ายกันกับเพชรมนูญ นันทะวงศ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.เมืองเดช อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี คือ การเชียร์ให้รบราฆ่าฟันกันโซเชียลมีเดียไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของคนชายแดนดีขึ้นเลย หลายคนที่เราได้พูดคุยด้วยบอกว่าแทบจะไม่อยากอ่าน ไม่อยากดูคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย เพราะ “ทำให้จิตตกมากกว่าเดิม”

แล้วเราควรสื่อสารอย่างไรในสภาวะวิกฤตแบบนี้? ผศ.ดร. พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา เสนอว่าสิ่งที่รัฐควรทำคือการจำกัดพื้นที่ความโกรธและเกลียดชัง

“พอมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สิ่งที่เราควรจะสื่อสารกับประชาชนข้างนอกก็คือว่า ขอให้เราช่วยกันตั้งสติ และช่วยกันดูว่าเราจะช่วยกันยุติความรุนแรงและพาสังคมไทยไปสู่การเข้าอกเข้าใจได้อย่างไร ถ้ารัฐไม่รู้เท่าทันและไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นลบยากมาก นี่คือสิ่งที่รัฐมีกลไกนะ มีกสทช. มีกระทรวงดีอี มีกระทรวงศึกษา มีสารพัดกระทรวง”

แผนที่ ‘เครือญาติ’ เราจะสร้างความไว้วางใจระหว่างกัมพูชา-ไทยได้อย่างไร

เมื่อคุยกันถึงการแก้ปัญหาในระยะยาว หากรากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และความสูญเสียที่คนชายแดนและครอบครัวของทหารกล้าต้องเผชิญ คือเรื่องแผนที่และการแบ่งเขตแดน จริง ๆ แล้วเรามีกลไกและเครื่องมือทั้งเก่าและใหม่ในการแก้ไขปัญหานี้ แต่การปะทะทางการทหารทำให้เห็นชัดเจนว่า การแก้ปัญหาด้วยเทคนิคและกลไกที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขความขัดแย้งที่เรื้อรังได้ ไม่เช่นนั้นเราคงจะได้เห็นบทบาทของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission หรือ JBC) ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าปัจจุบัน

บทสนทนาระหว่าง Pou Sothirak ที่ปรึกษาอาวุโสของศูนย์ศึกษาภูมิภาคกัมพูชาในกรุงพนมเปญ และอดีตเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำญี่ปุ่น กับอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ผู้เขียนหนังสือ ‘กำเนิดสยามจากแผนที่’ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ อาจารย์ธงชัยกล่าวว่า เราไม่สามารถคุยกันเรื่องแผนที่ได้หากทั้งสองประเทศไม่แก้ปัญหาอื่นก่อน 

“เพราะถ้าเราไม่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ก็ไม่มีทางที่คุณจะวาดแผนที่ได้ นี่คือปัญหาที่แก้ไม่ได้ เว้นแต่ว่าทั้งสองประเทศจะตกลงกัน เว้นแต่ว่าทั้งสองประเทศจะมีความสัมพันธ์ที่ดี เว้นแต่ว่าทั้งสองประเทศจะเป็นมิตรกัน ถึงตอนนั้นมันถึงจะแก้ไขได้ และจะแก้ไขได้จบสิ้นไปเลย เหมือนกับที่หลายประเทศในยุโรปต่อสู้กันมาหลายศตวรรษ มีผู้คนหลายล้านคนเสียชีวิต ในที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผมคิดว่า พวกเขาคงตระหนักได้เสียทีว่ามันเป็นเรื่องที่งี่เง่า วิธีที่ดีกว่าคือการนั่งลงเจรจากัน พื้นที่ไหนแก้ไขเรื่องเขตแดนไม่ได้ก็ทำให้เป็นการพัฒนาร่วมกัน เจรจา และตกลงกันเรื่องการจัดเก็บภาษี ทุกฝ่ายแฮปปี”

ในขณะที่เรายังไม่เห็นนักการเมือง และผู้นำทั้งสองประเทศแสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติวิธี และใช้กลไกเครื่องมือที่มีในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ที่บ้านด่านกลาง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ คนในชุมชนมีข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเขตแดนโดยใช้ความสัมพันธ์เครือญาติของคนทั้งสองฝั่ง 

ย้อนกลับไปสิบปีก่อน สุเทียนและคนในชุมชนจำนวนหนึ่งเคยสร้างทีมวิจัยเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ชุมชนท้องถิ่นชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนหน้าที่รัฐชาติจะขีดเส้นพรมแดนแบ่งสองประเทศ คนฝั่งไทยและกัมพูชาเคยไปมาหาสู่กันตามประสาเครือญาติมาก่อน การทำงานวิจัยในครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมและรื้อฟื้นความสัมพันธ์เครือญาติที่เชื่อว่าสามารถช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศในมิติที่ความสัมพันธ์แบบรัฐอาจจะทำไม่ได้

สิบปีผ่านมาจนถึงการปะทะกันในปัจจุบัน สุเทียนพูดถึง “หมู่บ้านกันชน” โดยเสนอให้จัดสรรที่ดินสำหรับคนที่เคยทำกินอยู่แนวชายแดนในพื้นที่ที่ยังไม่ปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน

“ถ้าให้ชาวบ้านฝั่งเราไปอยู่ เวลาปักปันเขตแดนมันจะง่ายขึ้นทั้งที่เราล้ำไปและที่เขาล้ำมา เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาเป็นญาติกัน มันจะทำให้ความขัดแย้งซอฟต์ลง ตอนนี้ที่ฝั่งเขาไม่ยอมเพราะว่าเขาล้ำขึ้นมาฝ่ายเดียวนะ ฝ่ายเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ พอเขาย้ายขึ้นมาแล้วเราจะไปแบ่งเขตแดนกันตรงที่เขาทำเสร็จแล้วเหรอ? พูดแบบง่าย ๆ ในเมื่อคุณไม่ไปอยู่ ผมก็ไปอยู่ แล้ววันหนึ่งคุณอยากได้หลังจากผมสร้างที่ของผมเสร็จแล้ว ทำไมคุณไม่มาคุยตั้งแต่ตอนแรก ถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ มันก็จะมีปัญหามากขึ้น ฝั่งโน้นขยับมา ฝั่งเราก็ไม่พอใจใช่ไหม แล้วก็รบกันอีก”

แม้ความขัดแย้งรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อการสานต่อความสัมพันธ์ของเครือญาติไทย-กัมพูชา เพราะต่างฝ่ายต่างก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะติดต่อสื่อสารกันอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกอย่างถูกจำกัดด้วยความมั่นคงทางทหาร แต่ปฏิเสธได้ยากว่า ความสัมพันธ์เครือญาติที่มีมานานหลายปีดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอเหลืออยู่ ท่ามกลางมวลความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่าย ที่อาจจะช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและทำให้ไทย-กัมพูชาเดินหน้าต่อไปด้วยกันได้ หากคนในท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรงมากกว่าที่เป็นอยู่