อัลกอริทึ่มของความรุนแรงทางเพศ ในโลกที่ 'บิ๊กเทค' มีอำนาจเทียบเท่า 'รัฐ' ใครเป็นผู้ขีดเส้นเสรีภาพ - Decode
Reading Time: 6 minutes

นับตั้งแต่ปี 2566-2568 เกิดการเลือกตั้งทั้งเล็ก-ใหญ่ ในสนามการเมืองระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ รวมไปถึงประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน แต่ไม่ได้มีเพียงความคุกรุ่นทางการเมืองที่ร้อนแรงระหว่างการเลือกตั้ง แต่ยังพบว่าเกิดการใช้ความรุนแรงบนโลกออนไลน์ที่ยังเลือก ‘เพศ’ และหลังการเลือกตั้งมีแนวโน้มว่าความรุนแรงนี้ กลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ในโซเชียลมีเดีย

ข้อมูลจากงานวิจัยจาก Co-fact Thailand และ Neo Momentum ระบุว่า ปริมาณของข้อมูลบิดเบือน (malinformation) หลังการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2568 ได้เผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของเนื้อหาที่เป็นอันตรายในสื่อสังคมออนไลน์อย่างมีนัยสำคัญ

ในวันที่ AI ไม่ได้แค่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ตัวเลขวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า AI Generate และอัลกอรึทึมทำให้ความรุนแรงยังเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น และทำให้ชีวิตจริงของนักการเมืองหญิงหลายคนยากขึ้น

เส้นบาง ๆ ของการกำกับควบคุมและอำนาจที่ล้นมือรัฐและบริษัทเทคฯ ต้องสร้างสมดุลเพื่อมอบพื้นที่ปลอดภัยข้ามพรมแดนให้กับประชาชน เมื่อปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของนักการเมืองหญิง แต่เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ของเราทุกคน

นับ ‘ล้านครั้ง’ ที่ผลิตซ้ำความเกลียดชังทางเพศ แผลทางใจที่ไม่จบแค่ช่วงเลือกตั้ง

“ความรุนแรงทางโลกออนไลน์ที่มีต่อนักการเมืองหญิง มันสร้างบาดแผลที่ลึก และส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้ในโลกความเป็นจริง ในบางส่วนของการเก็บข้อมูล มีนักการเมืองหญิงให้สัมภาษณ์กับเราด้วยซ้ำ ว่ายอมให้เกิดความรุนแรงทางร่างกายซะยังดีกว่า เพราะความรุนแรงทางจิตใจมันแก้ยากมาก หรือบางแผลก็ไม่มีวันหายเลยด้วยซ้ำ”

สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้ก่อตั้ง Stop online harm เล่าถึงผลวิจัย Women’s Political Leadership in ASEAN โดย Westminster Foundation for Democracy (WFD) ว่าการคุกคามออนไลน์เป็นปรากฏการณ์ที่แพร่หลาย รุนแรง และมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการทำงาน สุขภาพจิต และชีวิตส่วนตัวของผู้หญิงผู้นำทางการเมือง

ความรุนแรงเหล่านี้มิได้พุ่งเป้าให้เกิดความเสียหายทางร่างกาย แต่หวังผลทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ต้องการให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสูญเสียความน่าเชื่อถือ ลดทอนศักยภาพหรือภาพลักษณ์ต่อสาธารณะ ความรุนแรงทางเพศในโลกออนไลน์ หรือความรุนแรงทางเพศที่สนับสนุนโดยเทคโนโลยี (Technology-facilitated Gender-based Violence -TFGBV)

สายใจได้กล่าวถึงที่มาของตัวเลขในวิจัยนี้ โดยได้วิเคราะห์กรณีศึกษามากกว่า 436 กรณีจาก Facebook และ Twitter (X) โดยใช้คีย์เวิร์ดที่ใช้ในการด่าทอผู้หญิง ข้อความเหล่านี้ถูกแชร์มากกว่า 20,000-40,000 ครั้ง ทำให้มีข้อความที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียมากกว่าล้านข้อความ และการสัมภาณ์เชิงลึกกับนักการเมืองหญิงไทยอีก 18 คน

การผลิตซ้ำข้อความความเกลียดชังทางเพศ ไม่เพียงแต่จะเป็นจำนวนตัวเลขกว่า 1 ล้านครั้ง แต่ยังหมายถึงความเจ็บปวด คราบหน้าตา และแผลเหวอะในใจที่ไม่จบแค่ในหน้าจอของนักการเมืองหญิง เมื่อการคุกคามไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่ช่วงเลือกตั้งเท่านั้น

สายใจ เล่าถึงหนึ่งในการสัมภาษณ์ที่ใช้เป็นฐานข้อมูลในวิจัยฉบับนี้ว่า “ความรุนแรงในโลกออนไลน์ เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับนักการเมืองหญิงในโลกความเป็นจริง สิ่งที่ได้พบเจอมาเป็นเรื่องราวของนักการเมืองหญิงท่านหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นักการเมืองหญิงท่านนี้ ได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อผู้หญิงโดยการรับสมัครเข้าเลือกตั้งเป็นนักการเมืองหญิงท้องถิ่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

มีอยู่วันนึง อยู่ในช่วงระหว่าง International Woman Day หรือวันสตรีสากล นักการเมืองหญิงท่านนี้ได้ถือป้ายป้ายนึง เพื่อไปยืนประท้วงว่า Woman Rights is human rights  สิทธิสตรีคือสิทธิมนุษยชน ป้าย ๆ นั้นได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล เพราะว่า มีคนเอาภาพที่เธอถือป้าย ไปตัดต่อเป็นคำที่ว่า “ฉันกำลังหาผัวนะ”  

นี่เป็นตัวอย่างของการใช้ AI  ไปตัดต่อภาพนั้น โดยที่นักการเมืองหญิงท่านนั้นก็ยังถือป้ายป้ายนี้อยู่ ภาพ ๆ นั้นได้ถูกเผยแพร่ไปในหลายตำบล Line กลุ่มของจังหวัดที่เธอเลือกตั้ง ณ วันนั้น เธอเล่าให้ฟังว่า วันถัดมาเธอจะได้ รับการขึ้นเวทีไปเสวนา แต่หลังจากที่คนที่ได้รับภาพ ๆ นั้นเห็น ก็บอกเธอว่า ไม่ต้องมาแล้วนะ พรุ่งนี้เธอก็ไม่ได้ไปขึ้นเวที หลังจากวันนั้น พอลูกชายไปโรงเรียน เพื่อนที่โรงเรียนก็ล้อว่า แม่เธอกำลังหาสามีใหม่ ลูกชายก็ไม่กล้าไปโรงเรียน สามีที่มีอยู่ พอเดินออกไปนอกบ้านก็ถูกทุกคนถามว่า ภรรยาเธอทำไมถึงหาสามีใหม่

เรื่องราวของนักการเมืองหญิงท่านนี้มันแสดงให้เห็นชัดว่า “ความรุนแรงมันแพร่กระจายไปถึงคนรอบข้างและสร้างความเจ็บปวดให้กับนักการเมืองคนนั้นอย่างที่สุด”

