อย่าเห็นฉันเป็นสนามอารมณ์แห่งสงคราม 'ข้อมูลบิดเบือน' ประชาธิปไตยบิดเบี้ยวที่เราต่างมีส่วนร่วมโดยไม่ตั้งใจ - Decode

อย่าเห็นฉันเป็นสนามอารมณ์แห่งสงคราม ‘ข้อมูลบิดเบือน’ ประชาธิปไตยบิดเบี้ยวที่เราต่างมีส่วนร่วมโดยไม่ตั้งใจ

Conflict ResolutionExplainNew World Order
Reading Time: 2 minutes

ภาพข่าวเก่าจากต่างประเทศที่ถูกนำมาโจมตีว่าทหารอีกฝั่งกำลังโจมตีเราด้วยอาวุธเคมี

เนื้อหาจากเว็บไซต์หรือเพจที่ดูคล้ายสำนักข่าว

คลิปวิดีโอปลอมที่ใช้เอไอสร้างขึ้นเพื่อโจมตีนักการเมือง

ข้อมูลมั่ว ๆ ผิด ๆ ที่กลายเป็นกระแสไวรัล

นี่เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่สะท้อนว่า เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ข้อมูลบิดเบือนรอบตัวถูกขยายผลด้วยอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย พื้นที่ทางธุรกิจที่สร้างรายได้จากอารมณ์และ “การอิน” ของผู้เสพคอนเทนต์ที่ตอบสนองด้วยการคอมเมนต์ กดไลก์ กดแชร์ จนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ในวันนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ปฏิบัติการข่าวสารที่ขับเคลื่อนโดยรัฐอีกต่อไป แต่เป็นกลยุทธ์ที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่รู้ตัวก็ตาม

ในสมรภูมิที่ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงพื้นที่และโอกาสในการสร้าง “ความจริง” ไม่ว่าคุณจะลงเล่นเกมนี้แบบงง ๆ หรือตั้งใจลงด้วยแรงจูงใจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ของข้อมูลบิดเบือนสามารถสั่นสะเทือนรากฐานของประชาธิปไตยได้อย่างน่าตกใจ เพราะแม้แต่ในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา บทสนทนาในช่วงการเลือกตั้งยังถูกแทรกแซงโดยชาวเน็ตที่ทำรายได้มหาศาลจากการกระจายข้อมูลบิดเบือนในโลกออนไลน์แม้จะอาศัยอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง

ในยุคที่สงครามข้อมูลยุคใหม่ในโลกออนไลน์ลึกซึ้งขึ้น ฉลาดขึ้น และเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาบนหน้าจอมือถือของเรา ดร. ซาแมนธา แบรดชอว์ ผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคง นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ มหาวิทยาลัยอเมริกัน นำเสนอรายละเอียดที่น่าสนใจจากงานวิจัยที่ช่วยให้เข้าใจว่า โลกเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเราจะช่วยกันหาทางออกจากสงครามข้อมูลบิดเบือนและประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยวในยุคดิจิทัลได้อย่างไร

จากบอทสู่อินฟลูเอนเซอร์ จากมือสมัครเล่นสู่มืออาชีพ ‘ไอโอรัฐฉบับอัปเกรด

เมื่อครั้งที่ดร. ซาแมนธาเริ่มต้นงานวิจัยเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อด้วยคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ เธอพบว่ามีเพียงไม่กี่รัฐเท่านั้นที่มีส่วนในการสร้างอิทธิพลอย่างเป็นระบบบนโลกออนไลน์ผ่านปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations หรือ IO) แต่ปัจจุบัน ปฏิบัติการข่าวสารได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือทางการเมืองและเป็นมาตรฐานของรัฐและรัฐบาลหลายแห่ง

“ในปี 2017 เราสามารถระบุได้ว่า มีรัฐบาลและรัฐ 30 แห่งที่มีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ จำนวนนี้ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 81 แห่งในปี 2020”

ดร. ซาแมนธาฉายภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและความซับซ้อนของปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทำให้เราเห็นเส้นทางจากความพยายามโฆษณาชวนเชื่อแบบไม่ยึดโยงกับสังคมในอดีต สู่การสร้างแคมเปญที่แยบยลเพื่อชักจูงผู้คนในปัจจุบัน 

ในอดีตรัฐบาลมักอาศัยการเซ็นเซอร์ ควบคุมเนื้อหา และจำกัดการไหลของข้อมูล มากกว่าที่จะกำหนดทิศทางและปั้นแต่งข้อมูลด้วยตนเอง แต่ปัจจุบัน รัฐหลายแห่งทำปฏิบัติการข่าวสารอย่างมืออาชีพ ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อวางแผนส่งข้อความบิดเบือนไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว เพื่อชี้นำบทสนทนาและการถกเถียงของสาธารณะ เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางอย่างในกลยุทธ์ของรัฐ ดังนี้

