Reading Time: 4 minutes
นับตั้งแต่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เปิดศักราชทรัมป์ 2.0 หลังคืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 2 หนึ่งในนโยบายอย่าง ‘การระงับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน’ ก็ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสถานภาพของผู้ลี้ภัยอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาร่วมหลักแสนในค่ายผู้ลี้ภัยทั้งหมด 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
ไม่นานหลังจากทรัมป์ลงนามคำสั่งฉบับนี้ คณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงได้ประกาศแจ้งถึงประชาชนในค่ายแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัยหรือพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 เป็นต้นไป จะไม่มีการสนับสนุนด้านสาธารณสุขและการดูแลผู้ป่วยทั้งสตรีมีครรภ์ สตรีมีลูกเล็ก ผู้ป่วยอาการหนัก ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยเรื้อรัง ฯลฯ อีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ระงับการให้เงินทุนแก่ International Rescue Committee (IRC) ที่เป็นหนึ่งในองค์กรหลักในการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขบริเวณชายแดน
กัณวีร์ สืบแสง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เคยกล่าวไว้ในวงพูดคุยของสำนักข่าว The Reporter และสำนักข่าวชายขอบถึงกรณีสหรัฐฯ ระงับเงินช่วยเหลือดังกล่าวว่า ปัญหาผู้ลี้ภัยในประเทศไทยนั้นยืดเยื้อมานานกว่า 41 ปี ซึ่งอาจนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยโลก
การระงับเงินช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงฯ ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพียงแต่ครั้งนี้ทรัมป์ปิดตายประตูมนุษยธรรม ซึ่งสวนทางกับท่าทีของรัฐบาลไทยที่คล้ายทองไม่รู้ร้อน กัณวีร์เล่าว่ามีการทำข้อเสนอจากคณะกรรมาธิการฯ ไปยังรัฐบาลอยู่แรมปี เช่น ให้พัฒนาทักษะของผู้ลี้ภัยกว่า 60% ที่อยู่ในวัยทำงาน และผลักดันเขาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ทว่ายังไร้เสียงตอบรับ
พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)
ผลกระทบเกิดขึ้นแทบทันทีหลังประกาศิตของทรัมป์ สำนักข่าว BBC รายงานว่าโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งในค่ายแม่หละส่งผู้ป่วยแผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในกลับบ้านเพื่อรักษาตนที่บ้าน ผู้ป่วยชรากว่าร้อยคนและเด็กไม่ทราบจำนวนต่างได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยบางรายถูกถอดท่อออกซิเจนก่อนส่งกลับบ้าน มีบางครอบครัวที่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ทันตั้งตัว เช่น หญิงสาวรายหนึ่งที่มีเงินเดือนเพียง 50 บาทต่อเดือนจากการรับจ้างเก็บผัก เธอต้องจ่ายเงินกว่า 30 บาทเพื่อซื้อยาโรคปอดให้ลุงของเธอ จากแต่ก่อนที่เธอสามารถรับยาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ดี ภาคประชาสังคมและนักวิชาการได้สะท้อนต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นว่า เป็นเพราะประเทศไทยไม่มีนโยบายที่รองรับและสร้างสถานภาพที่มั่นคงให้กับผู้ลี้ภัย อย่างในค่ายแม่หละที่แม้จะขึ้นชื่อว่าพื้นที่พักพิงชั่วคราว แต่ผู้ลี้ภัยหลายคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวร่วม 40 ปีแล้ว มีครอบครัว มีบุตรหลาน หลายคนออกไปทำงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อหาต้นทุนที่มากกว่าการรอรับความช่วยเหลือจากทางการไทย ในขณะที่ไทยเองก็ต้องการเงินสนับสนุนจากประเทศอื่นอย่างสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ปลดล็อก ‘ผู้ลี้ภัย’ เป็นแรงงานถูกกฎหมาย
‘การให้ผู้ลี้ภัยทำงาน’ เป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยที่หลายภาคส่วนพูดถึง อย่างที่กล่าวไปว่าการให้ผู้ลี้ภัยทำงานไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการปรับตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นพักใหญ่แล้ว แต่ที่ต้องขยับกันต่อคือทำอย่างไรถึงจะมีประสิทธิภาพ และไทยจะเข้าไปมีบทบาทในการจัดการแรงงานได้อย่างไร ในวันที่ประเทศยังไม่ยอมรับผู้ลี้ภัยบนบัญญัติของกฎหมาย