สายใจได้อธิบายถึงผลวิจัยต่อว่า Facebook และ X (Twitter เดิม) คือพื้นที่สื่อโซเชียลมีเดียหลักที่นักการเมืองหญิงในไทยถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง จากการวิเคราะห์ 456 กรณี ภายหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 พบว่ามีการโจมตี 262 กรณีบน Facebook และ 194 กรณีบน X โดย Facebook ถูกใช้ในการทำแคมเปญโจมตีระยะยาว เช่น การคอมเมนต์ซ้ำ ๆ ใต้โพสต์หรือแชร์ข้อมูลเท็จ ส่วน X ถูกใช้เพื่อขยายการคุกคามอย่างรวดเร็วผ่านการทำแฮชแท็กหรือการโพสต์แบบไวรัล ตัวอย่างเช่น การโพสต์โจมตีที่ล้อเลียนนักการเมืองหญิงบางคน มีการรีทวีตกว่า 2,000 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

เนื้อหาการคุกคามมีเป้าหมายชัดเจนในการลดทอนความน่าเชื่อถือและศักดิ์ศรีของนักการเมืองหญิง

31.7% เป็นการทำลายชื่อเสียง เช่น การกล่าวหาว่าไร้ความสามารถหรือขาดคุณธรรม 

20.7% เป็นการดูหมิ่นและลดคุณค่าทางสังคม เช่น การใช้สรรพนามเหยียดหยาม 

16.4% เป็นการโจมตีด้วยเรื่องเพศ เช่น การเผยแพร่ภาพลามกตัดต่อ (deepfake) หรือการล้อเลียนรูปลักษณ์ 

13.3% เป็นการล้อเลียนผ่านมีม วิดีโอตัดต่อ หรือคำนินทาในโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง

โดยรูปแบบการโจมตีแต่ละแพลตฟอร์มก็ไม่ได้มีลักษณะเหมือนกัน โดยการคุกคามทาง Facebook   ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้โจมตีระยะยาว โดยที่การหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เพื่อให้สิ่ง ๆ นั้นติดตลาด ส่วนการคุกคามทาง X หรือทาง Twitter   ส่วนใหญ่จะเป็นการโจมตีระยะสั้น เป็นแคมเปญระยะสั้น แฮชแท็ก แล้วก็ให้มีคนแชร์หลาย ๆ ครั้ง

สายใจยังกล่าวด้วยว่า จากรูปแบบการคุกคามนักการเมืองหญิงนั้น จะมุ่งเป้าไปที่ 2 เป้าหมาย คือ 1. Discredit คือการทำลายภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น และ 2. Devalue คือการลดทอนคุณค่าของนักการเมืองหญิง เมื่อเราทำลายภาพลักษณ์หรือชื่อเสียงแล้ว  ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือต่อไป  นี่คือเป็นเทคนิคเพื่อทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือและทำให้นักการเมืองไม่เชื่อมั่นในตัวเองด้วยเช่นกัน

“พฤติกรรมหลักเลยที่เราเห็นก็คือ การใช้บัญชีปลอม  เพื่อที่จะไม่สามารถจับได้ว่า ใครเป็นคนทำ ตัวอย่างเช่น จะมีบัญชีใหม่เปิด 50 บัญชี แล้วก็โพสต์เดียวกันในเวลากว่า 24 ชั่วโมง นี่เป็นเคส study ที่เราค้นพบ มีบัญชีใหม่เปิด ภายใน 24 ชั่วโมง แล้วก็มีการโพสต์ข้อมูลเดียวกันตลอด 50 กว่าโพสต์ 

นี่เป็นตัวอย่างที่ว่ามันไม่ได้เป็นกรณีที่ใครคนใดคนหนึ่งที่เกลียดนักการเมืองหญิง แต่การเป็นการทำอย่างเป็นระบบ  และการคุกคามนี้ยังคิดต่อด้วยว่าจะทำให้ติดตลาด การที่ทำให้ติดตลาดและการใช้แฮชแท็ก เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้มันอาจจะเริ่มจากตัวที่ไม่ใช่เป็นตัวคนจริง แต่การใช้แฮชแท็ก เป็นการทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าร่วมแคมเปญแล้วก็ติดแคมเปญ ติดเทรนด์” สายใจ กล่าว

การศึกษานี้พบว่า การโพสต์ข้อความเชิงคุกคามมักใช้เทคนิคเพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับอัตโนมัติโดยระบบของแพลตฟอร์ม เช่น การสะกดคำผิด การใช้ตัวอักษรไทยปนอังกฤษ และการใช้สัญลักษณ์หรืออีโมจิ เช่น รูปสตรอว์เบอร์รี เพื่อสื่อความหมายว่า คนโกหก นอกจากนี้ยังมีการใช้แฮชแท็กที่วางแผนมาอย่างดี เพื่อกระตุ้นให้กระแสความเกลียดชังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวางขึ้น

“โดยในการคุกคามนี้ไม่ได้มีเพียงบัญชีปลอมที่ถูกใช้เท่านั้น แต่ยังมีบัญชีที่เป็นชื่อจริงเพื่อให้การคุกคามนี้สร้างภาพจริงยิ่งขึ้น โดยจะอาศัยพฤติกรรมในช่วงแรกว่า อาจจะใช้บัญชีปลอมในการแชร์สิ่ง ๆ นั้น หลังจากการใช้บัญชีปลอมแล้วทำให้บุคคลทั่วไปรู้สึกว่า เราก็สามารถจะ Harass เขาได้  อันนี้ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่ง คราวนี้คำถามเราพูดถึงลักษณะเราพูดถึงข้อความในการโจมตี คราวนี้คำถามก็คือว่า ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังของการโจมตี อันนี้เป็นคำตอบที่ตอบยาก” สายใจ กล่าว

การคุกคามเหล่านี้มีผลต่อความรู้สึกทางจิตใจ เครียด เศร้า ถัดมาคือ ถูกคุกคามในชีวิตจริง มันไม่ได้เกิดขึ้นในออนไลน์ ถูกขู่เอาชีวิตผ่านข้อความ สายใจเล่าว่า บางคน ก็บอกว่าได้รับพิกัดบ้าน ส่งพิกัดบ้านตัวเองมาให้ หรือบอกว่า ถ้าออกจากบ้านหรือทำอะไรตามสิ่งนี้ จะมาที่บ้าน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันเพิ่มความปลอดภัย การคุกคามบนโลกออนไลน์ทำให้ชีวิตประจำวันที่มีอยู่เปลี่ยนไป เพราะความกลัว

‘บิ๊กเทค’ ต้องรับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชนไม่ต่างจาก ‘รัฐ’

