โกดังไทยอำพราง Made by China ที่ยกกระบัตร มลพิษข้ามชาติที่รัฐไทยเพิกเฉย 'ผิดเพี้ยนและผุพัง' - Decode
Reading Time: 9 minutes

เศษซากไฟไหม้ของโกดังที่ 8 ของโกดัง ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่ 29 มกราคม 2568 ไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้แค่หลังคาสังกะสีและอาคารสีดำไหม้ที่พบเครื่องจักรและกากอุตสาหกรรมหลายประเภทไว้ข้างใน

แต่ไฟไหม้ครั้งนี้ ยังทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วข้างใน ‘ประกอบกิจการ’ ที่อันตรายเพียงใด ขณะเดียวกันยังค้นพบถึงกระบวนการอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมที่ผิดกฎหมายหลายประการ

ทั้งไม่มีใบอนุญาตโรงงาน มีใบอนุญาตแต่ประกอบกิจการไม่ตรงกับที่ขอไว้ รวมถึงกองพะเนินสายไฟ พลาสติกและกากอุตสาหกรรมหลายประเภท ที่ทำให้เชื่อมโยงถึงนอมินีไทยคนเดิม แต่เปลี่ยนชื่อ ผู้ประกอบการจีนที่พึ่งปรากฏตัว ที่ขยายผลความเชื่อมโยงไปแล้ว 3 จุดทั้งในตำบลและพื้นที่ใกล้เคียง

และความเถื่อนนี้ไม่ได้เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ แต่ฝังตัวอยู่ในชุมชนมาแล้วตั้งแต่ปี 2555

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปล่อยปละละเลย จนทำให้แผลที่ถูกปิดไว้ในโกดังแห่งนี้ปริแตก! ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าผู้กระทำผิดยังกระทำผิดอยู่ซ้ำ ๆ และยังประกอบกิจการในพื้นที่ได้เรื่อยมา จนกลายมาเป็น ‘เครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม’ ที่มีทั้งตัวละครข้ามชาติ นอมินีชาวไทยที่ออกรับหน้า และการหลับตาข้างเดียวของหน่วยงานท้องถิ่นที่ยิ่งทำให้ซับซ้อน คลุมเครือ และยากต่อการจับกุม ทว่าแยบยลมากยิ่งขึ้น

มลพิษที่ยืดเยื้อเกือบทศวรรษ กระทั่งไฟไหม้ครั้งใหญ่หนนี้ กลับมาตั้งคำถามถึงฐานที่มั่นของโกดังแห่งนี้ คือหนึ่งในตัวอย่างการปรับตัวของเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมในเมืองไทยที่ไม่ได้เพิ่งปรากฏตัวและจะขยายตัวกว้างขึ้นถ้าหากวันนี้รัฐไม่เด็ดขาด ปล่อยให้พ้นผิดลอยนวล ภายใต้ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนของอาชญากรรมกากอุตสาหกรรม ผ่านรูปแบบโกดังไทย โรงงานจีน บนความพังพินาศของเกษตรกร จากดงโรงงานบนผังเมืองเกษตรกรรม กับเครื่องหมายคำถามว่าเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกากอุตสาหกรรมอาจอยู่กับเรามานานกว่าที่คิด

‘แสน’ สาหัส ของชาวยกกระบัตร

ในทุ่งนาที่รายล้อมด้วยบ่อเล็ก-ใหญ่ ที่มีเสาไฟฟ้าแรงสูงตั้งตระหง่าน ในบ่อข้างในสุดของ นิวัช เรือนขำ เจ้าของบ่อปลาชะโด ซึ่งมีพื้นที่ติดกับโกดังที่ 8 ของโกดังยกกระบัตรที่เกิดเหตุไฟไหม้ นอกจากเศษซากปรักหักพังของอาคารโรงงานที่ทรุดลงมา เหลือเพียงแต่คำถามในใจของนิวัช ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ในอนาคต

“ไฟไหม้รอบนี้เสียหายแบบแสนสาหัส เพราะเสียหายหลักแสนจริง ๆ” นิวัช กล่าว

นิวัช เป็นเจ้าของบ่อปลาชะโดและบ่อกุ้ง ซึ่งเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งของคนบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร แม้ 13 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการร้องเรียนโกดังแห่งนี้เมื่อปี 2555 โกดังแห่งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะทางกลิ่นจากการประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงมลภาวะทางเสียง ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่าโกดังแห่งนี้มีเสียงประกอบกิจการทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

แต่หลังเกิดเหตุไฟไหม้ ทำให้นิวัชรู้ว่า เสียงและกลิ่นที่ส่งออกมาจากโรงงานนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของสารเคมีและกากพิษที่ซุกซ่อนอยู่ภายในโรงงาน

“แต่ก่อนเราเข้าใจว่าเป็นขยะเฉย ๆ แต่เพราะโรงงานมันไฟไหม้นี่ละ เราถึงได้รู้ว่าโรงงานมันเต็มไปด้วยพลาสติก สายไฟ พวกชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าหลาย ๆ แบบ มันกลายเป็นว่าบ้านเราอยู่ใกล้กับขยะอันตรายตลอดแต่เราไม่รู้เลย มาเสียรู้อีกทีตอนที่ไฟไหม้โรงงาน และเราก็ได้เห็นจริง ๆ ว่าข้างในมันมีอะไรกันแน่ และมันอันตรายแค่ไหน เมื่อปลาเราตายหมดบ่อ” นิวัช กล่าว

ในวันเกิดเหตุเพลิงไหม้ นิวัชต้องให้ความยินยอมในการนำน้ำในบ่อปลาชะโด เพื่อนำมาดับไฟที่กำลังโหมอยู่ขณะนั้น ซึ่งเป็นบ่อที่อีก 10 วันจะครบกำหนดจับไปขาย ในบ่อนี้เองนิวัชพึ่งลงปลาชะโดไว้ 20 ตัน หรือราว ๆ 10,500 ตัว

แต่น้ำที่นำไปดับเพลิงในโกดังกลับไหลลงสู่บ่อชะโดดังกล่าว จากที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นโรงงานขยะทั่วไป กลับปรากฏร่องรอยน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมี นิวัช เล่าว่าในวันนั้น บ่อน้ำของเขามีคราบคล้ายน้ำมันแต่เป็นสีเขียว และวันถัดมา ปลาชะโดเกือบทั้งบ่อของเขาก็หงายท้องตายเหมือนกันหมด

มูลค่าความเสียหายที่ต้องช่วยดับไฟในโรงงานเพราะเขตแดนที่อยู่อาศัยติดกับโกดังที่ไฟไหม้ นิวัชกล่าวว่า ปลาชะโดในบ่อของเขาจะถูกขายในน้ำหนัก 1.8-2.5 กก. ซึ่งจะตกราคาที่กิโลกรัมละ 40 บาท เพียงแค่ราคาปลาที่ตายไป เท่ากับว่าเขาสูญรายได้จากมลพิษที่ไม่ได้ก่อถึง 240,000 บาท

ในขณะที่การบำบัดบ่อเลี้ยงปลาชะโดที่ติดกับโรงงานนั้น ต้องใช้เวลากว่า 20 วัน เขาต้องซื้อเครื่องปั่นไฟเพื่อมาบำบัดน้ำทั้งวันตลอดระยะเวลาดังกล่าว กว่าบ่อแห่งนี้จะดูปลอดภัยเมื่อมองจากตาเปล่า แต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มีสารเคมีตัวไหนตกค้างในบ่อนี้อีกบ้าง