1. ใช้ประโยชน์จากอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย

โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับการสร้างอิทธิพลและคุมเกมทั้งการแทรกแซงและเริ่มต้นบทสนทนาของสาธารณะในโลกออนไลน์ โดยมี “ยอดเอนเกจ” หรือการตอบสนองของผู้ใช้ต่อเนื้อหาเป็นหัวใจสำคัญในการแพร่กระจายข้อมูลบิดเบือน

“ข้อมูลบิดเบือนทุกวันนี้ถูกขยายผลด้วยอัลกอริทึม เนื้อหาออนไลน์ไม่ได้แข่งขันกันบนพื้นฐานของความจริงหรือคุณค่าต่อสาธารณะอีกต่อไป แต่แข่งขันกันด้วยยอดการตอบสนอง (engagement)”

รัฐรู้จักเครื่องมือนี้ และปรับตัวโดยการใช้พลังอันรุนแรงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เปิดตัวแคมเปญที่มีเนื้อหากระตุ้นอารมณ์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะถูกแนะนำและแชร์ในกว้างขวางโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น

2. เปลี่ยนจากบอทสู่อินฟลูตัวจริง

ปฏิบัติการข่าวสารในยุคแรกพึ่งพาเครือข่ายบอทอัตโนมัติ กองทัพของบัญชีปลอมที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เผยแพร่ข้อความที่วางแผนไว้ รวมถึงเป็นแกนนำในการใช้แฮชแท็กเพื่อชี้นำและแทรกแซงบทสนทนาของผู้คนในโลกออนไลน์

ดร. ซาแมนธาอธิบายว่า เมื่อแพลตฟอร์มและผู้ใช้ฉลาดขึ้นในการตรวจจับกิจกรรมและข้อความที่ไม่น่าเชื่อถือ นักแสดงของรัฐก็ปรับตัว แคมเปญสมัยใหม่มักจะร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นหรือในเครือข่ายของตัวเอง เป็นคนที่ชุมชนทั้งในสังคมออนไลน์และออฟไลน์เชื่อถือจริง ๆ โดยเฉพาะคนดังระดับจุลภาค (microcelebrities) เพราะตัวตนและความน่าเชื่อถือของอินฟลูเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้รัฐถูกตรวจจับได้ง่าย

“ทุกวันนี้ปฏิบัติการข่าวสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการใช้บอท แต่พึ่งพาผู้ส่งสารที่เป็นมนุษย์จริง ๆ … ข้อความสามารถโน้มน้าวใจได้มากกว่าเมื่อมาจากคนที่คุณรู้จักหรือรู้สึกเชื่อมโยงด้วย”

3. โจมตีอัตลักษณ์อย่างมีกลยุทธ์

ดร. ซาแมนธาอธิบายว่า ข้อมูลบิดเบือนที่อิงตามหรือโจมตีอัตลักษณ์ (identity-based disinformation) เป็นรูปแบบหนึ่งของปฏิบัติการสร้างอิทธิพลที่จงใจใช้ประโยชน์จากด้านต่าง ๆ ของอัตลักษณ์ของบุคคลหรือกลุ่ม เช่น เชื้อชาติ เพศ ความเชื่อทางการเมือง ชาติพันธุ์ หรือศาสนา เพื่อแบ่งขั้วสังคม และสร้างความคิดแบบ “พวกเรากับพวกเขา”  ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญมากของขบวนการปฏิบัติการข่าวสาร หรือไอโอของภาครัฐในปัจจุบัน

แคมเปญของรัฐหันมาใช้ประโยชน์จากความแตกแยกและความคับข้องใจทางสังคมที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะเรื่องเชื้อชาติ อุดมการณ์ หรือชนชั้น เพื่อปลุกเร้าการตอบสนองของผู้คน เพิ่มยอดเอนเกจ และทำให้เกิดการแตกแยกแบ่งขั้วที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แคมเปญเหล่านี้มักจะบิดเบือน ขยายผล หรือใช้ความเชื่อผิด ๆ และความขัดแย้งที่มีอยู่ในสังคมเป็นอาวุธ ทำให้มันมีพลังทางอารมณ์มากขึ้นและยากต่อการตอบโต้กลับด้วยข้อเท็จจริง

“ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแชร์ข้อมูลบิดเบือนหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมากขึ้นเมื่อมันสอดคล้องกับความคิดที่มีอยู่เดิม อัตลักษณ์ของกลุ่มของพวกเขา หรือมุมมองต่อโลกของพวกเขา มันเป็นวิธีการส่งสัญญาณไปยังกลุ่มว่า เฮ่! ฉันเป็นหนึ่งในพวกคุณนะ ฉันมีความคิดเห็นเดียวกัน ดังนั้นข้อมูลบิดเบือนจึงไม่ได้แพร่กระจายเพราะมันน่าเชื่อ แต่เพราะมันเป็นการยืนยันตัวตน มันตอกย้ำว่าเราคือใคร มันตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือใคร และมันช่วยให้เราเข้าใจตำแหน่งแห่งที่ของเราในชุมชน สังคม และโลก”

รัฐต่าง ๆ ใช้กลวิธีนี้โดยการแทรกหรือขยายข้อความที่มุ่งสร้างความแตกแยกทางสังคมที่ฝังรากลึก แทนที่จะสร้างเรื่องโกหกใหม่ ๆ ขึ้นมา พวกเขาใช้เนื้อหา หรือความเชื่อที่ผู้คนรับรู้มาจุดชนวนความไม่ไว้วางใจ ความโกรธ หรือความขุ่นเคืองระหว่างกลุ่ม ผลกระทบคือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามแตกแยก ทำให้การเคลื่อนไหวทางสังคมหมดกำลังใจ หรือใช้เบี่ยงเบนความสนใจของสังคมจากการกระทำของรัฐ

การอัปเกรดทั้งหมดนี้กำลังบอกเราว่า รัฐสามารถดำเนินแคมเปญที่ละเอียดอ่อนและมุ่งเป้าหมายได้ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น จัดการการรับรู้ของสาธารณชนด้วยความคล่องตัว และปฏิเสธความรับผิดชอบได้อย่างน่าเชื่อถือมากกว่าที่เคยเป็นมา ปฏิบัติการเหล่านี้สามารถใช้เพื่อบ่อนทำลายการเลือกตั้ง ชักใยนโยบายสาธารณะ หรือเพียงแค่สร้างความไม่มั่นคงให้กับคนที่รัฐกำหนดว่าเป็นศัตรู

“ผลกระทบของข้อมูลบิดเบือนอาจรุนแรงมาก มันไม่ได้ทำให้ผู้คนเชื่อเรื่องโกหกเท่านั้น แต่มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าควรไว้ใจใคร ควรกลัวใคร และโน้มน้าวให้พวกเขาเชื่อว่าใครสมควรหรือไม่สมควรเป็นส่วนหนึ่งของสังคม”

ปรากฏการณ์เครือข่ายข้อมูลบิดเบือนที่เราทุกคนอาจมีส่วนร่วม

“ข้อมูลบิดเบือนทุกวันนี้เป็นแบบเครือข่าย พลเมืองเองสามารถร่วมเล่าเรื่องและแบ่งปันข้อมูลบิดเบือนได้หลายรูปแบบ เราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การโฆษณาชวนเชื่อแบบมีส่วนร่วม’ (Participatory Propaganda)”

ดร. ซาแมนธาอธิบายว่า ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ได้พัฒนาจากการเป็นเครื่องมือที่ใช้โดยรัฐเป็นหลัก ไปสู่ปรากฏการณ์เครือข่ายที่ซับซ้อน การโฆษณาชวนเชื่อในปัจจุบันพบแหล่งเติบโตที่อุดมสมบูรณ์จากเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันระหว่างพลเมืองทั่วไปและอินฟลู บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีอัลกอริทึมเป็นผู้เฝ้าประตูข้อมูลข่าวสาร (Gatekeeper) 

รูปแบบการมีส่วนร่วมนี้หมายความว่า คนธรรมดาที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ อัตลักษณ์ หรือความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่ง สามารถกลายเป็นคนที่แชร์ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงได้ สามารถทำให้ข้อมูลบิดเบือนดูน่าเชื่อถือและถูกแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว 

ดร.ซาแมนธายกตัวอย่างการแทรกแซงของรัสเซียในการประท้วงโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2017 ของกลุ่มผู้หญิงในประเทศสหรัฐอเมริกา ขบวนการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนอาศัยคำวิจารณ์ที่มีอยู่จริงในสังคมอเมริกันต่อขบวนการทางสังคมและการเมืองที่เรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ เช่น ข้อกล่าวหาที่บอกว่าขบวนการนี้ “ขาวเกินไป” (หมายถึงการเรียกร้องให้ความสำคัญต่อปัญหาของผู้หญิงผิวขาวมากกว่าผู้หญิงผิวสี) “เสรีนิยมเกินไป” หรือ “รวยเกินไป” ข้อวิจารณ์ที่มีอยู่จริง ๆ ในสังคมถูกใช้เป็นอาวุธทำให้กลุ่มพันธมิตรแตกแยก เปลี่ยนวาทกรรมสาธารณะ กลบทับข้อความจากกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกร้องต่อโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นต้น

อัลกอริทึมทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูคนใหม่มีหน้าที่จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่เรามองเห็นจากยอดเอนเกจ หรือการตอบสนองและมีส่วนร่วมของผู้คน ข้อความที่กระตุ้นความโกรธ ความภักดีต่อเผ่าพันธุ์ หรือความเข้มข้นทางอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะถูกนำเสนอและเผยแพร่ซ้ำโดยผู้คนที่อยู่ในเครือข่ายออนไลน์ โดยไม่มีความถูกต้องของข้อมูลอยู่ในสมการ ดังนั้นปฏิบัติการข่าวสารและการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจึงใช้ความแตกแยกในสังคมเป็นวัตถุดิบ สร้างเรื่องราวที่อิงตามอัตลักษณ์ที่กลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มที่จะอิน เชื่อ และแชร์

“ข้อมูลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ด้วยเนื้อหาที่สร้างความแตกแยก มีแนวโน้มที่จะเดินทางได้เร็วกว่าและไกลกว่าข้อมูลที่แท้จริง”

ข้อมูลบิดเบือนที่ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้รับสารเพราะเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ และคุณค่าของพวกเขา ยากที่จะแก้ไขได้ด้วยข้อเท็จจริง แคมเปญข้อมูลบิดเบือนในปัจจุบันจึงประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะมีผู้บงการเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะมือที่นับไม่ถ้วน ส่วนมากมักจะไม่รู้ตัวว่าได้ร่วมกระจายข้อมูลผิด ๆ ในเครือข่ายดิจิทัลที่เชื่อมโยงถึงกันผ่านอารมณ์ร่วม และอัลกอริทึม

อัลกอริทึมและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจร่วมกันแพร่กระจายข้อมูลบิดเบือน

จุดสำคัญในการวิจัยของดร. ซาแมนธา คือวิธีที่อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียให้ความสำคัญกับยอดเอนเกจมากกว่าความถูกต้อง ทำให้ข้อมูลบิดเบือนที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้รับความสนใจและถูกแชร์ต่อไปอย่างรวดเร็ว แถมโมเดลธุรกิจของบริษัทแพลตฟอร์มยังสร้างแรงจูงใจทางการเงินให้กับผู้กระทำความผิด

“แพลตฟอร์มไม่ใช่พื้นที่สาธารณะที่เป็นกลาง แต่เป็นเครื่องจักรทางการโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อสร้างรายได้จากเวลา อารมณ์ และข้อมูลส่วนตัวของเรา”

ดร. ซาแมนธายกตัวอย่างกรณีวัยรุ่นในประเทศมาซิโดเนียที่กลายเป็นที่รู้จักจากการสร้างและเผยแพร่ข่าวปลอมทางออนไลน์ เพื่อหารายได้ช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 พวกเขาเห็นว่าเรื่องราวทางการเมืองที่เร้าใจแม้จะไม่ใช่ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อยู่ในความสนใจของชาวอเมริกันที่กำลังค้นหาข่าวเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงที่ร้อนแรงระหว่างคลินตันและทรัมป์ในช่วงการเลือกตั้ง ข้อมูลเหล่านี้สามารถแพร่ระบาดบนโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็ว

วัยรุ่นเหล่านี้จึงสร้างเครือข่ายเว็บไซต์ที่เผยแพร่หัวข้อข่าวที่พวกเขาสร้างขึ้นเองด้วยเนื้อหาที่สะดุดตา ทุกครั้งที่ผู้ชมคลิกหรือแชร์บทความใดบทความหนึ่ง รายได้จากโฆษณาก็จะสะสมผ่านการจ่ายต่อคลิก (pay-per-click) และตามจำนวนการแสดงผล (impression-based advertising) ตามระบบโฆษณาของ Facebook และ Google 