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา Myanmar Response Network เครือข่ายเพื่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศทางเศรษฐมิติ (Center of Excellence in Econometrics – CEE) ได้จัดเวทีนำเสนอรายงานวิชาการเรื่อง ‘ผลการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการให้สิทธิในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยในประเทศไทย : กรณีศึกษาจังหวัดตาก เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร’ เพื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่าน ‘สิทธิในการทำงานของผู้ลี้ภัย’ เพื่อเชื่อมโยงสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงในชีวิต จนนำไปสู่การสร้างเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)
“ฝั่งหนึ่งก็บอกว่าต้องการให้เขาเข้ามาทำงานบ้านเรามีแต่คนแก่นะ ฝั่งหนึ่งก็บอกว่าถ้าเข้ามาแล้วเขาแย่งงานเราล่ะ นี้คือสิ่งที่ขัดแย้งอยู่ในความคิดของสังคมไทยทุกระดับ เราเลยพยายามที่จะประเมินตัวเลขและตัดสินใจว่า เส้นทางต่อไปของเราควรจะเป็นยังไงดี”
รศ. ดร. วรพล ยะมะกะ หัวหน้าโครงการวิจัยศูนย์ความเป็นเลิศทางเศรษฐมิติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มต้นอธิบายว่าด้วยเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ทำงานนอกศูนย์พักพิงฯ ได้ ส่วนใหญ่จึงเป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มแรงงานข้ามชาติ 4 ประเทศเป็นหลัก คือ กัมพูชา ลาว เวียดนาม และเน้นหนักไปที่แรงงานจากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย
โดยสถิติของสำนักงานบริการแรงงานต่างด้าวพบว่า แรงงานข้ามชาติแบ่งได้เป็น 6 กลุ่มใหญ่ คือ แรงงานตามมติ ครม. 7 ก.พ. 2566 (1,620,602 คน) แรงงานตามมติ ครม. 3 ต.ค. 2566 (813,869 คน) แรงงานตาม MOU (561,071 คน) แรงงานกลุ่มที่มีทักษะ (178,725 คน) ชนกลุ่มน้อย (89,663 คน) และแรงงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล (21,601 คน) โดยภาคกลางและกรุงเทพฯ เป็นภูมิภาคและจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติมากที่สุดในประเทศ
ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของแรงงานข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 3,289,536 คน กระจัดกระจายไปทำงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่แรงงานไทยในประเทศไม่นิยมทำ (3Ds) เช่น ก่อสร้าง บริการทั่วไป เกษตรกรรม ปศุสัตว์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น วิศวกรรม เทคโนโลยี หรือการผลิตที่ใช้เครื่องจักรขั้นสูง สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่มีแรงงานข้ามชาติ 4 ประเทศเป็นฟันเฟืองเงียบที่คอยขับเคลื่อนระบบ เศรษฐกิจภาพใหญ่ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติอาศัยอยู่
อย่างกรณีเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งมีเสียงสะท้อนจากเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรีที่ต้องเผชิญการขาดแคลนแรงงาน หลังจากแรงงานกัมพูชาทยอยกลับประเทศต้นทางจากเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างแน่นอนหากแรงงานไม่กลับมาในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิต
ทว่า นโยบายรัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อจำนวนประชากรแรงงานข้ามชาติยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลี้ภัยสงครามและวิกฤตทางการเมืองจากประเทศเมียนมาในช่วง 2-3 ปีหลัง ที่เพิ่งหลบหนีเข้ามาหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2021 และกลุ่มผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวมานานกว่า 40 ปีแล้ว
แม้ประเทศไทยจะให้พื้นที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยแต่คำว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ ก็ยังไม่ได้ถูกระบุไว้ในกฎหมาย ทำให้การบริหารจัดการพื้นที่หรืองบประมาณต่าง ๆ เกิดขึ้นผ่านกลไกต่างประเทศและภาคประชาสังคมเป็นส่วนใหญ่ หรือกระทั่งผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่หลังรัฐประหาร 2021 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานมีทักษะ เช่น แรงงานฝีมือ ครู แพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักข่าว และนักศึกษา ก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายต่าง ๆ จนไม่อาจเข้าถึงโอกาสในการทำงานได้
“ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติที่เป็นชาวเมียนมามีส่วนช่วยในเศรษฐกิจไทย มี GVA (Gross Value Added : การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ) อยู่ที่ 90,000 กว่าล้านบาทเลยนะครับ” วรพลบอก
