วิมานหนามที่มองไม่เห็น ‘กรีดพู ดูเนื้อ’ วิกฤตแรงงานข้ามชาติ
Reading Time: 3 minutesเมื่อแรงงานข้ามชาติ คือกำลังสำคัญของภาคเกษตร แต่ระบบที่ไม่เอื้ออำนวยกำลังบีบคั้นทั้งแรงงานและนายจ้าง ไม่ต่างจากหนามทุเรียนที่คอยทิ่มแทงคนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมนี้
ปัจจุบันสินค้าผัก และผลไม้ที่เข้ามาสู่ประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศสมาชิกในอาเซียน ซึ่งด่านศุลกากรเป็นต้นทางที่ผักและผลไม้ผ่านเข้าสู่ประเทศไทย
เส้นทางผ่านข้ามแดนขาเข้าต้องผ่าน 3 ด่าน คือด่านศุลกากร ผ่านด่านตรวจพืช ด่านตรวจอาหารและยา ก่อนมาถึงตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ ตรงไปตลาดค้าปลีกและกระจายสู่จานอาหารตรงหน้าเราทุกคน
แม้จะขนส่งมานานแล้วกว่า 3 เดือน แต่ยังพบว่าผัก-ผลไม้เหล่านี้ยัง สวย สด กรอบ และจากผลการตรวจสอบล่าสุดจากด่านเชียงของ-ตลาดค้าส่ง พบสารพิษตกค้างจากผัก-ผลไม้นำเข้ามากถึง 7 ชนิด
อาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อหวังจะบำรุงร่างกาย แต่กลับกลายเป็นสารพิษ บนเครื่องหมายคำถาม(?) แล้วเราจะไว้ใจอาหาร บนจานเราได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อหลายครั้งการปนเปื้อนที่เราพบเจอยังไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และหาคนรับผิดชอบไม่เจอ
ยังไม่มีคำตอบสุดท้ายสำหรับการสร้างระบบอาหารปลอดภัย เมื่อปลอดภัยยังไม่เท่ากับยั่งยืน สำรวจ แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดระบบอาหารที่ยั่งยืนในสังคมไทยกับวงเสวนา “ร่วมคิด ร่วมสร้าง ระบบอาหารปลอดภัย จากรัฐสภาไทยสู่ประชาชน” เสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานขับเคลื่อนหลายภาคส่วน เพราะอาหารต้องไม่มีคำว่า “ไม่ปลอดภัย” แม้จะมากหรือน้อยก็ตาม
จากข้อมูลการตรวจสอบของวุฒิสภาและไทยแพนที่ลงพื้นที่ตรวจด่านชายแดน จุดรับผักผลไม้จากจีนและประเทศอาเซียน รวมถึงในตลาดต่าง ๆ พบว่า ตัวเลขการปนเปื้อนสารเคมีมีความน่าสนใจและน่ากังวลอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2567 ไทยแพนและมูลนิธิผู้บริโภคได้สุ่มตรวจองุ่นไซมัสคัส และพบว่า ประมาณ 96% มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ต่อมาในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน การสุ่มตรวจผักผลไม้นำเข้าที่จำหน่ายทั้งในห้างและตลาดค้าส่งและเทศบาลใน 12 จังหวัด พบว่า ประมาณ 73% มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่คณะกรรมาธิการลงพื้นที่ด่านเชียงของ จัดสุ่มตัวอย่างสินค้า พบว่า ประมาณ 70% ของสินค้าที่ด่านมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน และเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม การลงพื้นที่ตลาดไทพบว่า ตัวอย่างที่มาจากต่างประเทศประมาณ 60% มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน
แม้จะตรวจสอบเจอ แต่การจะหาคนรับผิดยังทำได้ยาก เมื่อประเทศไทยยังไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของผัก-ผลไม้ที่ปนเปื้อน และรวมถึงตัวละครอย่าง “ล้ง” ที่มีทั้งล้งไทยและล้งต่างชาติ ทั้งผลิตในประเทศและนำเข้ามาจากด่านทั้ง 46 แห่งทั่วประเทศ
ล้ง จึงเป็นอีกตัวละครซึ่งมีส่วนสำคัญในการควบคุมสารปนเปื้อนที่แอบแฝงมาในอาหาร หรือในอีกมุมหนึ่ง การสร้างระบบอาหารปลอดภัยจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนหลังไปถึงผลผลิตที่มาถึงในล้งนั้น ๆ ได้