ปัญหาความรุนแรงทางเพศบนโลกออนไลน์เป็นปัญหาที่ยิ่งนานวัน ยิ่งมีความซับซ้อนและจับทางได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกรอบของกฏหมายทั้งกฏหมายประเทศไทยและกฏหมายสากล ยังตีความได้กว้างจนอาจเป็นเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างเสรีภาพและการคุกคามบนโลกออนไลน์ และทำให้สิทธิมนุษยชนหลากมิติบนโลกออนไลน์กำลังถูกริดรอน

ผศ. ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยอมรับว่า แม้ว่าการหาตัวผู้กระทำผิดจะเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะบังคับใช้กฏหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ถูกตกเป็นเป้าหมายในความรุนแรงบนโลกออนไลน์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้เองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพื่อป้องกันและหาทางแก้ให้กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้มรุนแรงและถี่มากขึ้นในปัจจุบัน

“แม้ว่าโลกออนไลน์คือพื้นที่ของบริษัทเอกชน หรือที่บางทีเราเรียกกันกลุ่มบริษัทเหล่านี้ Big Tech แต่เพราะพวกเขามีบทบาทสูงมากในโลกยุคปัจจุบัน ด้วยความที่เขามีอำนาจทางเทคโนโลยี  มันก็เลยสามารถที่จะควบคุมพฤติกรรม หรือส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนได้อย่างมหาศาล บริษัทเอกชนเหล่านี้จึงต้องมีความรับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกับรัฐ ซึ่งเป็นแนวคิดที่องค์การสหประชาชาติและองค์กรต่าง ๆ เริ่มผลักดันผ่านแนวปฏิบัติเพื่อให้บริษัทเอกชนต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างจริงจัง” ผศ.ฐิติรัตน์ กล่าว

อาจารย์อธิบายต่อว่า แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบของบริษัทต่อสิทธิมนุษยชนไม่ได้อิงอยู่กับระบบกฎหมายของรัฐเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ใช่ทุกรัฐที่มีความสามารถหรือความตั้งใจบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ์ ดังนั้น จึงเกิดความเคลื่อนไหวที่มุ่งเรียกร้องบริษัทโดยตรงให้รับผิดชอบผ่านกลไก “โดยสมัครใจ” เช่น UN Global Compact ที่บริษัทใหญ่ ๆ เข้าร่วมและรายงานสิ่งที่ทำเพื่อสิทธิมนุษยชน แต่รายงานเหล่านี้ก็อาจขาดการตรวจสอบที่เป็นอิสระ

เมื่อบริษัทเทคโนโลยีกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจสูงสุดในโลก เครือข่าย Digital Global Compact จึงเกิดขึ้นเพื่อให้บริษัทดิจิทัลกำหนดนโยบายตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล บางบริษัทถึงขั้นประกาศว่าจะไม่ทำตามกฎหมายของบางประเทศหากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน แต่คำถามสำคัญคือ เราจะไว้วางใจบริษัทได้แค่ไหน เพราะต่างจากรัฐ บริษัทไม่มีระบบตรวจสอบประชาธิปไตยแบบที่รัฐมี

แนวโน้มที่ดีคือ บริษัทบางแห่งเริ่มเปิดรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ ภาคประชาสังคม หรือชุมชน เพื่อปรับนโยบายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายว่า นโยบายเหล่านั้นจะสามารถใช้ได้จริงในสถานการณ์จริงหรือไม่ และเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อกำกับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มนั้นมีประสิทธิภาพจริงเพียงใด ยังเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงต่อไป

ผศ.ฐิติรัตน์ กล่าวต่อว่า ในบริบทที่กฎหมายไทยยังไม่พร้อมและหน่วยงานรัฐยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเชิงดิจิทัลอย่างจริงจัง บริษัทเทคโนโลยีควรดำเนินการสองเรื่องหลัก คือ

1. มีนโยบาย (Policy) ที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากล และต้องสะท้อนบริบทของประเทศไทยด้วย ซึ่งจำเป็นต้องรับฟังเสียงจากภาคประชาสังคม เช่น NGO และชุมชน

2. มีเครื่องมือทางเทคโนโลยี (Tools) ที่มีประสิทธิภาพ และต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับนโยบาย

อย่างไรก็ตาม นโยบายของบริษัทเทคมักมีความซับซ้อน เข้าใจยาก และการใช้งาน Tools ต่าง ๆ เป้าหมายที่ถูกคุกคามที่ต้องการจะร้องเรียนต่อแพลตฟอร์มยังต้องอาศัยความเข้าใจระบบ เช่น การรายงานเนื้อหาที่ผิดต้องทำให้ถูกช่องทางจึงจะมีผล และจากหลักฐานที่ผ่านมา ยังมีคนจำนวนมากไม่รู้ช่องทางที่ถูกต้องจึงทำให้การร้องเรียนมันตกหล่นและเงียบหายไป ซึ่งชี้ให้เห็นความจำเป็นของผู้ช่วย หรือคนกลางที่เข้าใจระบบเหล่านี้ในการช่วยเหลือผู้ใช้งาน

‘อัลกอริทึ่ม’ เร้าความเกลียดชังและความรุนแรง จนกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่

ด้าน กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษา Cofact Thailand ก็กล่าวถึงปัญหานี้เช่นกัน ที่บริษัทเทคฯ ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ต้องเอื้อและช่วยเหลือต่อการร้องเรียน เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงหรือความเกลียดชังบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นซ้ำ

“หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา Cofact ในการจัดการกับข้อมูลเท็จบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ากระบวนการเหล่านี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของโคแฟคแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการรายงานเนื้อหาที่ผิดหรือบิดเบือนต่อแพลตฟอร์มหลายครั้ง แต่กลับเจออุปสรรคมากมาย ทั้งในแง่ของระบบรายงานที่ซับซ้อน การรายงานผิดช่องทาง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีวิธีติดตามผลหรือรู้ได้เลยว่าแพลตฟอร์มจะดำเนินการเมื่อใด ส่งผลให้เนื้อหาที่เป็นเท็จหรือบิดเบือนแม้จะได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้ว ก็ยังคงปรากฏอยู่ในระบบโดยไม่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ” กุลชาดา กล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหายังไม่ใช่แค่เรื่องระบบของแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอัลกอรึทึมที่มักให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่าความถูกต้องของข้อมูล ส่งผลให้เนื้อหาที่ได้รับการตรวจสอบและยืนยันความจริงแล้ว กลับไม่ถูกเผยแพร่ หรือแชร์ออกไปในวงกว้างเท่ากับข้อมูลปลอม หรือข้อมูลที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ สิ่งนี้กลายเป็นภาระและความท้าทายขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ต้องหาทางทำให้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ท่ามกลางกระแสความเร็วและความบันเทิงของสื่อสังคมออนไลน์

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงกับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีก็ยังไม่เป็นระบบหรือมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงื่อนไขที่เข้มงวดของแพลตฟอร์ม เช่น การจะเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มต้องเป็นองค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลอย่าง IFCN (International Fact-Checking Network) ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้ แม้จะตั้งขึ้นเพื่อคัดกรองความน่าเชื่อถือ แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้หลายองค์กรในประเทศ โดยเฉพาะองค์กรเล็ก ๆ หรืออาสาสมัครที่ทำงานตรวจสอบข่าวอย่างจริงจัง ไม่สามารถเข้าร่วมในกระบวนการความร่วมมือได้