จากปลาที่น่าจะชุกชุมเต็มบ่อของนิวัช วันนี้เหลือเพียงถังแกลลอนขนาดใหญ่ ที่จะต้องเปลี่ยนจากการขายเนื้อปลาชะโด เป็นปลาร้าชะโด

“มันทำอะไรไม่ได้หรอก ปลามันตายแล้ว เราก็ต้องมานั่งคิดว่าเราจะทำยังไงให้เราเจ็บน้อยที่สุด สิ่งเดียวที่เหลือคือเอาไปทำปลาร้าก็พอจะขายได้อยู่ เพราะไม่งั้นปลาเราจะตายไปฟรี ๆ เลย” นิวัช กล่าว

นิวัชเล่าว่า เขายังไม่รู้ว่าคราบน้ำมันเขียวที่ลงมาสู่บ่อของเขาเป็นสารเคมีตัวไหน เขาเล่าว่าเคยได้คุยกับอุตสาหกรรมจังหวัดแต่ได้คำตอบกลับเพียงว่า เนื่องจากขยะกากอุตสาหกรรม รวมถึงสารเคมีที่ใช้ในการหลอมกากเหล่านี้มีจำนวนมาก จึงทำให้ระบุได้ยากว่าสารพิษเหล่านี้ คือสารอะไรบ้าง

“ในวันเกิดเหตุก็มีหลายหน่วยงานลงมาดู แต่สำหรับเราแล้วปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการถูกแก้ไข เพราะหน่วยงานในท้องถิ่นยังคงมีเอี่ยวกับโรงงานพวกนี้ เพราะก่อนไฟไหม้มีการร้องเรียนต่อโรงงานพวกนี้ไปหลายครั้ง แต่ทำไมโรงงานพวกนี้ถึงยังคงเปิดได้อยู่ รับขยะเข้ามาเป็นกองพะเนินจนเราเห็นได้จากหลังบ้าน และเราแทบไม่รู้ข้อมูลเลยว่า เรากำลังสูดดมสารพิษอะไรอยู่ หรือน้ำที่เราใช้ปนเปื้อนอะไรไปแล้วบ้าง” นิวัช กล่าว

รวมถึงมาตรการการเยียวยาจากภาครัฐ นิวัชเล่าว่า มีเพียงการติดต่อจากเทศบาลเพื่อจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งไม่ได้คิดตามความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น โดยคิดชดเชยเป็นเม็ดเงินต่อพื้นที่ที่เสียหาย โดยนิวัชเสียหายไปทั้งหมด 5 ไร่ โดยคิดไร่ละ 4,862 บาท รวมทั้งหมดเป็น 23,810 บาท หรือ คิดเป็น 1 ใน 10 ของความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น และยังไม่มีคำตอบว่าเจ้าของมลพิษ ทั้งเจ้าของโกดัง และเจ้าของโรงงานที่ไฟไหม้นั้นจะจ่ายค่าความเสียหายให้กับนิวัชเท่าไหร่

“แม้แต่ในแผนแม่บทของบ้านแพ้วยังเขียนไว้เลยว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ในขณะที่ชาวบ้านทำเกษตรกรรม เลี้ยงปลา ทำสวน กลับมีโรงงานผุดขึ้นมากมาย สิ่งที่อยากได้ในวันนี้มันไม่ใช่แค่อยากให้ยกกระบัตรกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังไม่มีโรงงานไม่มีสารพิษ แต่เราอยากให้หาคนทำผิดมาจัดการตามกฎหมาย เพราะนี่ไม่ใช่เครือข่ายของพวกเจ้าของโรงงานจะทำได้ง่าย ๆ แต่ต้องมีขบวนการอยู่เบื้องหลังเขาถึงเปิดมาได้ตลอดหลายสิบปีนี้” นิวัช กล่าว

โกดังไทย โรงงานจีน ‘เถื่อน’ ทุกกระเบียดนิ้ว

แม้ชาวบ้านจะเรียกพื้นที่ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นี้มาตลอดว่า โรงงาน แต่ความย้อนแย้งและน่ากลัวจากปากคำของเจ้าของโกดังซึ่งเป็นชาวไทยชื่อ กิตติทัศน์ รังสีเจริญเลิศ กล่าวกับอุตสาหกรรมจังหวัดว่าเขาเพียงแต่ให้พื้นที่เช่าโกดัง ไม่ได้เป็นโรงงานอย่างที่กล่าวอ้าง

สถานะโกดังที่การดำเนินการจริงเป็นโรงงาน คือหนึ่งในรูปแบบการอำพรางอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ในประเทศไทยขณะนี้ สิ่งที่พบตามมา คือกลุ่มทุนเหล่านี้มีสถานที่ในการประกอบกิจการโรงงาน แต่ใบอนุญาตหรือมาตรการการควบคุมมลพิษนั้นจะมีหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จากการรายงานของมูลนิธิบูรณะนิเวศ อาคารยาวที่แบ่งออกเป็น 8 หลัง หรือ 8 ห้องนั้น ตั้งอยู่กลางพื้นที่เกษตรกรรมอย่างชัดเจน ตามข้อมูลที่พุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้แจ้งกับ DSI ได้อ้างคำให้การของกิตติทัศน์ เจ้าของอาคารดังกล่าวว่า

“ตามสัญญาเช่านี้ เขาบอกว่าให้ตั้งเครื่องจักรและเก็บของเท่านั้น ไม่ได้ใช้คำว่าโรงงาน”

จากคำให้การของเจ้าของโกดัง เขาเพียงให้เช่าอาคารแห่งนี้ในฐานะเป็นโกดังสำหรับเก็บของ ไม่ใช่เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจการ

โดยปัจจุบันผู้เช่าทั้ง 8 โกดัง ได้แก่

อาคารห้องที่ 1 และ 2 ผู้เช่าคือบริษัท นิวครุฑธา วูด ชิบส์ จำกัด
อาคารห้องที่ 3 และ 4 ผู้เช่าคือบริษัท ดีพ แวลู จำกัด
อาคารห้องที่ 5 ผู้เช่าคือนางสาวดาลัด เจียมสกุล
อาคารห้องที่ 6, 7 และ 8 รวมถึงลานกว้างที่อยู่ถัดจากห้องที่ 8 ผู้เช่าคือ MR. LI WENBING

จุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ คืออาคารส่วนที่ MR. LI WENBING เป็นผู้เช่า ซึ่งอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครแจ้งว่า แม้เหตุการณ์จะผ่านมาประมาณหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ยังคงไม่ได้มาให้การแต่อย่างใด

แต่ตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเคยรายงานไว้ ทั้งในส่วนของอาคารหลังที่ 6, 7 และบริเวณลานด้านข้างอาคารโกดังหลังที่ 8 มีการกองเก็บวัตถุดิบ เช่น กองเศษสายไฟและเศษสายไฟบดย่อยแล้ว รวมปริมาณประมาณ 4,000 ตัน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่ามีการติดตั้งเครื่องจักร 100 แรงม้า สำหรับประกอบกิจการบดย่อยเปลือกสายไฟและนำไปร่อนแยกพลาสติกและโลหะออกจากกัน จัดเป็นโรงงานประเภทรีไซเคิล ลำดับที่ 106