โอภาส พิทักษ์ ที่ปรึกษาตลาดไท สะท้อนความท้าทายของการควบคุมคุณภาพในตลาดกลางค้าส่งขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นเพียง ตลาดกลางสินค้า หรือ “Marketplace” โดยไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเอง จนต้องเผชิญปัญหาหลักคือ การตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ที่ทำไม่ได้จริง เนื่องจากสินค้ามักผ่านมือคนกลางหลายทอด และเกษตรกรเองยังไม่รู้ว่าปลายทางต้องการความปลอดภัยระดับไหน
“อีกหนึ่งกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสินค้าผัก ผลไม้และอาหารสดที่สำคัญ แต่ถูกมองข้ามคือ ‘ล้ง’ หรือจุดรวบรวมสินค้า ซึ่งเป็นผู้ที่รู้แหล่งที่มาของสินค้าอย่างแท้จริง แต่กลับอยู่นอกระบบการกำกับดูแลของภาครัฐ ไม่มีหน่วยงานใดดูแลล้งโดยเฉพาะในทางปฏิบัติ ทำให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง หากมีการตรวจสอบและกำกับดูแลที่จุดรวบรวมสินค้าได้ จะทำให้การไล่ติดตามและแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนทำได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการกำกับดูแลล้งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาปนเปื้อนทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” โอภาสเน้นย้ำ
ด้าน สุวรรณา หลั่งน้ำสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สังคมสุขภาพ จำกัด (Lemon Farm) กล่าวว่า นิยามของอาหารปลอดภัยนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับปลอดสารปนเปื้อน เกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรออแกนิค แต่คำว่าอาหารปลอดภัยแท้จริงต้องมีมาตรฐานและการตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า หากอาหารมีการปนเปื้อนเราจะต้องไปตามหาต้นตอจากที่ใด
ผัก-ผลไม้ในประเทศสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ ผักที่มาจากการนำเข้าและผักที่ผลิตเองในประเทศ แม้จะมีการตรวจพบสารปนเปื้อนที่มาจากผักที่นำเข้ามากกว่า แต่ทั้งสุวรรณาและโอภาสมองว่า ในปัจจุบันยังไม่มีการจัดระบบให้กับตัวละครอย่าง ‘ล้ง’ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในซัพพลายเชนของการสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัย การติดตามที่มาซึ่งล้งจะต้องมีส่วนสำคัญในการกำกับดูแลสารปนเปื้อนในอาหาร จึงต้องมีการกำกับให้ชัดเจนว่าล้งเองก็เป็นหนึ่งในเกษตรกร แต่อาจจะมีระบุไว้ชัดเจนในฐานะเกษตรกรต้นทางขนาดใหญ่ ที่ต้องมีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยของอาหารด้วย
“เกษตรกรจำนวนมากจะรวมกลุ่มกันเพื่อส่งสินค้าให้กับเรา มาตรฐานที่เราสร้างขึ้นจึงใช้กับทั้งกลุ่มหากพบเจอสารปนเปื้อนในสารพิษ มาตรฐานที่ว่าคือ การต้องทำให้เรารู้ว่าผักทุกต้นใครเป็นคนปลูก มันนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเกษตรกร ขึ้นทะเบียนสินค้าแต่ละล็อตที่เข้ามา จะทำให้การสร้างมาตรฐานอาหารปลอดภัยเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง” สุวรรณา กล่าว
แม้จะเป็นข้อกล่าวหาว่า ตั้งแต่สารปนเปื้อนเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นทาง เกษตรกรกลายเป็นผู้รับจบในสารปนเปื้อนที่เข้ามา แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายมือที่มองไม่เห็น รวมถึงต้นทุนแฝงในการผลิตอาหารที่ปลอดภัย