“ภายใต้ระบบและเงื่อนไขที่มีอยู่ ความพยายามในการสร้างความจริงให้ปรากฏและต่อสู้กับข้อมูลเท็จจึงยังคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งความพยายามมาก และยังต้องการการสนับสนุนเชิงโครงสร้าง ทั้งจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ภาครัฐ และประชาชนในวงกว้าง เพื่อให้การทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงในสังคมดิจิทัล” กุลชาดา กล่าว

นอกจากนี้ ในวงเสวนาฯ ได้มีการเล่าเพื่อฉายภาพให้เห็นถึงความรุนแรงที่บริษัทเทคฯ เหล่านี้ไม่ยุติความรุนแรงบนโลกออนไลน์ รวมถึงความเกลียดชังที่กำลังปะทุขึ้น

ความคิดเห็น การแชร์ และการผลิตซ้ำข้อมูลที่ทั้งจริง/ไม่จริง หรือกึ่งจริง สามารถเกิดเป็นเหตุการณ์รุนแรงและกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ของโลก อย่างเหตุการณ์ชาวโรฮิงญา เมื่อปี 2014

ด้านสัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล เล่าถึงกรณีของ ชาวโรฮิงญา เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนปัญหาความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Facebook ในบริบทของความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ โดยในช่วงที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงในเมียนมา มีการเผยแพร่เนื้อหาเกลียดชังชาวโรฮิงญาบนแพลตฟอร์มจำนวนมาก 

อัลกอริทึมของ Facebook เองก็มีส่วนส่งเสริมให้ผู้ใช้งานเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นความเกลียดชังและความรุนแรงมากขึ้น จนมีการกล่าวหาว่า แพลตฟอร์มไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อยับยั้งสถานการณ์ ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการยุยงให้เกิดสงครามหรือความรุนแรง ซึ่งถือเป็น ‘เส้นแดง’ ที่กฎหมายระหว่างประเทศไม่อนุญาตให้เกิดการผลิตข้อความ สื่อ ในลักษณะนี้ไม่ว่าพื้นที่ออฟไลน์หรืออนไลน์

สัณหวรรณ เล่าว่า “แม้ว่าในภายหลัง ตัวแทนของชาวโรฮิงญาได้ฟ้องร้อง Facebook เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากความล้มเหลวในการควบคุมเนื้อหาและปกป้องผู้ใช้ แต่คดีนี้ต้องสะดุด เนื่องจาก หมดอายุความตามเงื่อนไขทางเทคนิค ซึ่งมันชี้ให้เห็นช่องโหว่สำคัญของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ความเสียหายขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการรวมหลักฐานและจัดการทางกฎหมาย หากกรอบเวลาของการฟ้องร้องไม่เอื้อต่อความเป็นจริง ก็อาจกลายเป็นการปิดทางความยุติธรรม”

ในแง่ของหลักการกฎหมายระหว่างประเทศนั้น แม้จะยอมรับว่าแพลตฟอร์มไม่สามารถรับผิดชอบต่อทุกคำพูดของผู้ใช้ได้โดยตรงเพราะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในระดับหนึ่ง หากปล่อยให้เนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรืออันตรายแพร่กระจายโดยไม่ดำเนินการ เช่น ไม่กรอง ไม่ติดตาม หรือไม่ลบออก ดังนั้น ความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มไม่ได้อยู่ที่การควบคุมเนื้อหาทั้งหมด แต่ต้องแสดงให้เห็นว่ามีกลไกที่ตอบสนองและจัดการ เมื่อเกิดความเสี่ยงต่อสิทธิและความปลอดภัยของบุคคล

ด้าน สายใจ เล่าเสริมถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ตรวจพบการใช้ถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง และเรียกร้องให้เกิด Delete Hate Speech ต่อชาวโรฮิงญาบน Facebook ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวยืนยันว่าบริษัทเทคฯ ต้องมีส่วนรับผิดชอบในสิทธิมนุษยชนที่สามารถถูกลิดรอนได้บนพื้นที่ของตน


“ในเวลานั้น เราได้เดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของ Meta (Facebook) ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อแจ้งเตือนถึงอันตรายที่เกิดจากการเผยแพร่เนื้อหาบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะในบริบทของเมียนมาที่ประชาชนมีความรู้ด้านดิจิทัลต่ำ (Digital Literacy ต่ำ) และเข้าใจผิดว่า Facebook คือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ส่งผลให้ข่าวปลอม และHate Speech ถูกเชื่อถือและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

อันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่กล่าวขึ้นมาเอง ทางUN ได้สืบสวนและออกแถลงการณ์ยืนยันว่า Facebook มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเมียนมา ซึ่งผู้พูดเองก็ได้ร่วมเขียนจดหมายถึง Mark Zuckerberg เรียกร้องให้ Facebook ลงทุนด้านการดูแลเนื้อหาในเมียนมามากขึ้น แต่ในเวลานั้น Facebook มีผู้ดูแลเนื้อหา (Content Moderator) ในประเทศเมียนมาเพียง 2 คน ขณะที่มีผู้ใช้มากถึง 20 ล้านคน

ซึ่งคนที่ดูแลอาจจะทำไม่ได้มากด้วยซ้ำ อาจจะแค่พูดภาษาเมียนมาได้และถูกส่งมาดูแลแพลตฟอร์มที่เมียนมา อย่างเราที่มาพูดกันในวันนี้อาจจะมองว่าประเทศไทยได้รับการช่วยเหลือจาก meta ประมาณหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่หาเงินให้กับบริษัทเอกชน เขาก็ต้องมาดูแลแก้ไขกับพื้นที่นี้เพราะอาจมีผลกับโฆษณาต่าง ๆ แต่ก็เพราะแบบนั้นจึงเกิดเป็นเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา มันจึงสำคัญมากที่บริษัทเทคฯ ต้องมีกลไก หรือมีคนกลางในการตรวจสอบข้อความหรือสื่อที่ปรากฏในพื้นที่ของตนที่อาจกลายเป็นความเกลียดชังที่รุนแรงได้” สายใจ กล่าว

สายใจยังมองว่า การแก้ปัญหา Hate Speech และ Online Harassment ไม่สามารถอาศัยกฎหมายเพียงอย่างเดียวได้ เพราะรากของปัญหายังอยู่ที่ Business Model ของบริษัทเทคโนโลยีเอง โดยเฉพาะในกรณีของ Facebook ก่อนปี 2017 ซึ่งระบบอัลกอริทึมจะสนับสนุนการแสดงผลของโพสต์ที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความเกลียดชัง หรือข่าวปลอม เพราะโพสต์เหล่านี้มักถูกแชร์มาก ส่งผลให้บริษัทได้รับผลตอบแทนทางธุรกิจจาก Engagement ที่เพิ่มขึ้น