แรงจูงใจของแพลตฟอร์มได้เปลี่ยนการสร้างและเผยแพร่ข่าวปลอมให้กลายเป็นช่องทางอาชีพ อนุญาตและส่งเสริมให้ผู้คนที่ไม่มีส่วนได้เสียกับการเมืองของสหรัฐฯ สามารถทำกำไรจำนวนมากด้วยเนื้อหาหลอกลวง การคลิก การตอบสนองทางอารมณ์ และการแพร่ระบาดของข้อมูล กลายเป็นเกณฑ์สำหรับความสำเร็จทางการเงิน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือคุณค่าสาธารณะ ข้อมูลบิดเบือนไม่ได้เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มเหล่านี้เฉย ๆ แต่มันถูกขยายผลโดยระบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด

ปกป้องประชาธิปไตยในยุคข้อมูลบิดเบือน ‘ต้องเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ’ 

ปรากฏการณ์เครือข่ายข้อมูลบิดเบือนไม่ได้แค่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ยังทำลายความเชื่อถือร่วมกันที่ยึดเหนี่ยวสังคมประชาธิปไตยไว้ เมื่อความเท็จทำกำไรได้มากกว่าและแพร่กระจายได้เร็วกว่าข้อเท็จจริง เมื่อบทสนทนาของสังคมถูกกลบด้วยเนื้อหาที่ปรับแต่งและบิดเบือน พลเมืองก็จะสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล

ประชาธิปไตยโดยแก่นแท้นั้นอาศัยความจริง ความโปร่งใส และการถกเถียงของสาธารณะที่ไม่มีการแทรกแซง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่กำลังถูกทำลายโดยการไหลของข้อมูลบิดเบือนที่ไม่มีการตรวจสอบในปัจจุบัน

ดร. ซาแมนธายืนยันว่า เราไม่สามารถใช้การตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-check) เพียงอย่างเดียวในการแก้ไขรากความวุ่นวายของข้อมูลบิดเบือนในปัจจุบันได้ จากข้อเสนอของดร. ซาแมนธาร่วมกับบทสนทนาหลังจบการบรรยาย เราพอมีทางออกที่ทุกภาคส่วนจะต้องลงมือทำไปพร้อม ๆ กันเพื่อจัดการกับข้อมูลบิดเบือนที่แพร่กระจายผ่านเครือข่ายในโลกออนไลน์ ดังนี้

ปฏิรูปโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์ม

เป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกตรวจสอบให้ปรับเปลี่ยนและออกแบบโมเดลการสร้างรายได้และอัลกอริทึมใหม่ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ เพื่อลดแรงจูงใจในการเผยแพร่เนื้อหาที่มีการบิดเบือน เช่น บริษัทแพลตฟอร์มจะสามารถยกเลิกการสร้างรายได้จากบัญชีที่ไม่ได้ระบุว่ามีการสนับสนุนเนื้อหา (Sponsoring content) เพื่อความโปร่งใสได้หรือไม่

สร้างพื้นที่สาธารณะ เสริมพลังให้ชุมชน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย้ำเตือนพวกเราทุกคนว่า โซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ แต่เป็นพื้นที่ธุรกิจที่มีอัลกอริทึมคอยคัดกรองเนื้อหาเพื่อสร้างผลกำไร คำถามคือ เราจินตนาการถึงพื้นที่สาธารณะที่สังคมกำลังต้องการออกไหมหากไม่พึ่งพาบริษัทแพลตฟอร์ม? เพราะการต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือนที่มุ่งเน้นโจมตีและสร้างความแตกแยกด้วยอัตลักษณ์ อาศัยการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างคนในสังคม การออกแบบที่ส่งเสริมสังคม (pro-social design) ให้มีความเห็นอกเห็นใจต่อกัน เคารพศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของกัน รวมถึงการมีความสามารถที่จะคิดเชิงวิพากษ์ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เกิดขึ้นในชุมชนทุกระดับ

เสริมความร่วมมือและการมีส่วนร่วมเชิงนโยบาย

การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี เพื่อเชื่อมช่องว่างด้านความรู้ การเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากร นอกจากนี้ การลงทุนในงานวิจัย โครงการการรู้เท่าทันสื่อ และเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมเพื่อติดตามและตอบโต้ข้อมูลบิดเบือนก็สำคัญไม่แพ้กัน

หนทางข้างหน้าต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างกล้าหาญ ด้วยการทำให้บริษัทเทคโนโลยีรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น การออกแบบแรงจูงใจของแพลตฟอร์มใหม่เพื่อให้รางวัลแก่ความถูกต้อง และความโปร่งใส การสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และภาคประชาสังคม และที่สำคัญคือการลงทุนกับการสร้างพลัง และความเชื่อใจกันในชุมชนทุกระดับ จะช่วยทำให้สังคมประชาธิปไตยมั่นคง และรับมือกับเครือข่ายข้อมูลบิดเบือนที่ซับซ้อนได้ในยุคดิจิทัล