แต่เมื่อตรวจค้นข้อมูลในระบบไม่พบการอนุญาตประกอบกิจการ จึงเข้าข่ายเป็นโรงงานเถื่อน ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และมีความผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม พุทธิกรณ์ไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลที่มีการรายงานออกมาก่อนหน้านี้ จากการเข้าตรวจของเจ้าหน้าที่ภาครัฐหลังเกิดเหตุการณ์ นั่นคือวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งพบว่า บิลค่าไฟที่พบหน้าอาคาร 5 มีชื่อ บริษัท เอสซีที (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ใช้ไฟ

จากการตรวจสอบโดยสื่อมวลชนและมูลนิธิบูรณะนิเวศพบว่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทจดทะเบียนโดยแจ้งวัตถุประสงค์ “การรีไซเคิลน้ำมันทุกชนิด พลาสติกทุกชนิด” และแจ้งที่ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีกรรมการบริษัท 2 คน เป็นชายทั้งคู่ คนหนึ่งชื่อไช่ เหยาเสียน อีกคนเป็นคนไทย ทั้งนี้ไม่พบว่าบริษัทนี้มีการขออนุญาตประกอบกิจการในพื้นที่ ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร แต่อย่างใด

พุทธิกรณ์ยังขยายความในส่วนของอาคารหลังที่ 5 ว่าเป็นอาคารโล่ง แต่มีการเก็บของบางอย่าง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย นอกจากนี้สิ่งที่ตรวจพบในโกดังแห่งนี้ในวันที่เข้าตรวจ คือเม็ดพลาสติกที่บรรจุในกระสอบ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันพลาสติกระบุว่าเป็นลักษณะที่พร้อมส่งขาย นอกจากนั้นยังพบถุงบิ๊กแบ็กบรรจุคาร์บอนแบล็ก เศษวัสดุอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งถือเป็นวัตถุอันตราย ผู้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงถือว่ามีความผิด

ทางด้านบริษัท นิวครุฑธา วูด ชิบส์ จำกัด ผู้เช่าอาคารห้องที่ 1-2 กิจการที่ประกอบ คือการบดย่อยไม้ แต่จากการตรวจสอบไม่พบใบอนุญาตโรงงาน และจากการลงตรวจของเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 31 มกราคมนั้น ภายในอาคารทั้งหลังที่ 1-2 เต็มไปด้วยเปลือกหรือปลอกพลาสติกหุ้มสายไฟ และสายเคเบิลเก่าปริมาณมากกว่า 2,400 ตัน และพบเครื่องบด ย่อย ล้าง รีดพลาสติกหลายเครื่อง รวมทั้งพบเม็ดพลาสติกที่ผลิตแล้วจำนวนมาก ลักษณะคล้ายกับที่พบในอาคารหลังที่เกิดเหตุไฟไหม้ สิ่งที่พบจึงไม่ตรงกับกิจการของบริษัทผู้เช่าโกดัง

ในขณะที่บริษัท ดีพ แวลู จำกัด ซึ่งเช่าอาคารห้องที่ 3-4 จากการเข้าตรวจสอบพบว่า มีการติดตั้งเครื่องจักรทำเฟอร์นิเจอร์ และเพิ่งขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานหลังเกิดไฟไหม้แล้ว นั่นหมายความว่า ก่อนหน้านั้นก็เป็นโรงงานเถื่อนเช่นเดียวกัน

หลังจากอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครอธิบายเกี่ยวกับอาคาร 8 หลังหรือ 8 ห้องแล้ว ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มโรงงานอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งพิกัดที่ตั้งห่างออกไปไม่เกิน 1 กิโลเมตร โดยที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน ประการแรกก็คือ เคยเป็นพื้นที่ของนายกิตติทัศน์ เจ้าของโกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนมือไปแล้ว

ในส่วนของจุดที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มโรงงานอีกกลุ่มหนึ่งที่อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครกล่าวถึงประกอบด้วยรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1.บริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด จำกัด ตามข้อมูลในระบบเป็นประเภทโรงงานลำดับ 34 ขออนุญาตเป็นโรงงานเมื่อปี พ.ศ. 2553 และแจ้งประกอบกิจการทำวงกบประตู หน้าต่าง และทำบานประตูหน้าต่างจากไม้ แต่สภาพปัจจุบันพบว่ามีเปลือกสายไฟปริมาณ 368.1 ตัน และมีนายฟูควน ลัว (MR.LUO FUQUAN) แสดงตัวเป็นเจ้าของ

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดยังพบว่ามีพลาสติกลักษณะคล้ายกับที่พบในจุดเกิดเหตุไฟไหม้ อยู่ภายในโกดังของโรงงานบริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด จำกัด ด้วย

2. บริษัท บี.เค. รีไซเคิล จำกัด ตามข้อมูลในระบบเป็นประเภทโรงงานลำดับ 53 ขออนุญาตเป็นโรงงานเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อประกอบกิจการทำเม็ดพลาสติกเกรดบีและผลิตภัณฑ์พลาสติก แต่ปัจจุบันพบว่ากลายเป็นบริษัท เอส พี โซฟา จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์

ไม่เพียงมีประเด็นเรื่องการประกอบกิจการในความเป็นจริงไม่ตรงกับที่จดแจ้ง จากข้อมูลที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ เคยตรวจสอบไว้ก่อนหน้านี้ยังพบว่า ทั้งสองบริษัทนี้มีชื่อกรรมการบริษัท และชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของที่ดินตรงกับชื่อผู้ให้เช่าโกดัง นั่นคือ ‘กิตติทัศน์ รังสีเจริญเลิศ’ และระบุที่ตั้งอยู่เลขที่ 88 เหมือนกัน ต่างกันเพียงตัวเลขลงท้าย นั่นคือ 88/9 กับ 88/8 ตามลำดับ และเลขที่ดังกล่าวก็ตรงกับอาคารห้องที่ 1-4 ในกลุ่มเดียวกับอาคารให้เช่าที่เกิดเหตุไฟไหม้

ตั้งแต่ในวันเพลิงไหม้ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้ตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุด้วยการเข้าดูภาพย้อนหลังจาก google street view พบว่าในส่วนของอาคารโกดังต้นเพลิงมีชื่อบริษัทติดไว้ว่า TFP หรือ บริษัท เถิงฟา พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด (TENG FA PLASTIC AND METAL CO. LTD.) แต่เมื่อค้นหาข้อมูลรายชื่อโรงงานในพื้นที่ ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร จากเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กลับไม่พบชื่อบริษัทนี้ในฐานข้อมูล ทำให้เราตั้งข้อสังเกตไว้เบื้องต้นว่า อาจเป็นโรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตหรืออาจจะยังไม่แจ้งประกอบการ

ประเด็นการเป็นโรงงานเถื่อนได้รับการยืนยันจากภาพที่ปรากฏในวันที่เกิดเหตุไฟไหม้ ว่าที่โกดังแห่งนี้เป็นโรงงานซึ่งมีการประกอบกิจการ เนื่องจากไม่ได้มีเพียงกองพลาสติก สายไฟ ถุงบิ๊กแบ็ก เศษเหล็ก ฯลฯ แต่ยังพบเครื่องจักรอย่างเครื่องบดย่อยพลาสติกและอื่น ๆ มีกำลังเกิน 50 แรงม้า เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ

ต่อมายังพบว่า นอกจากบริษัท เถิงฟาฯ ยังมีบริษัทชื่อคล้ายคลึงกันปรากฏบริเวณสถานที่เกิดเหตุด้วย นั่นคือบริษัท เถิงต๋า พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด (TENG DA PLASTIC AND METAL CO. LTD.) แต่บริษัทนี้ก็ไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ยกกระบัตร เช่นเดียวกัน

ข้อมูลทะเบียนพาณิชย์ของทั้งสองบริษัท แจ้งที่ตั้งเป็นเลขที่เดียวกัน อยู่ในหมู่ 4 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ประกอบธุรกิจแบบเดียวกัน นั่นคือ “นำเข้าส่งออกพลาสติก เศษพลาสติก เศษเหล็ก และเศษวัสดุอื่น ๆ รีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่” ซึ่งมีความสอดคล้องกับหลักฐานที่พบในโกดังเกิดเหตุเพลิงไหม้

ในส่วนบริษัทเถิงฟาฯ มีกรรมการ 2 คน คนหนึ่งเป็นชายชื่อ ฟูซิน หลัว อีกคนเป็นหญิงไทย ส่วนกรรมการของบริษัท เถิงต๋าฯ มีคนเดียว ชื่อ ฟูควน ลัว คนเดียวกับที่แสดงตัวเป็นผู้ประกอบโรงงานบริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด จำกัด

จากการตรวจขยายผลของคณะตรวจสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยการลงตรวจในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ทำให้พบว่า บริษัทเถิงต๋าฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่บางหญ้าแพรก แต่ยังไม่เคยแจ้งประกอบกิจการ ดังนั้น จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องการประกอบกิจการ โดยไม่ได้รับอนุญาต

การตรวจยังทำให้พบว่า วัตถุดิบของโรงงานแห่งนี้ลักษณะไม่แตกต่างกับสิ่งที่พบในอาคารเกิดเหตุไฟไหม้ที่ยกกระบัตร รวมทั้งมีของเสียอิเล็กทรอนิกส์ปะปนอยู่ด้วย แม้เป็นจำนวนไม่มากแต่ก็ถือเป็นความผิดอีกข้อหาหนึ่ง เนื่องจากของเสียอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้า ทั้งนี้ ฟูควน ลัว ในฐานะเจ้าของและกรรมการบริษัท อ้างว่าเป็นสิ่งที่ติดมากับสายไฟเก่าที่นำเข้า

ฟูควน ลัว ยังให้ข้อมูลด้วยว่า บริษัทเถิงฟาฯ นั้นเป็นของน้องชายของเขาเอง ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นดำเนินกิจการ โดยเน้นด้านการซื้อขายเท่านั้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวขัดแย้งกับหลักฐานที่พบในจุดเกิดเหตุไฟไหม้ ที่ฟ้องว่ามีการประกอบกิจการด้วย อันประกอบด้วยเครื่องจักรและขยะอุตสาหกรรมหลายชนิด รวมถึงเป็นโกดังต้นเพลิงอีกด้วย

การตรวจแบบสุดซอยของคณะทำงานชุดสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ยังทำการสืบสวนเพื่อหาที่มาที่ไปของขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ยังนำไปสู่ตัวละครใหม่ ในชื่อ บริษัท ยูนิโบร เมทัล (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งภายในโรงงานมีสายไฟลักษณะคล้ายกันกับจุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้

บริษัทดังกล่าวมีข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 แต่ข้อมูลในเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่า บริษัทนี้ ซึ่งมีเลขทะเบียนโรงงาน 10740103725650 [3-105-58/65สค] จดทะเบียนจัดตั้งในเดือนสิงหาคม 2565 ตั้งอยู่ที่ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจ “การขายส่งของเสียและเศษวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่”

ในขณะที่ ตามคำชี้แจงของฟูควน ลัว บริษัทดังกล่าว มีเขากับน้องชายร่วมกันเป็นกรรมการ ซึ่งประกอบกิจการประเภทโรงงานลำดับ 105 คัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย เช่น เศษสายไฟฟ้า เศษทองแดง เศษทองเหลือง เศษอะลูมิเนียม เศษเหล็ก เศษพลาสติก เศษไม้ ฯลฯ

นั่นหมายความว่า บริษัท ยูนิโบรฯ ได้รับอนุญาตประกอบกิจการคัดแยกของเสียไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริง ในวันที่คณะตรวจสุดซอยเข้าตรวจกลับพบว่ามีการครอบครองของเสียอันตรายด้วย และฟูควน ลัว บอกเองว่า บริษัทนี้ทำหน้าที่สั่งซื้อวัตถุดิบจากทั้งใน และนอกประเทศมาคัดแยกระหว่างพลาสติกกับทองแดง เพื่อหลอมและขาย ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน

อีกประเด็นที่มีการให้ข้อมูลขัดแย้งกับข้อเท็จจริงก็คือ เรื่องที่มาของวัตถุดิบสายไฟ ในวันเกิดเหตุ ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าชุดคณะทำงานสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ข้อมูลว่า ในเบื้องต้นเจ้าของแจ้งว่าเป็นวัตถุดิบภายในประเทศ โดยอ้างว่ามาจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม จากรูปแบบสายไฟที่พบจำนวนมาก ทั้งส่วนที่ยังอยู่ในสภาพมัดไว้เป็นกลุ่มก้อน ไม่ได้ถูกรื้อหรือแกะออกมา รวมทั้งส่วนที่แกะออกมากองรวมไว้แล้ว หรือแม้แต่ส่วนอยู่ระหว่างการชำแหละโดยคนงาน ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนเป็นของนำเข้า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากป้ายเท่าที่มีหลงเหลือให้เห็น

“ในข้อเท็จจริงเมื่อเราไปตรวจแล้ว มีการสำแดงเอกสาร แต่เอกสารที่สำแดงไม่ตรงกับหลักฐานเพราะสายไฟที่ตรวจพบเป็นลักษณะสายไฟนำเข้า ไม่ใช่สายไฟในประเทศจากการไฟฟ้า” ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า ในวันเกิดเหตุไฟไหม้ ยังพบว่ามีคนงานกำลังผ่าชำแหละสายไฟเพื่อแยกเอาส่วนที่เป็นโลหะมีค่าออกมา

เมื่อสอบถาม ฟูควน ลัว ว่า วัตถุดิบเหล่านี้นำไปทำอย่างไรต่อ เขาตอบว่า ส่วนหนึ่งขายให้โรงหลอม ส่วนปลอกสายไฟก็ส่งไปทำในส่วนของโรงงานบริษัท เถิงต๋าฯ ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งเมื่อพิจารณาพลาสติกหุ้มสายไฟที่พบในโรงงานบริษัท ยูนิโบรฯ ก็มีลักษณะใกล้เคียงกับพลาสติกที่พบในอาคารที่เกิดเหตุไฟไหม้จริง ๆ

จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าการลักลอบรีไซเคิลของเสียมีการดำเนินการแบบเป็นระบบ โดยจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำให้เห็นว่ามีกลุ่มโกดังซึ่งมีโรงงานที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกันถึง 3 ข้อสังเกตุ นั่นคือ 

1. โกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้

ประกอบด้วย 8 โรงงาน ตั้งอยู่ใน ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว และตรวจพบโรงงานประกอบกิจการไม่ตรงกับใบขออนุญาต ขยะอุตสาหกรรมอันตราย และความเถื่อนอีกหลายประการ

2. จุดขยายผลกลุ่มโรงงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตรวจพบสายไฟคล้ายกับจุดเกิดเหตุ