“แม้ในปี 2017 Mark Zuckerberg จะออกมาประกาศเปลี่ยนนโยบายเพื่อลดเนื้อหาลักษณะนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่เพียงพอในภาพรวม และไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ

เพราะฉะนั้นแล้ว การรับมือกับปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย ไม่สามารถหวังพึ่งเพียงการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย หรือรอให้บริษัทเทคโนโลยีเปลี่ยน Business Model เองได้ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็น 10 ปี เราจำเป็นต้องคิดร่วมกันว่า จะมี Business Model แบบใดที่ไม่เอื้อให้ Hate Speech หรือข้อความที่กระตุ้นความเกลียดชังกลายเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์มส่งเสริม” สายใจ กล่าว

ความเกลียดชังนี้ยังปรากฏชัดและรุนแรงยิ่งขึ้นด้วยเหตุแห่งเพศ กุลชาดาอธิบายเสริมต่อประเด็นนี้ว่า ด้วยความที่การกรองเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย แม้จะมีกฎเกณฑ์และมาตรฐานชุมชนที่ชัดเจน เช่น ในช่วงเลือกตั้ง Meta และ Google จะให้ความสำคัญกับการตรวจจับข้อมูลบิดเบือนและ Hate Speech ที่อาจทำลายกระบวนการประชาธิปไตย

แต่ในทางปฏิบัติ การลบเนื้อหาหรือการจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะดำเนินการใด ๆ

“เมื่อเนื้อหาไม่ได้รุนแรงถึงขั้นสนับสนุนความรุนแรงโดยตรง แพลตฟอร์มมักจะไม่ลบข้อมูลนั้นทันที แต่จะลดการมองเห็น หรือแสดงป้ายเตือนว่าข้อมูลนั้นอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปมักไม่รู้ว่ากระบวนการนี้ดำเนินไปถึงไหนและต้องรอนานแค่ไหนกว่าจะได้รับการจัดการ สถานการณ์นี้ทำให้ความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและความปลอดภัยของผู้ใช้มีความซับซ้อนมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงการเมือง ผู้หญิงที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับการโจมตีในโลกออนไลน์อย่างหนัก และมักถูกคาดหวังว่าต้องอดทนต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าผู้ชาย ปัญหานี้สะท้อนความไม่เท่าเทียมและอุปสรรคในการปกป้องสิทธิของผู้หญิงในโลกดิจิทัล

อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญคือการใช้ Dooxing หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นในโลกออนไลน์ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันยังไม่สามารถจัดการได้อย่างชัดเจน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจึงไม่มีความคุ้มครองเพียงพอและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการกระทำเหล่านี้” กุลชาดา กล่าว

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการแสดงออกในโลกออนไลน์จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากฎหมายให้ทันสมัย การปรับปรุงกระบวนการจัดการของแพลตฟอร์ม และการเพิ่มพูนความรู้และความระมัดระวังของผู้ใช้เอง เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยและเท่าเทียมมากขึ้น

แต่คำถามสำคัญคือ หากเราให้อำนาจกับบริษัทเทคฯ หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ในการกำกับควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ แล้วเราไว้ใจพวกเขาเหล่านี้ได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะประเทศไทยที่เสรีภาพในการสื่อสารยังถูกจำกัดสิทธิ์เช่นนี้

แล้วเราไว้ใจ ‘ผู้ใช้อำนาจ’ มากแค่ไหน? ในวันที่ ‘บิ๊กเทค’ มีอำนาจเทียบเท่า ‘รัฐ’

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำให้ภาพของเสรีภาพซับซ้อนขึ้นอีก การควบคุมเนื้อหา การเซ็นเซอร์ หรือการปล่อยให้ hate speech แพร่กระจาย ก็ล้วนมีผลมาจาก “อำนาจ” ของบริษัทเทคโนโลยีที่อาจมากกว่ารัฐในบางกรณี

นำไปสู่คำถามสำคัญว่า ในโลกที่บริษัทแพลตฟอร์มมีบทบาทเทียบเท่ารัฐ ใครจะเป็นผู้กำหนดเส้นของเสรีภาพ ใครจะรับผิดชอบต่อผลกระทบจากคำพูดที่แพร่กระจาย และจะมีระบบถ่วงดุลอย่างไรเพื่อไม่ให้ทั้งรัฐและบริษัทเทคฯ ใช้อำนาจควบคุมเสรีภาพนี้เกินขอบเขต

สัณหวรรณมองว่าบริบทของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศในโลกออนไลน์มีอยู่ 2 ประเด็น คือกฏหมายของไทยนั้นยังตีความได้กว้าง และอาจไม่ครอบคลุมการเอาผิดได้ รวมถึงเราไว้ใจผู้ใช้กฏหมายได้แค่ไหนกับเส้นเสรีภาพที่มีในสังคม

จากประเด็นข้างต้น สัณหวรรณได้เชื่อมโยงถึงประเด็นการคุกคามทางเพศออนไลน์และการข่มขู่ออนไลน์ยังเป็นพื้นที่ที่กฎหมายไทยจัดการได้ไม่ชัดเจน แม้จะมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่เมื่อไปแจ้งความหรือติดต่อทนายความ มักพบว่าตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐเองยังไม่แน่ใจว่าจะใช้กฎหมายใด เพราะระบบกฎหมายไทยยังไม่มีบทบัญญัติที่รองรับพฤติกรรมเหล่านี้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้กระทำไม่เปิดเผยชื่อหรือใช้บัญชีปลอม ทำให้การเอาผิดทำได้ยาก แม้บางกรณีจะเป็นการคุกคามที่รุนแรงก็ตาม

“อย่างมาตรา 397 (ประมวลกฎหมายอาญา) ซึ่งจะระบุไว้ว่าห้ามการรังแก ข่มเหง หรือคุกคามผู้อื่นนั้น มาตรานี้มีลักษณะ “เขียนไว้กว้างแต่ใช้ได้แคบ” กล่าวคือ แม้จะถูกใช้บ่อยที่สุดในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการคุกคามออนไลน์ แต่โทษที่กำหนดไว้กลับเบามาก มักจบเพียงการเปรียบเทียบปรับ และขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องปราม จึงไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมซ้ำซากของผู้กระทำความผิดได้

รวมถึงถ้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนไม่รู้ว่ากฎหมายดังกล่าวสามารถใช้กับกรณีการคุกคามออนไลน์ได้ด้วย ทำให้หลายคดีถูกปล่อยผ่านไปโดยไม่มีการดำเนินการใด ๆ อย่างจริงจัง แต่ประเด็นนี้เข้าใจว่ามีความเคลื่อนไหวล่าสุดของร่างกฎหมายใหม่ที่น่าจับตา ซึ่งมีการเสนอให้เพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับ ‘การคุกคามทางเพศผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์’ เข้าไปอย่างเจาะจง เป็นความพยายามในการปรับกฎหมายให้ทันต่อพฤติกรรมคุกคามยุคดิจิทัล