น.สพ.ศักดิชญ์ อนุโลมสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการจะผลักดันให้เกษตรกรทำตามมาตรฐานอาหารปลอดภัยนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึง “ต้นทุนและรายได้” ของเกษตรกรด้วย โดยควรมองถึงการสร้างแรงจูงใจทางการตลาดและผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุนในมาตรฐานต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ
“แม้เราในฐานะผู้บริโภคหรือปลายน้ำของสายพานการผลิตจะคาดหวังว่าเกษตรกรจะต้องผลิตอาหารอย่างปลอดภัยให้กับเรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในขณะที่กำลังความต้องการผลผลิตมีจำนวนมากขึ้นรวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตผัก-ผลไม้ เกษตรกรจำนวนมากจะยังไม่เข้าใจว่าระบบอาหารที่ปลอดภัยสำคัญอย่างไร แต่สิ่งที่เขามองเห็นคือต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากกฎเกณฑ์และมาตรฐานในการผลิต “
“เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ต้องเพิ่มขึ้นหรือจะทำให้เกิดระบบอาหารที่ปลอดภัยและมีความยั่งยืนด้วย คือต้องช่วยเหลือเกษตรกรจำนวนมากเหล่านี้ด้วย เพราะเราคงไม่คาดหวังให้เกษตรกรตัวเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นฮีโร่ที่จะแบกระบบอาหารที่เราคาดหวังอยากให้เกิดขึ้น แต่มันต้องมาจากนโยบายและการกำกับที่ชัดเจน” น.สพ.ศักดิชญ์ กล่าว
ในขณะเดียวกัน ปัญหาประการใหญ่ของเกษตรกรในประเทศไทยจำนวนมาก คือการที่ระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืนนั้นอยู่นอกมือเกษตรกร กล่าวคือ เกษตรกรจำนวนมากเป็นเพียงผู้ทำ แต่ไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้มากพอที่จะเกิดความคาดหวังให้เกษตรกรเหล่านี้สร้างมาตรฐานอาหารที่ปลอดภัยให้สังคม
อุมารินทร์ เกตพูลทอง ตัวแทนเกษตรกร จากวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาสลิดเกษตรพัฒนา สะท้อนปัญหาว่า เกษตรกรมีความอยากที่จะพัฒนาสินค้าให้มีมาตรฐาน แต่ขาดความมั่นคงในด้านต่าง ๆ อาทิ ที่ดินและเงินทุน ทำให้ยากต่อการลงทุนในมาตรฐาน และเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยและสนับสนุนการตลาดแก่กลุ่มเกษตรกรที่ยั่งยืน ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่จะทำให้เกิดระบบอาหารที่ดีนั้นทุกวันนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มทุน รวมถึงยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่เกษตรกรจำนวนมากต้องเอาตัวรอดภายใต้การบีบบังคับของเศรษฐกิจย่ำแย่
ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) ได้ยกตัวอย่างของสถานการณ์สารพิษปนเปื้อนครั้งใหญ่ที่กระทบทั้งภูมิภาคอย่าง การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การจะสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยนั้นภาครัฐจะต้อง take action กับต้นตอของปัญหาอย่างชัดเจน รวมถึงสร้างมาตรการหรือข้อกำกับให้กับกลุ่มทุนที่ก่อมลพิษด้วย
ในวงเสวนาครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมบรรยายเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ใช่เพียงคนตัวเล็กในสายพานการผลิตอาหารจะต้องเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยของอาหาร แต่รัฐจะต้องทำให้ความปลอดภัยที่อยู่บนจานข้าวของเราอยู่ในขอบเขตของการควบคุม ผ่านการออกแบบนโยบายและการสนับสนุนที่ครอบคลุม รวมถึงมาตรการเพื่อป้องกันสารปนเปื้อนที่ชัดเจน จึงจะทำให้ระบบอาหารปลอดภัยได้จริง
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขคือ พ.ร.บ. อาหารฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2522) ที่มีความล้าสมัยอย่างมาก ภก.ภาณุโชติ ทองยัง สภาผู้บริโภค ชี้ว่ากฎหมายนี้ทำให้ อย. ไม่มีอำนาจในการเรียกคืนสินค้าจากตลาดได้อย่างเด็ดขาด ทำได้เพียงแค่ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเท่านั้น ภก.ภาณุโชติยกตัวอย่างกรณีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากอินโดนีเซีย ซึ่งในสิงคโปร์สามารถเรียกคืนได้ทันที แต่ประเทศไทยทำได้เพียงส่งหนังสือขอความร่วมมือ
“การเข้าถึงข้อมูลก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ โดยข้อมูลผลการตรวจสินค้าต่าง ๆ ที่ใช้ภาษีของประชาชน กลับถูกเก็บไว้ใน “กำปั่นทอง” ของหน่วยงานภาครัฐ ประชาชนและสื่อมวลชนไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้การรับรู้และการเฝ้าระวังภัยเป็นไปได้ยาก การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะจะช่วยให้ผู้บริโภคและสื่อสามารถร่วมกันเตือนภัยและผลักดันการแก้ไขปัญหาได้”
“พ.ร.บ. อาหารฉบับประชาชนที่กำลังผลักดันอยู่จึงมุ่งเน้นการสร้างระบบเรียกคืนที่มีประสิทธิภาพ และให้หน้าที่ความรับผิดชอบนี้อยู่ที่ผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วและครอบคลุม” ภก.ภาณุโชติ กล่าว
รวมถึง ปรกชล ได้เรียกร้องให้ภาครัฐยกระดับความปลอดภัยทางอาหารให้เป็นนโยบายแรกของประเทศ ผ่าน พ.ร.บ. อาหารฉบับประชาชน
“ถ้าไม่ปลอดภัย เราไม่เรียกมันว่าอาหาร การผลักดัน พ.ร.บ. อาหารฉบับประชาชน ให้เกิดขึ้นและถูกบังคับใช้จริง ๆ นั้นจะช่วยสร้างระบบเรียกคืนที่มีประสิทธิภาพและให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบโดยตรง นอกจากนี้ยังเสนอให้มีห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ณ ด่านนำเข้า เพื่อตรวจหาสารพิษได้ทันที รวมถึงควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลระบบเฝ้าระวังแบบทันท่วงที (Real-time) และเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ มันทำให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมและมีส่วนรู้ว่าบนจานข้าวของพวกเขาปลอดภัยจริง ๆ “ ปรกชล กล่าว
ดร. จุฑารัตน์ พัฒนาทร ผอ. อาวุโสฝ่ายประกันคุณภาพและกำกับดูแลกฏหมายผลิตภัณฑ์ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวในประเด็นการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางว่า แม้จะเป็นกลุ่มขนาดใหญ่หรือกลุ่มขนาดเล็กก็ตาม แต่การตรวจสอบจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดเท่ากันทุกภาคส่วน เช่นเดียวกับการดำเนินงานของเครือ MAKRO หรือ LOTUS ที่ตนทำงานอยู่
ดร. จุฑารัตน์ กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ต้องไปทำเพิ่มเติม คือไม่ใช่แค่การสามารถตรวจสอบย้อนกลับของอาหารที่ปนเปื้อน แต่ตัวสารเคมีหลายชนิดที่ตรวจพบ เราต้องสามารถระบุได้ด้วยว่าใครเป็นคนใช้ ใครเป็นคนนำเข้า รวมไปถึงในอนาคตเราอาจจะต้องมีเหมือนเภสัชกรสำหรับสารเคมีที่ถูกใช้ในอาหาร จึงจะทำให้การควบคุมสารปนเปื้อนนี้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”