ประกอบด้วย 2 โรงงาน ตั้งอยู่ใน ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว ห่างจากจุดเกิดเหตุ 1 กิโลเมตร โดยกลุ่มโรงงานนี้เชื่อมโยงถึงเจ้าของโกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ และตรวจพบสายไฟที่มีลักษณะคล้ายกับจุดเกิดเหตุ

3. จุดขยายผลกลุ่มโรงงานที่คาดว่า เป็นที่มาของสายไฟ

ซึ่งตรวจพบเอกสารต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าเป็นต้นทางของสายไฟ เป็นจุดจดทะเบียนที่ตั้งโรงงานที่ไฟไหม้และพบความเชื่อมโยงถึงที่มาสายไฟ ตั้งอยู่ในต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองสมุทรสาคร)

โดยทั้ง 3 จุดนี้ มีความเกี่ยวโยงกันทั้งชื่อผู้ประกอบการชาวจีน เจ้าของโกดังคนไทย ขยะอุตสาหกรรมที่ถูกพบ โยงใยถึงการประกอบกิจการไม่ตรงกับใบขออนุญาต หรือไม่มีใบขออนุญาตด้วย

ไฟไหม้โกดังที่ 8 ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะทำให้เห็นโครงข่ายและโยงใยโรงงานอีกหลายแห่งที่ชี้ให้เห็นถึงนอมินีชาวไทยที่อยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2555 ที่ชาวบ้านในพื้นที่พบพฤติการณ์เปลี่ยนชื่อ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจในพื้นที่ต่อไปได้ รวมถึงการตั้งคำถามว่า โกดังแห่งนี้อาจมีทุนข้ามชาติเข้ามาเกี่ยวข้องในการก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกแล้ว

นอมินีไทยในคราบทุนจีน เครือข่ายอาชญากรรมฯ ใกล้ฉัน

ลานกว้างเกือบ 2 ไร่บนพื้นที่โกดังยกกระบัตร แม้จะพบเพียงเศษซากปลอกสายไฟและอาคารที่ทรุดโทรม แต่ปริมาณของกลางที่ถูกอายัดไว้มีมหาศาลทับถมเป็นพะเนินสูง แม้ในโกดังจะมีรถบรรทุกเข้าออกทุกวัน รวมถึงมีการทำงานในโรงงานอยู่ตลอดทั้งวัน แต่สายไฟที่สูงพ้นกำแพงโรงงานกว่า 3 เมตร เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่า กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงขยะอันตรายที่ถูกนำเข้ามาในโกดังยกกระบัตรนี้ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาอาจมากกว่าที่เราเห็นก็เป็นได้

วิภารัตน์ เอื้อพิทักษ์ หนึ่งในเครือข่ายชุมชนยกกระบัตร ซึ่งนับว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้กับโกดังนี้มาตลอด แม้เธอจะย้ายออกจากพื้นที่ไปแล้วหลายปี แต่พอเหตุเกิดไฟไหม้โกดังครั้งนี้เธอกล่าวว่า “เราคิดอยู่แล้วว่ามันยังไม่จบ”

ถนนที่ล้อมรอบเขตโกดังทั้ง 8 เป็นถนนเส้นเดียวที่ชาวบ้านยกกระบัตรใช้สัญจร เมื่อต้องเดินทางตัดผ่านซอยชุมพล ในบริเวณโดยรอบ รวมถึงฝั่งตรงข้ามของโกดังที่ห่างกันไม่ถึงสิบเมตร ยังมีบ้านหลายหลังคาเรือนอาศัย เท่ากับว่าตลอดหลายปีก่อนโกดังนี้จะถูกไฟไหม้ ชุมชนยกกระบัตรต้องถูกบังคับให้สูดดมและรับมลพิษหลายรูปแบบประเภทที่เรียกว่า อยู่ใกล้แค่หน้าบ้าน

“แต่ก่อนถนนเส้นนี้มันเคยกว้างกว่านี้ มันเคยเป็นสองเลนที่ชาวบ้านยังใช้เดินทางกันได้อยู่ แต่พอโรงงานเข้ามาตั้งในโกดัง นอกจากรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกกันทุกวัน เขตของโกดังก็เริ่มขยายพื้นที่เขยิบออกมาเรื่อย ๆ จนสภาพก็เป็นอย่างที่เห็น ตอนนี้แทบจะเหลือเป็นเลนเดียวอยู่แล้ว” วิภารัตน์ กล่าว

วิภารัตน์เป็นสะใภ้บ้านแพ้ว เธอใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านแพ้วมาเกือบ 30 ปี สิ่งที่เธอสรุปได้จากเหตุไฟไหม้ในเดือนมกราคม 2568 คือการหลับหูหลับตาต่อโรงงานเถื่อนซึ่งมีข้าราชการท้องถิ่นเกี่ยวข้อง จนแผลที่ปกปิดไว้ถูกเผยออกมา

การตั้งอยู่ของ 8 โกดังซึ่งพบโรงงานกากอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ภายใน เป็นเหมือนหนังสยองขวัญภาคต่อสำหรับวิภารัตน์ เพราะโกดังแห่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 และเริ่มมีการบันทึกข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่โดยเครือข่ายชุมชนยกกระบัตรในปี 2551-2556

ข้อสังเกตที่น่าสนใจ เมื่อเทียบตัวละครกันของโกดังนี้ในเฟส 1 (ช่วงปี 2551-2556) และเฟส 2 (2560-2568) บุคคลที่เกี่ยวข้องกับโกดังนี้ยังเป็นบุคคลเดิม ธุรกิจยังประกอบกิจการแบบเดิม เพียงแต่มีการอำพรางชื่อ ไปใช้ชื่ออื่นแทน

วิภารัตน์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นโกดังแห่งนี้ว่า “ช่วงปี 2551 อดีตผู้ใหญ่บ้านได้บอกกับชาวบ้านว่า มีคนที่มากว้านซื้อที่ไปทั้งหมด 28 ไร่ จะมาทำโรงงานน้ำมันไบโอดีเซล ในช่วงนั้นก็มีคำถามจากชาวบ้านว่าถ้ามาเปิดโรงงานแล้วของเสียเขาจะเอาไปไว้ที่ไหน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้น้ำเสีย

แต่หลังจากการแจ้งครั้งนั้น โรงงานไบโอดีเซลก็ดูเหมือนจะเงียบไป และในปี 2552 ก็เริ่มมีการถมดินสูง 1 เมตรและทำการก่อสร้างโรงงานคือ บริษัท บีเค รีไซเคิล จำกัด(โรงงานที่ 1) เป็นโรงงานหลอมพลาสติกเก่า และบริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด จำกัด(โรงงานที่ 2) เป็นโรงงานแปรรูปไม้และผลิตเม็ดพลาสติก โดยทั้ง 2 โรงงานเริ่มการก่อสร้างโดยไม่มีการทำประชาคมกับชุมชน

ถัดมาในปี 2553 บริษัท บีเค รีไซเคิล เริ่มดำเนินการผลิตอย่างเข้มข้น มีรถบรรทุกขนถุงบิ๊กแบ๊กเข้าออกตลอดทั้งวัน มีขยะกองอยู่ด้านหน้าโรงงานและมีกลิ่นเหม็นไหม้จากพลาสติก รวมถึงถนนที่ชาวบ้านใช้สัญจรมีอาการทรุดตัวลงจากรถบรรทุกที่วิ่งตลอดวัน และมีการปล่อยน้ำเสียในคลองชุมชนที่ชาวบ้านใช้ทำเกษตรกรรมอย่าง คลองเจ๊ก คลองซื่อ และคลองท่าแร้ง