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะกฏหมายบ้านเรายังไม่ยึดหลักความยินยอมหรือ consent-based เป็นแกนกลาง โดยเฉพาะในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการล่วงละเมิดทางเพศผ่านออนไลน์ แม้พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเหยื่อ แต่กฎหมายกลับยังไม่ยึดหลักความยินยอมเป็นจุดตั้งต้นของการพิจารณาความผิด จึงทำให้ปัญหาลากยาวไปสู่ข้อถกเถียงด้านสิทธิทางเพศและการปฏิรูปกฎหมายที่ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร” สัณหวรรณ กล่าว

อีกประเด็นสำคัญคือ บทบาทของรัฐในการแทรกแซงพื้นที่ออนไลน์ ผ่านกลไก Take Down Order ซึ่งหมายถึงคำสั่งให้ลบเนื้อหาออกจากแพลตฟอร์ม แม้ว่ากลไกนี้จำเป็น แต่เตือนว่าในทางปฏิบัติกลับมีปัญหาใหญ่สองด้าน ด้านหนึ่งคือรัฐไม่ดำเนินการเมื่อต้องจัดการเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิจริง ๆ แต่อีกด้านหนึ่งคืออาจใช้คำสั่งนี้กับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐโดยมิชอบ

ตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ คำสั่ง Take Down ควรต้องมาจาก ‘เจ้าหน้าที่ตุลาการที่เป็นอิสระ’ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การสั่งลบเนื้อหาหรือดำเนินคดีกับผู้ที่แสดงความเห็นต่าง ทั้งหมดนี้จึงเป็นคำเตือนถึงการใช้อำนาจรัฐและกฎหมายที่อาจละเมิดเสรีภาพของประชาชนมากกว่าปกป้องพวกเขาในโลกออนไลน์

เหรียญอีกด้านดังกล่าว มีตัวอย่างที่ชัดเจนในไทยคือพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ.คอมฯ) ซึ่งแท้จริงแล้วควรเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเฉพาะในกรณีจำเป็นเท่านั้น แต่ปัญหาคือกฎหมายนี้กลับถูกเขียนให้ตีความได้กว้าง ทำให้เกิดการนำไปใช้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพที่ชอบธรรมของประชาชนในหลายกรณี

“ในทางกฏหมาย พ.ร.บ. คอมฯ คือกฎหมายจำกัดสิทธิ์ เพราะปกติเราต้องพูดได้ทุกอย่าง แต่ พ.ร.บ. คอมฯ  มาจำกัดเรา ซึ่งกฎหมายจำกัดสิทธิ์ก็ต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่เขาก็มีปัญหาของเขา ซึ่งจริง ๆ iiLaw  เขาเคยรวบรวมไว้แล้ว แต่หลักๆ  ปัญหาของกฎหมายก็คือเป็นกฎหมายจำกัดสิทธิ์ที่ควรจะแคบ แต่เขียนให้กว้าง พอเขียนไว้อย่างกว้างกลายเป็นว่า ใครพูดอะไรก็โดนหมด พ.ร.บ. คอม ทั้งที่เขาใช้เสรีภาพของเขา แต่พอขึ้นชื่อว่า พ.ร.บ. คอมฯ มันต้องเขียนแคบกว่านี้ อะไรคือข้อห้ามที่ห้ามเด็ดขาด ห้ามก้าวเข้าไปในเรื่องของการแสดงออกไหม เป็นต้น

ฉะนั้นแล้ว เรื่องอะไรที่มันเบลอ ๆ หรือยังไม่มีกฏหมายชัดเจน แล้วเราจะให้ผู้บังคับใช้กฏหมายใช้ดุลยพินิจเอง เราก็ต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่า เราเชื่อดุลยพินิจนี้ได้มากแค่ไหน” สัณหวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ยังมีในกรณีของประเทศอินเดีย ที่กฎหมายเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐคนใดก็ได้สามารถสั่งลบโพสต์หรือเนื้อหาออนไลน์ได้ทันที ซึ่งถูกใช้ในทางการเมือง เช่น เจ้าหน้าที่ที่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับผู้โพสต์ ใช้อำนาจนี้ในการสั่งลบเนื้อหาซ้ำ ๆ จนผู้ใช้แสดงความเห็นไม่ได้เลย กรณีนี้ถึงขั้นที่บริษัท X (ชื่อเดิมคือ Twitter) ฟ้องรัฐบาลอินเดียว่า กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจรัฐมากเกินไปและไม่มีระบบกลั่นกรองจากฝ่ายตุลาการ

สัณหวรรณกล่าวต่อว่า แต่เมื่อมองลึกลงไปในระดับของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีเพียงสองกรณีใหญ่ที่ถือว่าเป็นข้อห้ามเด็ดขาดในการแสดงออก ได้แก่ 1. การยุยงให้เกิดสงคราม และ 2. การสนับสนุนหรือรณรงค์ให้เกิดความเกลียดชังหรือเลือกปฏิบัติอันนำไปสู่ความรุนแรง การประเมินว่าเนื้อหาใดข้ามเส้นเหล่านี้หรือไม่นั้น ไม่ได้ดูแค่ถ้อยคำเพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งยังเป็นเหตุให้ความรุนแรงทางเพศบนโลกออนไลน์ ที่อาจไม่ได้เห็นผลชัดในทันที ยังไม่ถูกมองเห็นและกลายเป็นความไม่รุนแรง

ทั้งหมดนี้ สายใจได้ยกกฏหมายข้อหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคฯ ในการที่จะ ‘ไม่ต้องรับผิดทางกฏหมาย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สหรัฐอเมริกาใช้เพื่อรวมตัวบริษัทเทคฯ ต่างมาเปิดสำนักงานใหญ่ในประเทศ

“กฎหมายมาตรา 230 แห่ง Communications Decency Act ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อภูมิทัศน์ของโลกดิจิทัล โดยเฉพาะในแง่ของการควบคุมเนื้อหาออนไลน์และความรับผิดของบริษัทเทคโนโลยี ผู้พูดเล่าย้อนถึงชั้นเรียนด้าน Tech Policy ที่เคยเรียนกับอาจารย์ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ โดยเน้นย้ำว่า หากจะพูดถึงการรับมือกับปัญหา fake news หรือ disinformation อย่างจริงจัง ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงกฎหมายมาตรานี้ได้เลย เพราะถือเป็นกฎหมายหลัก ที่บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลกซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐต้องปฏิบัติตามคล้ายกับรัฐธรรมนูญ

สาระสำคัญของมาตรา 230 คือการให้ความคุ้มครองแก่บริษัทเทคโนโลยีว่า ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมายต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้โพสต์บนแพลตฟอร์มของตน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากผู้ใช้โพสต์ข้อความเท็จหรือเป็นอันตราย บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มจะไม่ต้องรับโทษใด ๆ ด้วย ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจโดยไม่ต้องกลัวความรับผิดชอบทางกฎหมายจากสิ่งที่ผู้ใช้รายใดรายหนึ่งโพสต์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดการเติบโตของ Startup และธุรกิจเทคโนโลยีในยุคทองของอเมริกา

แต่ในขณะเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้เองก็สร้างผลกระทบที่แผ่ขยายไปทั่วโลก เพราะบริษัท Tech รายใหญ่ซึ่งครอบครองแพลตฟอร์มระดับโลกหลายแห่ง ต่างใช้สิทธิคุ้มครองนี้ในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ แม้ในกรณีที่เนื้อหานั้นสร้างความเสียหายต่อสังคมอย่างร้ายแรง ทำให้การจัดการกับข้อมูลเท็จ หรือเนื้อหาที่เป็นภัย กลายเป็นเรื่องยากและซับซ้อน” สายใจ กล่าว

ความรุนแรงบนโลกออนไลน์ (ไม่) สามารถแก้ไขด้วยความรุนแรงทางกม.

