เลือกแล้วที่จะ… – Decode
Reading Time: 2 minutes

เพราะมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้

สิทธิพล ชูประจง

ผมมักพบคนป่วยที่พูดได้ว่า อาการหนักหนาสาหัสมาแล้วหลายต่อหลายคนและทั้งหมดเขาคือคนไร้บ้าน จุดร่วมของพวกเขาที่พบนอกเหนือจากอาการป่วยที่หนักหนาและความเป็นคนไร้บ้าน พวกเขามักปฏิเสธการช่วยเหลือให้ได้เข้าสู่การรักษาในโรงพยาบาล ทำไมเขาถึงเลือกแบบนั้น ทำไม… เป็นคำถามค้างคาใจอยู่พอสมควร คำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบจากเจ้าตัว คนที่เลือกแล้วที่จะไม่ไปโรงพยาบาล

วันหนึ่งผมได้รับการแจ้งจากพลเมืองดีว่าเขาพบคนแก่คนหนึ่งอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ชายชราคนดังกล่าวนอนเหยียดยาวอยู่ที่ป้ายนั่งของป้ายรถเมล์ที่เป็นสแตนเลสและเย็นยะเยียบ คนแก่นั้นไม่มีบทสนทนาใดกับใคร ใครต่อใครที่ผ่านไปมาที่อนุสาวรีย์ชัยและรู้สึกเป็นห่วงดูดายไม่ได้ที่มักแวะเข้าไปไถ่ถาม “ไปหาหมอมั้ยตา ไปหาหมอมั้ยปู่” คำถามห่วงใยและบอกถึงกายภาพที่สูงอายุของแก

เมื่อผมไปถึงอนุสาวรีย์ชัย พบร่างแกนอนเหยียดยาวบนที่นั่งป้ายรถเมล์อันเย็นยะเยือกนั้น เมื่อเข้าใกล้ไปอีก ภาพตรงหน้าคือชายชราร่างพอประมาณ เสื้อผ้ามอม มันคือความมอมจากสีที่ซีดแล้วซีดอีกทั้งจากการซัก เนื้อผ้ามันบางจนแทบจะหลุดลุ่ยทั้งเสื้อและกางเกง แขนขาร่างกายไม่ได้ผอมเกร็ง สังเกตได้ว่าเนื้อหนังมีรอยดำจากการไม่ได้อาบน้ำท่ามาในระยะหนึ่ง เมื่อสายตาจับจ้องไปที่ใบหน้า หนวดเคราที่ขาวโพลนและมันเต็มไปด้วยเมือกน้ำมูก ทั้งที่แห้งไปบ้างแล้วและยังเหนียวใสปนกับขุ่นข้น ดวงตาหลับอยู่ แต่เมื่อเรียก ดวงตาบ่งบอกถึงความขุ่นและหามีแววใดไม่

เมื่อเริ่มพูดคุยสอบถาม เรี่ยวแรงไม่มีแสดงออกมาจากเสียงอันเบาและแห้งแหบ “ตาเป็นอย่างไงบ้าง” คำถามที่ไม่มีคำตอบ “ตาไปโรงพยาบาลมั้ย” คำตอบมีอย่างแผ่วเบา “ไม่ไป” คนฟังยังไม่ลดละความพยายาม “ทำไมถึงไม่ไปล่ะ” เสียงเงียบในความอึกทึกของอนุสาวรีย์ชัยฯ ผมปล่อยให้แกได้นอนต่อ และเดินออกมาเลียบ ๆ เคียง ๆ มาถามหาข้อมูลผู้ป่วยและสาเหตุที่แกไม่ไปโรงพยาบาล วินมอเตอร์ไซค์ให้ข้อมูลว่า เมื่อวานก็มีรถพยาบาลฉุกเฉินมาจอดหน้าแกเลย แต่พอเจ้าหน้าที่รถพยาบาลเดินเข้ามาถามว่าแกไปโรงพยาบาลมั้ยอยู่หลายครั้ง แกตอบอย่างเดียวว่า “ไม่ไป” สักพัก รถและคนก็เคลื่อนตัวออกไป แต่ชายชราที่ป่วยไข้ก็ยังอยู่ที่เดิม

วินมอเตอร์ไซค์ถามคำถามค้างคาใจว่า ทำไมไม่ยกตัวแกขึ้นรถพยาบาลไปเลยนะ ผมจึงช่วยอธิบายให้พี่วินได้เข้าใจว่าทำไมถึงยกผู้ป่วยไปเลยไม่ได้ “การจะทำการรักษาผู้ป่วยในทุกครั้งต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยครับ มันเป็นกฎหมายตามพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติครับถ้าผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะ สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ จะไม่สามารถบังคับอะไรผู้ป่วยได้เลยครับ ยกเว้นผู้ป่วยสิ้นสติหรือไม่มีสติสัมปชัญญะ ทางแพทย์พยาบาลสามารถทำการรักษาโดยไม่ต้องรอถามไถ่ผู้ป่วยได้เลยครับ” พี่วินมอเตอร์ไซค์พยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับข้อมูลที่ผมให้ไป