หลังเกิดการประกอบกิจการโรงงาน มีการไล่ซื้อที่ดินชาวบ้านเพิ่มอีก 22 ไร่ นับรวมเป็น 50 ไร่ และในปี 2554 ก็เกิดโรงงานอีกแห่งหนึ่งชื่อ บริษัทมหาเจริญการทอ(โรงงานที่ 3) เป็นโรงงานผลิตแสลนกรองแสง

จนกระทั่งในปี 2555 มีประกาศจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เรื่องการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานที่ 4(โรงงานหลอมอลูมิเนียม) และ โรงงานที่ 5(โรงงานทำผลิตภัณฑ์จากพลาสติก) ในโกดังแห่งนี้ ดำเนินการโดย บริษัท ฟิวเจอร์ อลูมิเนียม แอนด์ซัพพลาย จำกัด

“ตั้งแต่ในช่วงที่เรานิยามว่าเฟส 1 ของโกดังนี้ มันก็ทำอะไรไม่ถูกต้องมาแต่ไหนแต่ไร ประชาคมคุณก็ไม่ทำ การควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมคุณก็ไม่ทำ หรือคุณก่อสร้างจนเสร็จแล้ว ปล่อยมลพิษไปแล้ว เพิ่งจะมาขอความเห็นจากชาวบ้านเป็นครั้งแรก มันแสดงให้เห็นแล้วว่าคุณไม่ได้มีความจริงใจกับชาวบ้านเลย หลังจากนั้นเราเลยพยายามไปร้องเรียนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ อุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรม แล้วเราก็เห็นว่าแม้จะมีตัวแทนของบริษัทเหล่านี้ออกมาพูด มาให้คำสัญญา แม้ว่าจะมีคนของหน่วยงานท้องถิ่นมารับฟังด้วย แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย เหมือนเขาแค่ถ่วงเวลาไว้เฉย ๆ ” วิภารัตน์ กล่าว

โดยในปี 2555 เกิดการคัดค้านมาโดยตลอดโดยเครือข่ายชุมชนยกกระบัตร ในขณะที่มีการร้องเรียน โรงงานก็พยายามที่จะเชิญชาวบ้านบางส่วนเข้าไปเจรจาถึงการดำเนินงานต่อของบริษัทต่าง ๆ โดยตั้งแต่ช่วงแรกนั้น เครือข่ายชุมชนยกกระบัตรพยายามเรียกร้องให้ บริษัท บีเค รีไซเคิล จำกัด และ บริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด จำกัด ปิดกิจการ

แม้ในหนังสือบันทึกข้อตกลงวันที่ 14 พ.ค. 2555 ระหว่างประชาชนหมู่ที่ 6 ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร กับบริษัท บีเค รีไซเคิล จำกัด มีระบุข้อเรียกร้องให้โรงงานปรับปรุงกิจการ โดยคำนึงถึงสุขภาวะและมลพิษจากโรงงานสู่ชุมชน ถ้าโรงงานดำเนินกิจการใด ๆ ไม่สำเร็จจะต้องยินยอมปิดเครื่องจักรในการผลิตทุกตัวโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่แล้วโรงงานทั้ง 5 ในโกดังยกกระบัตรเฟส 1 ก็ไม่ได้ทำการปรับปรุงการปล่อยมลพิษแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน เกิดการโต้กลับต่อฝั่งชุมชนยกกระบัตร ด้วยการเปิดทำการกิจการต่อเนื่องโดยไม่ได้สนใจแวดล้อมโดยรอบ อีกทั้งยังเกิดการเชิญข้าราชการท้องถิ่น ทั้งอบต. นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามารับฟังความคิดเห็นอยู่เนือง ๆ โดยที่หลาย ๆ ครั้งนั้น ไม่มีชาวยกกระบัตรเข้าร่วมแม้แต่คนเดียว

“เราสู้กันไปจนถึงกรรมาธิการที่ดินในสภา มีการเชิญให้หน่วยงานภาครัฐที่อยู่ตรงกลางมาตรวจสอบ แต่จนถึงขั้นนั้นก็ยังเกิดความไม่โปร่งใสในการตรวจสอบและเอาผิดโรงงานพวกนี้อยู่ดี ในช่วงปี 2556 ที่มีการตรวจสอบโกดังนี้อยู่บ่อยครั้ง เราก็จะพบว่ามีการแจ้งเอกสารไปถึงโรงงานก่อนว่าจะตรวจสอบวันนี้ ๆ แต่พอถึงวันนั้นโรงงานก็ปิดทำการ เหลือแต่เครื่องจักรกับลานโล่ง ๆ ไม่มีกลิ่น ไม่มีควันที่พวกเราต้องสูดดมทุกวัน”


วิภารัตน์ กล่าวเสริมว่าในช่วงเวลาปีนี้ ยังมีเหตุการณ์ขู่ทำร้ายเครือข่ายชุมชนที่ออกมาต่อต้านอยู่เป็นระยะ ทั้งการยิงปืนขึ้นฟ้าในเวลาที่ชาวบ้านประชุมกัน หรือส่งคนมาบอกข้อความให้เลิกต่อต้าน เป็นต้น

ความอดทนของชาวบ้านและความเชื่อมั่นต่อภาครัฐหมดลง ในวันที่ 2 พ.ค. 2556 เมื่อกรมควบคุมมลพิษลงพื้นที่ตำบลยกกระบัตรเพื่อเก็บตัวอย่างนำไปทดสอบ แต่ไม่มีกลุ่มชาวบ้านเลยแม้แต่คนเดียวเข้าร่วม โดยชาวบ้านให้เหตุผลว่า ถ้ามีการประสานงานก่อนกับหน่วยงานในพื้นที่ ชาวบ้านไม่ขอรับรู้และรับทราบผลการตรวจสอบใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอาจเป็นผลการตรวจที่ถูกตัดสินไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารบันทึกความเป็นของโกดังดังกล่าว โดยเครือข่ายชุมชนยกกระบัตร เราจะเห็นความเชื่อมโยงรวมถึงชื่อโรงงานเดิม ตัวละครเดิมและตัวละครใหม่

ในขณะที่โกดังที่ไฟไหม้ ซึ่งเป็นโกดังที่ต่อเติมมาในเฟส 2 ของโกดังยกกระบัตรนี้ ในชื่อ TFP หรือบริษัท เถิงฟาฯ นอกจากจะพบชิ้นส่วนพลาสติกคล้าย ๆ กันในโรงงานเอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูด ยังพบชื่อของนาย ฟูควน ลัว เป็นเจ้าของ

รวมถึงน้องชายที่ชื่อ ฟู่ซิน ลัว เป็นเจ้าของกิจการ TFP โดยโรงงานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เข้าข่ายประกอบกิจการไม่ตรงกับใบขออนุญาต โดยเฉพาะโรงงาน TFP ที่ไม่มีชื่อในสารบบของอุตสาหกรรมจังหวัดเลยด้วยซ้ำ