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ครอบคลุมและป้องกันเหตุความรุนแรงบนโลกออนไลน์ยังคงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของ Gender based violence ผศ.ฐิติรัตน์ ได้อธิบายว่าเราไม่สามารถแก้ไขความรุนแรงบนโลกออนไลน์ด้วยความรุนแรงด้านโทษทางอาญา เพราะการมุ่งเป้าไปที่กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้พูดไปในตัว ดังนั้นเราจึงไม่ควรลืมเหรียญ 2 ด้านของการยกระดับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ด้วยกฎหมายได้

“การใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีลักษณะลงโทษทางอาญา เช่น การจับกุม การดำเนินคดี เพื่อจัดการกับประเด็นเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น อาจไม่ต่างจาก ‘การสร้างสันติภาพด้วยสงคราม’ คือ การพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม แต่กลับใช้เครื่องมือที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลตรงข้ามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็นควรอยู่ภายใต้การคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย และไม่ควรถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่อาจถูกใช้ในทางที่ไม่เป็นธรรม

เราควรเน้น ‘การสื่อสารและร่วมมือ’ มากกว่า ‘การควบคุมและลงโทษ’ เพราะอย่าลืมว่าการจัดการกับปัญหาในโลกออนไลน์ต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกของแพลตฟอร์ม การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และการมีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นอย่างปลอดภัย” ผศ.ฐิติรัตน์ กล่าว

อาจารย์จึงได้เสนอมาตรการเชิงรุก เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปราะบางหรืออ่อนไหว โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เช่น กรณีความขัดแย้งทางการเมือง หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองหญิงก็ตาม

“หากสามารถเจรจาหรือสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อ ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึม (Algorithm) ให้ช่วยลดการกระจายเนื้อหาที่เป็นอันตราย หรือเพิ่มการมองเห็นของข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว หรือโพสต์เชิงสร้างสรรค์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การปรับอัลกอริทึมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับบริบทของสถานการณ์ เช่น ต้องดูว่าเหตุการณ์นั้น ๆ มีความรุนแรงหรืออ่อนไหวแค่ไหน สมควรต้องแทรกแซงหรือไม่” ผศ.ฐิติรัตน์ กล่าว

เช่นเดียวกับการที่จะต้องมีหน่วยงานหรือทีมเฉพาะกิจที่ ติดตาม (Monitor) สถานการณ์อย่างใกล้ชิด และคอยแจ้งเตือน (Alert) ไปยังแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันเวลา เช่น ลบเนื้อหาที่เป็นอันตราย หรือจำกัดการมองเห็นของเนื้อหาบางประเภทในสถานการณ์ฉุกเฉิน การทำงานแบบนี้จะทำให้การรับมือมีประสิทธิภาพและเร็วขึ้น

จากการพูดคุยของ สัณหวรรณ สายใจ และ ผศ.ฐิติรัตน์ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของนักการเมืองหญิงซึ่งมีทั้งมิติทางการเมืองและทางเพศ การบังคับใช้กฏหมายทั้งภายในประเทศและสากลเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อกำหนดมาตรการที่จะป้องกันเหตุความรุนแรง แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในเรื่องนี้

หากเราไม่สามารถที่จะสร้างระบบที่มาสอดรับกับกลไกของแพลตฟอร์ม ทั้งทีมมอนิเตอร์ การแจ้งเตือน เพื่อสร้างมาตรฐานชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนบนโลกออนไลน์

เราก็ไม่อาจก้าวข้ามกับดักของความรุนแรงอยู่ดีและอาจกำลังก้าวไปสู่สังคมที่มุ่งเน้นหาคนลงโทษมากกว่าหาคนร่วมมือสร้างสรรค์สังคมที่ปลอดภัยไปด้วยกัน

สร้างเบาะรองรับทางสังคม ในวันที่ล้มลงด้วยความรุนแรงที่มองไม่เห็น

การแก้ไขปัญหาความรุนแรงบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเหตุแห่งเพศ ในวงเสวนาวันนี้ได้ฉายภาพตั้งแต่เรื่องราวของผู้ถูกกระทำไปจนถึงปัญหาของกฏหมายสากลที่ยังไม่ครอบคลุมกับการป้องกันเหตุของความรุนแรงเหล่านี้

ทางออกของเรื่องนี้ จึงจำเป็นจะต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ บริษัทเทคฯ หน่วยงานกลาง องค์กรสากล และภาคประชาสังคม รวมไปถึงชุมชนโซเชียลมีเดียหรือเราทุกคน

แม้ว่าวันนี้ผู้เข้าร่วมวงเสวนาจะกล่าวถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Facebook โดยส่วนมาก ทว่า เพราะบริษัทนี้เองที่มีการรับปัญหาที่เกิดขึ้นและแก้ไข แม้จะยังไม่สามารถจัดการได้อย่างครอบคลุมทุกกรณี แต่ก็ได้นำมาเป็นกรณีศึกษาและถอดบทเรียนเพื่อหาความร่วมมือต่อไป

Malina Eulund, Head of Safety Policy APAC at META ได้กล่าวถึงมาตรการชุมชนของ Meta ที่มีความพยายามในการหยุดความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มของตน โดยยอมรับว่าในปัจจุบันก็ยังมีการตกหล่นในคำร้องเรียน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนอกจากแพลตฟอร์มจะมีการกรองเนื้อหาให้ ผู้ใช้เองก็สามารถเลือกได้ว่าอยากรับชมสิ่งใดในหน้าฟีด

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับหลากแพลตฟอร์มจนเกิดเป็นเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Stop NCII(Stop Non-Consensual Intimate Image Abuse) ที่จะทำการลบภาพที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของภาพและป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในโลกออนไลน์

อย่างไรก็ตามโจทย์ของการแก้ไขปัญหาความรุนแรงบนโลกออนไลน์ในวันนี้ ยังมีโจทย์ที่ท้าทายอย่าง AI Generate ด้านผศ.ฐิติรัตน์ มีมุมมองต่อประเด็นนี้ว่า AI นั้นเกิดจากสองมือและความคิดของมนุษย์ เราในฐานะผู้สร้างก็จำเป็นจะต้องสร้างระบบเพื่อ Detect กันเองในฐานะมนุษย์ด้วย

“แรงกดดันในการควบคุมการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยไม่ควรตกอยู่ที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ควรเริ่มตั้งแต่ฝั่งของนักพัฒนา (R&D) ซึ่งรู้ดีว่าเทคโนโลยีที่ตนสร้างอาจถูกใช้ในทางที่ผิดได้ ดังนั้นจึงควรออกแบบระบบให้มี ‘Guardrail’ หรือกลไกป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทาง เช่นเดียวกับการผลิตมีด ที่แม้จะใช้ทำอาหารได้ แต่หากคมเกินไปก็อาจต้องมีปลอกหรือวิธีใช้งานที่ปลอดภัย

ทางออกไม่ควรมีแค่แบนหรือไม่แบน เพราะยังมีพื้นที่ตรงกลางที่สามารถทำได้ เช่น การกำหนดมาตรฐานการออกแบบที่ปลอดภัย, การสร้างระบบตรวจสอบ เช่น ลายน้ำดิจิทัล สำหรับเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งแม้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ระบบสามารถตรวจจับได้ โดยเฉพาะเมื่อภาพหรือเสียงถูกผลิตจากระบบของบริษัทเทคใหญ่

ในขณะที่ภาครัฐสามารถมีบทบาทสำคัญในการ ส่งเสริมความร่วมมือ สร้างมาตรฐาน หรืออย่างน้อยก็สนับสนุนภาคประชาสังคมให้มีอำนาจตรวจสอบและเปิดเผยว่าแพลตฟอร์มไหนให้ความสำคัญกับความปลอดภัย”

ด้านสัณหวรรณ ก็ได้กล่าวถึงการทำให้กฏหมายคุ้มครองสิทธิ มากกว่าจำกัดสิทธิ รวมถึงการทำให้กฏหมายไทยบางประการเป็นเพียงแค่การทำให้ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าใช้งานได้จริง อย่างมาตรา 14 ในพรบ.คอมฯ ที่กล่าวถึงการนำสื่อลามกอนาจารเข้าสู่คอมพิวเตอร์ เราจำเป็นจะต้องให้กฏหมายเหล่านี้ใช้งานได้จริงและปกป้องสิทธิของผู้ที่อาจโดนละเมิด โดยเฉพาะกับกลุ่มบุคคลสาธารณะอย่างนักการเมืองหญิง ที่อาจเป็นทั้งภาพจริงหรือภาพแต่ง แต่นำไปสู่ความเสียหายต่อบุคคลดังกล่าว

การคุ้มครองสิทธิความปลอดภัยในโลกออนไลน์ นอกจากการมองทางด้านกฏหมาย ทางด้านเทคโนโลยี สายใจและกุลชาดา ยังมองถึงหนทางที่จะป้องกันและให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงบนโลกออนไลน์ โดยทั้งคู่เรียกร้องและรัฐและบริษัทเอกชน จำเป็นจะต้องสร้างมาตรการเชิงรุกเพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ

สายใจ ได้เล่าถึงกลุ่มที่ได้สร้างขึ้นมาจากงานวิจัยชิ้นนี้คือ Stop Online Harm ที่ยึดแนวคิด Survivor Centric Approach เปรียบได้กับรถพยาบาลที่จะเข้าหาผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงเหล่านี้

“สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากวิธีการรับมือ  เรารู้ได้ว่าการที่เราเป็นกำลังใจให้กับนักการเมืองหญิงที่ถูกกระทำ  มันเป็นสิ่งที่เป็นพลังที่ช่วยให้เขาในการรับมือ  เป็นเพื่อน ถ้าเกิดเรามีเพื่อน พ่อแม่ พี่น้องที่ถูกสิ่งเหล่านี้อยู่  คนรอบข้างมีผลที่ทำให้ช่วยเขาเดินทางต่อไปได้

เพราะในปัจจุบัน องค์กรเฉพาะทางที่รับมือกับการคุกคามออนไลน์โดยตรง ทั้งภาครัฐและบริการที่มีอยู่ยังไม่เข้าใจลักษณะเฉพาะของปัญหานี้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ระบบการช่วยเหลือยังแยกส่วนและไม่มีศูนย์กลาง เช่น เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งถูกคุกคามออนไลน์ เธอจะต้องจัดการหลายเรื่องแยกกัน ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อแพลตฟอร์มเพื่อลบข้อมูล การเยียวยาสภาพจิตใจ หรือการขอคำปรึกษาทางกฎหมาย ในการที่คน ๆ หนึ่งจะดำเนินเรื่องเพื่อให้แพลตฟอร์มหรือรัฐปกป้องสิทธิความปลอดภัยของพวกเขาบนโลกออนไลน์มันต้องทำหลายเรื่องจริง ๆ เราจึงหวังว่าในอนาคตจะมีองค์กรเฉพาะทางเพื่อเหตุการณ์เหล่านี้” สายใจ กล่าว

โดยยังกล่าวถึงหลักการ 3P กับผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงบนโลกออนไลน์เพื่อช่วยให้ก้าวข้ามช่วงเวลาดังกล่าวว่า

1. Personal – อย่า “มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว” หรือคิดว่าเขาโจมตีตัวตนของเราโดยตรง

2. Permanent – อย่า “คิดว่ามันจะอยู่ตลอดไป” การโจมตีมักเป็นเพียงชั่วคราว

3. Pervasiveness – อย่า “เหมารวมว่ากระทบทุกด้านของชีวิต” จริง ๆ แล้วอาจกระทบแค่บางส่วน เช่น บทบาททางการเมือง ไม่ใช่ทั้งชีวิต เธอกล่าวทิ้งท้ายว่า เทคนิคนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้หญิง โดยเฉพาะในแวดวงสาธารณะหรือการเมืองเข้มแข็งและรับมือกับความรุนแรงทางคำพูดหรือการคุกคามได้ดีขึ้น

ความรุนแรงทางออนไลน์ต่อนักการเมืองหญิงไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจ อคติทางสังคมและเทคโนโลยีที่ยังไม่มีระบบรับมืออย่างเพียงพอ การรับมือกับความซับซ้อนนี้ จึงไม่อาจฝากไว้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ภาครัฐ หรือภาคประชาสังคม ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมออกแบบกลไกที่ทั้งยืดหยุ่นและเท่าทัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งยังคงถูกผลักออกจากพื้นที่เหล่านี้ด้วยความรุนแรงที่มองไม่เห็น

“เมื่อเราต่างเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกคุกคามลุกขึ้นมา Empower ซึ่งกันและกันเพื่อจะก้าวข้ามความเจ็บปวดเหล่านี้

เราก็ต้องอย่าลืมสร้างเบาะรองรับ ล้อมรั้วป้องกันและมีมาตรการเยียวยา ตั้งแต่ก่อนวันที่พวกเขาจะล้มลงด้วย” สายใจ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมวงเสวนา Digital Duty: Tech vs Online Gender-based Violence ฉบับเต็มได้ที่นี่