สุนทร พฤกษพิพัฒน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 11 กระทรวง 4 หน่วยงาน ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบ เรื่องอาหารปลอดภัย ซึ่งเป็นกลไกที่มีอยู่แล้วและมีอำนาจครอบคลุมทุกมิติ แต่ขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
“หากจะกล่าวว่าไทยไม่มีมาตรการในการสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยเลยก็คงไม่จริงเสียทั้งหมด แต่ที่ผ่านมาเรามีแต่เราไม่ใช้ความร่วมมือนี้เพื่อพยายามสร้างความยั่งยืนของอาหารอย่างจริงจัง สิ่งที่ทางวุฒิสภา ภาคการเมือง รวมถึงทุกภาคส่วนต้องไปทำงานร่วมกันต่อ คือเราจะทำให้กลไกเหล่านี้ถูกใช้จริงได้อย่างไร”
พศินทัศน์ สินโสภณเกษม เจ้าของเพจกัปตันคนเนิร์ด มองถึงบทบาทของผู้บริโภคและการขับเคลื่อนจากภาคประชาชน หากผู้บริโภคตระหนักและเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัยมากขึ้น ก็จะส่งผลย้อนกลับไปถึงผู้ผลิตให้ปรับตัว
“หากฝ่ายการเมืองหยิบยกเรื่องอาหารปลอดภัยมาเป็นนโยบาย จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก แม้ว่าเพจของเราจะพูดถึงเรื่องการเมืองแต่อย่าคิดว่าการพูดคุยเรื่องชั้น 14 เรื่องการสลายขั้ว หรือประเด็นร้อนทางการเมืองจะได้รับความสนใจมากกว่าประเด็นเรื่องอาหารปลอดภัย เพราะคลิปที่มียอดวิวสูงสุดของเพจคือ คลิปที่ไปตรวจสารปนเปื้อนที่เชียงของ ซึ่งมันพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเด็นเรื่องความปลอดภัยทางด้านอาหารคือเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะประชาชนมองเห็นว่าถ้าบนจานข้าวของเขาไม่ปลอดภัย ประเด็นอื่น ๆ ทางสังคมนั้นก็ย่อมไม่ปลอดภัยเช่นกัน” พศินทัศน์ กล่าว
การสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยไม่ใช่เพียงภาระหน้าที่ของเกษตรกรหรือผู้ผลิต แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งรัฐ เอกชน และผู้บริโภค การผลักภาระให้ใครเพียงฝ่ายเดียวทำให้ปัญหาไม่อาจคลี่คลายได้จริง หากผู้กำหนดนโยบายไม่ยกเรื่องความปลอดภัยของอาหารขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ ระบบการผลิตก็จะยังเดินอยู่บนร่องเดิมที่เปราะบาง เต็มไปด้วยช่องโหว่และผลักภาระสู่ผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม
สิ่งสำคัญคือการยอมรับว่า “อาหารที่ปลอดภัยคือสิทธิขั้นพื้นฐาน” ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยสำหรับคนบางกลุ่ม รัฐต้องจัดให้มีระบบตรวจสอบที่โปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลสารตกค้างสู่สาธารณะ และให้เครื่องมือกับผู้บริโภคในการตรวจสอบย้อนกลับได้จริง เช่นเดียวกับที่หลายประเทศพัฒนาแล้วถือเป็นมาตรฐานบังคับ
และหากคำว่า “อาหารไม่ปลอดภัย ไม่ใช่อาหาร” จะไม่เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็นความจริงในสังคมไทยได้ เราจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือข้ามภาคส่วนอย่างแท้จริง ต้องผลักดันกฎหมายใหม่ที่ทันสมัย กลไกตรวจสอบที่โปร่งใส และนโยบายที่ยืนอยู่ข้างสุขภาพประชาชนอย่างจริงจัง อาหารบนจานของคนไทยทุกคนต้องไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ต้องเป็นความมั่นคงและความยั่งยืนของสังคมในวันข้างหน้า