จะเห็นได้อีกว่า ปัจจุบันบริษัท เอ็ม.ซี.ที. รอยัล วูดฯ หรือ บริษัท บี เค รีไซเคิลฯ ทำเพียงแค่ย้ายโรงงานออกไป แต่ก็ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตรจากที่ตั้งเดิมและยังใกล้ชุมชนและแหล่งน้ำ ทำให้กลุ่มโรงงานนี้ยังสร้างผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนยกกระบัตร และยังเชื่อมโยงกับการลักลอบรีไซเคิลของเสียจากหลักฐานที่คล้ายกับที่พบในจุดเกิดเหตุ ซึ่งวิภารัตน์ชี้ให้เห็นว่า เป็นการกระทำอีกรูปแบบหนึ่งของความพยายามก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นโกดังของ ‘นายกิตติทัศน์ รังสีเจริญเลิศ’ นั้น วิภารัตน์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายกิตติทัศน์ แต่เดิมชื่อ ‘นายสุรเชษฐ์ เงินอุดมไพศาล’ ซึ่งปรากฏชื่อในเอกสารรวบรวมข้อมูลที่เครือข่ายชุมชนยกกระบัตรจัดทำขึ้นอยู่แทบทุกหน้ากระดาษ รวมถึงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา วิภารัตน์อ้างว่าบุคคลคนนี้ได้ทำการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ซึ่งเธอคาดว่าเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบในขั้นต้นหรือไม่

แม้นายกิตติทัศน์(ชื่อปัจจุบัน) จะให้ข้อมูลกับอุตสาหกรรมจังหวัดว่า เป็นเพียงผู้ให้เช่าพื้นที่โกดังเท่านั้น ไม่ได้ให้ทำโรงงานอย่างที่กล่าวไปในก่อนหน้า แต่จนถึงปัจจุบัน นายกิตติทัศน์ ยังนั่งในตำแหน่งกรรมการบริษัทของบริษัทเอ็ม.ซี.ที รอยัล วูดฯ และ บริษัท เอส พี โซฟาฯ (เดิมคือ บริษัท บีเค รีไซเคิล) จนถึงทุกวันนี้ และบริษัทไม่ได้ปิดตัวลงแต่อย่างใด

ตลอดการต่อสู้มาอย่างยาวนานเครือข่ายชุมชนยกกระบัตรในปี 2555-2556 นายกิตติทัศน์หรือในเอกสารคือ นายสุรเชษฐ์ เป็นคนออกมารับหน้าให้กับบริษัททุกครั้ง อีกทั้งยังนั่งในตำแหน่งผู้จัดการบริษัท มาตั้งแต่อดีต ทำให้คำให้การของนายกิตติทัศน์ที่กล่าวว่า เป็นเพียงผู้ให้เช่าโกดังนั้นไม่เป็นความจริง เพราะจะอดีตหรือปัจจุบัน นายกิตติทัศน์ เป็นทั้งนายหน้า นั่งร้าน รวมถึงอาจเป็นคนดำเนินการเพื่อเคลียร์ปัญหาเรื่องเอกสารและการร้องเรียนให้กับบริษัทในโกดังแห่งนี้มาโดยตลอด

จากความซับซ้อนที่ทำให้ชวนฉงน สงสัยในข้อพิรุธมากมาย ท้ายที่สุด เราจะพบว่าหลักฐานที่ปรากฏทั้งที่อยู่-ที่จดตั้งโรงงาน หลักฐานอย่างกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ค้นพบ และรายชื่อตัวละครที่เกี่ยวข้อง ทั้ง 3 จุดโกดังโรงงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ ชี้ให้เห็นว่าเป็นเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกลุ่มเดิม และยังกระทำผิดมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมานี้

“พอเราเห็นข้างในว่ามันมีอะไรบ้าง และได้รับรู้ว่าตัวละครเดิม ๆ ยังคงอยู่ รวมถึงเจ้านายที่แท้จริงของโกดังแห่งนี้เป็นใคร เรายังคิดเลยว่าเผลอ ๆ แล้วข้างในโกดังที่มี 8 โรงงานที่ตั้งอยู่ข้างบ้านเรามาตั้งนาน อาจจะเป็นพวกเดียวกันหมด ไม่ได้แยกกันทำ แค่แยกชื่อกันจัดการ ร่วมหุ้นเฉย ๆ แต่เราแค่เพิ่งได้เห็นตัวจริงของพวกเขาต่างหาก” วิภารัตน์ กล่าว

แม้วิภารัตน์จะยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ากลุ่มเครือข่ายทุนจีนเข้ามาร่วมทุนกับนอมินีชาวไทยรายนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่วิภารัตน์ก็ให้ความเห็นว่า การประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2555 ที่มีรถบรรทุกเข้าออกจำนวนมาก อาจเป็นไปได้ว่า โกดังแห่งนี้มีเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมทุนจีนเข้ามาร่วมด้วย และยิ่งมากขึ้นในช่วงหลัง 2560

การเปิดเผยโฉมหน้าตัวละครที่แท้จริงของโกดังยกกระบัตรนั้น อาจเป็นอีกหลักฐานชิ้นหนึ่งของการเข้ามาของกลุ่มทุนจีนในธุรกิจกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย ว่าพวกเขาไม่ได้เพิ่งเข้ามา แต่เป็นเครือข่ายอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมที่แฝงตัว และใช้โมเดลนี้มาเป็นระยะเวลานาน

บ่อปลา สวนมะพร้าวล่มสลาย และผังเมืองผุพัง ชำรุด

ปัจจุบัน วิภารัตน์ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังเดิมที่ตั้งอยู่ในตำบลยกกระบัตร เธอย้ายออกไปอยู่ที่ตำบลหลักห้า ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียง แต่ยังคอยช่วยเหลือ ประสานงาน กับเครือข่ายชุมชนยกกระบัตรรวมถึงเครือข่ายชุมชนอื่น ๆ ในจังหวัดสมุทรสาครที่ได้รับผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ

เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้วิภารัตน์รู้สึกสิ้นหวังกับการหวนคืนของสภาพเศรษฐกิจ และสังคมแบบเดิมของพื้นที่ แต่ยังหมายถึงการได้พบว่าโกดังยกกระบัตรแห่งนี้ กลายร่างเป็นโรงงานที่เถื่อนมากยิ่งขึ้น ขยะที่นำเข้ามาในโกดังอันตรายมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงเมินเฉยจนเกิดเป็นเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้

“ในส่วนที่เราเรียกร้องเราก็ต้องทำต่อ เพราะกลายเป็นว่าเราไม่เชื่อถือในหน่วยงานรัฐ หน่วยงานท้องถิ่นไปแล้ว ถ้าเขาจะปราบโกดังแห่งนี้ เอาผิดโรงงานพวกนี้ เขาต้องทำตั้งนานแล้ว” วิภารัตน์ กล่าว

ตามประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. 2556 อำเภอบ้านแพ้วถูกจัดวางให้อยู่ผังเมืองสีเขียว คือ ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรรม และ ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม

และตามประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. 2560 อำเภอบ้านแพ้ว ถูกประกาศให้เป็นผังเมืองสีชมพูหรือที่ดินประเภทชุมชน ตลอดทั้งอำเภอ

วิภารัตน์ กล่าวถึงการมีอยู่ของโกดังแห่งนี้ว่า ไม่ว่าผังเมืองของพื้นที่จะเป็นสีอะไรก็ตาม โกดังแห่งนี้ยังคงทำตามอำเภอใจเสมอมา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาวบ้านในชุมชนยกกระบัตรย่อมมองถึงการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่ถึงแม้เธอและชาวบ้านจะเรียกร้อง ไปจนถึงยื่นต่อคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ในปี 2556 แต่โรงงานแห่งนี้ก็ยังคงตั้งอยู่ได้

เธอตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงเฟส 1 ของโกดังยกกระบัตร น่าจะเป็นการกระทำที่ทุจริตของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่ทำให้พื้นที่ผังเมืองสีเขียวมีโรงงานก่อตั้งอยู่ได้ แต่ในช่วงเฟสที่ 2 ซึ่งมีการขยายโรงงานเต็มพื้นที่โกดังทั้ง 8 โกดัง อาจดำเนินการจากผลกระทบของคำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสําหรับการประกอบกิจการบางประเภท หรือกล่าวโดยย่อที่สุดคือ สามารถสร้างโรงงานหลากประเภทได้โดยที่ไม่ต้องสนใจผังเมืองอีกต่อไป

วิภารัตน์กล่าวเสริมว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เครื่องจักรในโกดังแห่งนี้ยังทำงานมาโดยตลอด ไม่ว่าผังเมืองจะเป็นสีอะไร หรือมีการร้องเรียนแค่ไหน รวมถึงพบว่าหลายครั้งไม่มีการทำประชาคมกับชุมชน ประกอบการกิจการไม่ตรงกับใบขออนุญาตและหลายโรงงานไม่มีใบขออนุญาตใด ๆ ด้วยซ้ำ

“มันเจ็บปวดมากนะ ที่ชาวบ้านต้องมาดำเนินงานแทนหน่วยงานภาครัฐเพื่อที่จะช่วยเหลือ เยียวยา และตามหาความจริงของโกดังเถื่อนแห่งนี้ มันน่าเจ็บใจที่คนของโรงงานหน้าเดิม ๆ ยังอยู่ ข้าราชการท้องถิ่นที่ชาวบ้านก็รู้เห็นว่าให้ท้ายกับการตั้งอยู่ของโกดัง ยิ่งโตขึ้น เรื่อย ๆ แต่วิถีชีวิตของชุมชนยกกระบัตรแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมแล้ว บางคนเคยปลูกสวนมะพร้าวก็ต้องเปลี่ยนเป็นรับจ้างทั่วไป บางคนเคยขายปลาก็ต้องปิดบ่อทิ้ง บางคนเคยสุขภาพดีก็ต้องมาป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ”

“ยกกระบัตรเปลี่ยนไปหมดแล้ว ยกเว้นโรงงานเถื่อนและคนทำผิดพวกนี้ที่ยังอยู่” วิภารัตน์ กล่าว

แม้วันนี้โรงงานทั้งหมดในโกดังยกกระบัตรจะยังปิดตัวลง เนื่องจากอาคารที่ถูกไฟไหม้ รวมถึงเครื่องจักร ขยะอุตสาหกรรม รวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ในโกดังแห่งนี้จะถูกยึดไว้เป็นของกลาง แต่ความกังวลของชาวบ้านยังคงก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต่างจาก 10 ปีที่แล้ว ที่พวกเขาเคยรวมตัวเรียกร้อง บางคนย้ายจากไป บางคนตายก่อนเห็นยกกระบัตรมีอากาศบริสุทธิ์ดังเดิม ความไม่เชื่อมั่นต่อหน่วยงานภาครัฐก็ก่อตัวสูงเท่า ๆ กับความกังวลที่มีของชาวบ้านในวันนี้

“ถ้าถามว่าตั้งแต่ปี 47(ย้ายเข้ามาอยู่) จนถึง ปี 68 เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในยกกระบัตร ก็คงเป็นวิถีชีวิตที่หายไปของยกกระบัตร และสิ่งที่กำลังจะหายตามไปอย่างพืชผลเกษตรกรรม รวมถึงคนท้องถิ่นที่เป็นรากเหง้าของวิถีชีวิตนี้

ถ้าจะต้องแก้ไขอะไร เราคิดว่าการปฏิรูปข้าราชการท้องถิ่นที่มาตรวจสอบ หรืออนุมัติ คุณต้องคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ มันคุ้มหรือจริงหรือ? ที่จะเอามะพร้าวน้ำหอมซึ่งเป็นสินค้า GI ด้วยซ้ำไปแลกกับขยะกากอุตสาหกรรมที่ชุมชนโดยรอบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันคุ้มหรือจริงหรือ? ที่ยอมให้เม็ดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองแลกกับสุขภาพและชีวิตของชาวบ้าน

มันคงคาดหวังให้พื้นที่หรือบ้านของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมแบบแต่ก่อนไม่ได้ แต่ขอให้จัดการคนทำให้พื้นที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นบ้าน เป็นบ้านเกิดของประชาชน หยุดผิดเพี้ยนและผุพังได้ไหม” วิภารัตน์ กล่าว

ในเศษซากปรักหักพังของโกดังยกกระบัตร ไม่ได้ทำให้เห็นแค่ความผุพังของหน่วยงานที่ควรจะตรวจสอบ ดูแล ผุดออกมา แต่เรายังเห็นกลไกของเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม ที่ทำงานกันอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน และอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน

รวมถึงกลุ่มทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนรีไซเคิลจีน ที่แฝงตัวในหลายพื้นที่ของสังคมไทย คำถามในวันนี้อาจไม่ใช่แค่เราจะแก้ไขปัญหาการรุกคืบของทุนข้ามชาติที่ทำลายสิ่งแวดล้อมไทยอย่างไร แต่ยังต้องรวมไปถึงการสร้างมาตรการเพื่อมาป้องกันก่อนจะต้องตามมาแก้ไข ซึ่งอาจไม่ทันการเหมือนอย่างโกดังในพื้นที่ยกกระบัตร หรือโรงงานในเขตภาคตะวันออกอีกหลายแห่ง

หลังคาสังกะสีของโกดังยกกระบัตรอาจพังทลายลงแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่พัง คือเครือข่ายทุนข้ามชาติ ภาครัฐที่เฉยชา และประเทศไทยที่ถูกใช้เป็น ‘ลานทิ้ง’ ภายใต้การอำนวยความสะดวกจากโครงสร้างรัฐที่ไร้การตรวจสอบ เราอาจเห็นภาพเพียงบางส่วนของอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมที่ฝังรากอยู่ในหลายจังหวัด แต่เบื้องหลังยังมีแรงหนุนจากทุน ซัพพลายเชน และระบบเอื้อประโยชน์ที่ยังไม่ถูกเปิดเผย

อีกไม่นาน ความเสียหายอาจขยายตัวเกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยแค่การรื้อโกดัง หรือปิดโรงงานไม่กี่แห่ง

เพราะแค่ครึ่งปีที่ผ่านมาแสดงให้เราเห็นแล้วว่า ไม่ว่าเราเต็มใจหรือไม่เต็มใจจะรับสถานะ ‘ลานทิ้งขยะ’ ของเครือข่ายอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมที่ยังกระจายตัวอยู่ในประเทศไทย

แต่ใครจะรู้ว่าสักวัน ไม่ว่าโฉนดบ้านจะอยู่เขต EEC หรือไม่ หรือเป็นผังเมืองสีอะไร หากเรื่องนี้ยังไม่มีการแก้ไข หน้าบ้านของเราอาจกลายเป็นลานทิ้งขยะ และในวันนั้นเราไม่สามารถจะเรียกร้องอะไรได้แล้ว