เมื่อได้ข้อมูลมาระดับหนึ่ง การตัดสินใจในหัวก็เริ่มขึ้น มันเริ่มต้นจากอยากให้ชายชราได้เข้ารับการรักษา แต่ก็ถามหาเหตุผลที่ว่าทำไมแกถึงไม่ยอมที่จะไปโรงพยาบาล แกไม่มีเงินเลยกลัวการไปโรงพยาบาลแล้วจะเสียเงินมั้ย แกคงไม่รู้ว่าจะไปอย่างไง ไปแล้วใครจะดูแลแกที่นอกเหนือหมอกับพยาบาล หลังจากคิดในหัวเรียบร้อยแล้ว ทุกเหตุผลที่ประเมินไว้ จึงนำมาบอกกับแก

“เรื่องค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาล ตาไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวทางผมจะจัดการดูแลเอง”

“เดี๋ยวมีรถพยาบาลมารับนะตา แล้วเดี๋ยวผมไปกับรถพยาบาลด้วย ไม่ต้องห่วงผมจะคุยกับโรงพยาบาลให้”

“ถ้าตานอนที่โรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทิ้งนะ เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมทุก ๆ วันเลย

คำตอบคือสายลมไม่ใช่อยู่ในสายลมเลยสักนิดเดียว แกเงียบงัน มือเริ่มยกปัดขึ้นมาไล่

ในหัวแม้รู้ว่า ถ้ารถพยาบาลจะนำส่งแกไปโรงพยาบาลได้นั้นต้องเริ่มจากความยินยอมของแก แต่ก็อยากทดลองในเหตุผลว่า เผื่อรถพยาบาลมาและเพื่อแกได้ใคร่ครวญตัดสินใจจากข้อมูลที่ให้แกไป แกน่าจะตัดสินใจอีกแบบ คำตอบที่อยากได้ยินคือ “ไปโรงพยาบาล” ผมจึงเริ่มประสานรถพยาบาลมาทันที ทางปลายสายก็แจ้งว่าเคยมีรถพยาบาลมารับแล้วนะคะ แต่ผู้ป่วยก็ไม่ยอมไป แต่ด้วยความดื้อด้านจึงให้เหตุผลว่าอยากให้ทางเจ้าหน้าที่พยาบาลมาถามแกอีกครั้งครับ เพราะดูสภาพร่างกายแกไม่ค่อยไหวแล้ว ปล่อยแบบนี้แกตายที่ป้ายรถเมล์แน่ ๆ ครับ รถพยาบาลรับด้วยเหตุผล สักชั่วอึดใจหนึ่ง จึงมาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ชัยฯ

เจ้าหน้าที่ลงรถมา สอบถามขอวัดความดัน วัดระดับออกซิเจน วัดไข้ และถามคำถามสำคัญ “ตาไปโรงพยาบาลมั้ย” ไม่ทันที่เสียงถามจะสิ้นเสียง แกตอบอย่างไม่ต้องคิด “ไม่ไป” คำถามเป็นครั้งที่สองของเจ้าหน้าที่พยาบาลดังขึ้นอีกครั้ง “ตาไปโรงพยาบาลมั้ย” เสียงเบา ๆ แต่ได้ยินชัดพร้อมกับมือโบกไล่ “ไม่ไป ไม่ไป” ทางเจ้าหน้าที่รถพยาบาลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินออกมา พร้อมกับแจ้งผู้ที่เรียกรถพยาบาลมาก็คือผมว่า เขาไม่สามารถจะบังคับรักษาผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เดินขึ้นรถพยาบาล และรถก็แล่นออกไป ความอึกทึกของเสียงรถราที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เข้าครอบครองแทนที่ฉากเหตุการณ์ที่พึ่งจบลงไป

ผมทำได้แค่บอกลาตัวชายชรา บอกเพียงว่า “พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมหาใหม่นะ” ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม และคนพูดก็ไม่ได้คาดหวังเสียงใดตอบออกมา

วันรุ่งขึ้น การเดินทางไปที่ที่หมายเริ่มอีกครั้ง มาทำในภารกิจเดิม ถามแก บอกแก หวังใจไว้ว่าแกจะตัดสินใจใหม่ว่าจะไปหาหมอ ทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีคำตอบที่แม้แต่อยู่ในสายลม

วันต่อมา การเดินทางไปที่หมายก็เริ่มอีกครั้ง มาทำในภารกิจเดิม ถามแก บอกแก หวังใจไว้ว่าแกจะตัดสินใจใหม่ว่าจะไปหาหมอ แต่วันนี้ไม่พบแก ไม่พบชายชราที่นอนเหยียดยาวบนที่นั่งสแตนเลสที่เย็นยะเยียบนั้นแล้ว ผมเดินตรงไปหาพี่วินมอเตอร์ไซค์คนเดิม พี่วินบอกเล่าว่ามีรถมาเอาแกไปแล้ว แต่ไม่ใช่รถโรงพยาบาลแต่อย่างใด รถนั้นเป็นรถของมูลนิธิหนึ่งที่มารับแก มารับแกไปในสภาพที่ไม่มีลมหายใจอีกแล้ว ใช่แกเสียชีวิตแล้ว ในหัวเกิดคำถามขึ้นทันใด นึกหาคำตอบอย่างฉับพลัน คำถามที่ไม่มีคำตอบชัดเจนว่าทำไมคนป่วยขนาดนี้ถึงไม่ยอมที่จะไปรับการรักษา คำตอบที่ชัดเจนตายไปพร้อมกับชายชราคนดังกล่าวแล้ว