วรพลและทีมวิจัยลงพื้นที่เก็บข้อมูลแรงงานข้ามชาติใน 3 พื้นที่ คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และอำเภอแม่สอด ซึ่งทั้งสามพื้นที่เป็นแหล่งอาศัยและทำงานหลักของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะพื้นที่แม่สอดที่มีความพิเศษกว่าอีกสองพื้นที่ คือเป็นพื้นที่ติดชายแดนที่มีจำนวนผู้ลี้ภัย และแรงงานชาวเมียนมาพำนักและทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในรายงานฉบับนี้ใช้แรงงานข้ามชาติ เป็นตัวแทนกลุ่มผู้ลี้ภัยในทางปฏิบัติ
โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของแรงงานข้ามชาติมีอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น เพศ ระดับการศึกษา จำนวนสมาชิกในครัวเรือน จำนวนบุตรในครัวเรือน ระยะเวลาพำนักในไทย เคยทำงานในเมียนมา หรือเข้ามาก่อนหรือหลังการรัฐประหารครั้งล่าสุด ซึ่งพฤติกรรมการใช้จ่ายก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ด้วย
ผลการวิจัยพบว่ารายได้เฉลี่ยของแรงงานทั้ง 3 พื้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับสิทธิการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (17,920.642 บาทต่อเดือน) และมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย (9,211.409 บาทต่อเดือน) ซึ่งหากนำตัวเลขคำนวนเข้ากับจำนวนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมากว่า 704,878 คน จะประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Gross Value Added : GVA) ต่อเดือน ของแรงงานชาวเมียนมาอยู่ที่เดือนละ 7,500.50 ล้านบาท หรือปีละ 90,0006.01 ล้านบาท
ทีมวิจัยยังศึกษาต่อในประเด็นที่การเดินทางมาขายแรงงานในประเทศก่อนและหลังรัฐประหาร ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย โดยพวกเขาค้นพบว่าแรงงานที่เข้ามาหลังการรัฐประหารนั้นมีลักษณะเฉพาะ คือเป็นกลุ่มที่อพยพหลบหนีเร่งด่วนจากภัยประหัตประหาร ความรุนแรง ความไม่มั่นคง และเหตุผลทางการเมือง
แม้แรงงานลักษณะนี้หลายคนจะมีทักษะสูง แต่ด้วยความขัดแย้งที่รุนแรงและเวลาอันกระชั้นชิด ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ไม่มีเวลาเตรียมการ หรือวางแผนจัดการทรัพยากรได้อย่างเพียงพอ และต้องเผชิญกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นฐานสูงมาก อาทิ ค่าที่พักอาหาร ค่าอาหารการกิน ค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกันก็ขาดเครือข่ายทางสังคมที่จะบรรเทาการโยกย้ายอย่างกระทันหันนี้ ซึ่งต่างจากแรงงานกลุ่มก่อนรัฐประหารที่มักเป็นแรงงานที่ย้ายถิ่นฐานด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
“เขาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในงานที่คนไทยทำไม่ได้ก็ค่อนข้างชัดอยู่แล้ว แต่จริง ๆ แรงงานเวียดนาม หรือเมียนมาที่เป็นแรงงานทักษะสูงก็เยอะนะ ในบางอุตสาหกรรม ก็ยังมีตำแหน่งที่แรงงานไม่พออยู่ เราก็สามารถใช้แรงงานข้ามชาติเติมเต็มได้” วรพลเสริม
ชายแดนไทย-เมียนมา (Ye Aung THU / AFP)
ปลดโซ่ตรวนทางกฎหมาย
ปลดล็อกศักยภาพแรงงานข้ามชาติ
แม้การผลักดันให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่เข้าเป็นแรงงานในระบบจะเป็นข้อเสนอที่ดี แต่ ศิววงศ์ สุขทวี ที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เสนอว่ากระดุมเม็ดแรกที่ควรติดให้ถูก คือการยอมรับว่ามีผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งหากต้องการผลักดันให้ผู้ลี้ภัยทำงานก็จำเป็นต้องทำงานละเอียดขึ้นไปอีกว่าจะเป็นผู้ลี้ภัยกลุ่มไหน และมีแนวทางการบริหารจัดการในแต่ละกลุ่มอย่างไรบ้าง
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 ที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่กำหนดนิยามของ ‘ผู้ลี้ภัย’ และระบุสิทธิต่าง ๆ ที่ผู้ลี้ภัยควรจะได้รับ ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยไม่มีพันธะทางกฎหมายที่จะให้สถานะผู้ลี้ภัยหรือสิทธิในการประกอบอาชีพแก่ผู้ที่แสวงหาที่ลี้ภัย
ศิววงศ์ ยกรายงานการประชุมของมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาและประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ว่ามีคนเมียนมาที่เดินทางออกจากประเทศไปแล้วกว่า 4 ล้านคนนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อ 4 ปีก่อน และกว่า 70% ของกลุ่มคนอพยพเหล่านั้นอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น ปัญหาสำคัญไม่ใช่เรื่องที่ว่าเราจะนำเข้าแรงงานอย่างไร แต่เราจะทำอย่างไรในเมื่อเขาอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว
ตัวเลขจากงานวิจัยพบว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีต้นทุนในการให้บริการแก่แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ทั้งในมิติสาธารณสุข การศึกษา การจดทะเบียนแรงงาน และการดูแลด้านความมั่นคง ซึ่งเมื่อจำแนกเป็นรายพื้นที่วิจัย พบว่ากรุงเทพฯ มีภาระต้นทุนอยู่ที่ 1,379.35 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่พื้นที่แม่สอดมีต้นทุนอยู่ที่ 235.57 ล้านบาทต่อปี
ตัวอย่างของการใช้งบประมาณส่วนนี้ เช่น การดูแลแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่แออัด (483.15 ล้านบาทต่อปีในกรุงเทพฯ / 52.89 ล้านบาทต่อปีในแม่สอด) การประคองศูนย์การเรียนรู้สำหรับเยาวชนพลัดถิ่นและเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนผ่าน สพฐ. (868.75 ล้านบาทต่อปีสำหรับเงินอุดหนุน / 20.10 ล้านบาทต่อปีสำหรับศูนย์การเรียนรู้ฯ ในพื้นที่แม่สอด) การจดทะเบียนและบริหารจัดการแรงงาน (27.81 ล้านบาทต่อปีและไม่รวมต้นทุนแฝง) และด้านความมั่นคงที่ครอบคลุมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดูแลศูนย์กักกัน และควบคุมแรงงานผิดกฎหมาย (587.02 ล้านบาทต่อปีในกรุงเทพฯ / 64.27 ล้านบาทต่อปีในแม่สอด)
แต่อย่างไรก็ดี การดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศไทยของแรงงานข้ามชาติกลับไม่ง่ายนัก แม้จะมีงบประมาณจากรัฐอุดหนุนในบางส่วน แต่ค่าธรรมเนียม คือหนึ่งในต้นทุนแฝง ที่สร้างภาระอันหนักหน่วงให้กับแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทย
ค่าธรรมเนียม หมายถึง ค่าธรรมเนียมเอกสาร ค่าธรรมเนียมวีซา ค่าประกันสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่แรงงานข้ามชาติจำเป็นต้องจ่ายเพื่อสามารถเข้าสู่ระบบการทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทำให้แรงงานส่วนใหญ่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อต้องเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานเมียนมา ที่ปัจจุบันจำเป็นต้องส่งเงินกลับไปสู่สมาชิกครอบครัวที่ยังต้องอาศัยอยู่ในประเทศต้นทางที่คุกรุ่นไปด้วยสงคราม หรือต้องส่งเงินกลับประเทศต้นทางขั้นต่ำ 25% ของรายได้ต่อเดือนในอัตราภาษี 2%
โกโซ่ แรงงานชาวเมียนมาให้สัมภาษณ์กับ Decode ว่า เขาไม่ได้ต้องการเป็นแรงงานนอกระบบในประเทศไทย เพราะนั่นหมายถึงความไม่ปลอดภัยแทบทุกมิติที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต ดังนั้นเขาจึงพยายามทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะสามารถมีต้นทุนในการต่ออายุการทำงานตาม MOU ในรอบถัดไปได้ ทว่าค่าใช้จ่ายในการต่ออายุหรือขึ้นทะเบียนใหม่นั้นสูงขึ้นแทบทุกครั้ง และเขาก็ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้เท่าไหร่นัก ก็จำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่าน ‘นายหน้าชาวเมียนมา’ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการต่ออายุก็จะสูงขึ้นอีก และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงไม่สามารถเป็นแรงงานในระบบได้เหมือนเดิม
แม้ขั้นตอนในการอยู่หรือเข้าสู่ระบบจะแตกต่างไปตาม ‘สถานะทางกฎหมาย’ ของบุคคลนั้น แต่บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยเหล่านี้ ‘ต้องจ่าย’ ทุกคน ทีมวิจัยค้นพบว่าปัจจุบันแรงงานข้ามชาติมีรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 9,211.409 บาท เงินออมและลงทุน 5,021.98 บาท และเงินกลับประเทศ 2,966.779 บาท
ส่วนค่าธรรมเนียมเข้าสู่ระบบแรงงานถูกกฎหมาย กลุ่มนายจ้างสีขาวเคยเปิดเผยค่าใช้จ่ายในการต่ออายุแรงงานหนึ่งคน (กรรมกร) อยู่ที่มากกว่า 21,170 บาท ในจำนวนนี้ประกอบด้วยค่าใบอนุญาต ทำงาน ค่าตรวจโรค ค่าบัตรชมพู ค่าเนมลิสต์ ค่าภาษี ค่าพาสปอร์ต ค่าเดินทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายนอกระบบ อย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าคิวในหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นค่าธรรมเนียมที่สูงมากเมื่อเทียบกับเงินเดือนของแรงงานข้ามชาติที่หักลบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว
“ถ้าถามว่าเขาทำงานได้ไหม เขาทำงานได้แน่นอน เพราะเขาอยู่มานานเป็น 10 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับการปลดล็อก Mindset ของระบบราชการไทยมากกว่า”
ผศ. ดร. ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ที่ทำงานประเด็นผู้ลี้ภัยมาอย่างต่อเนื่องให้ความเห็นว่า ความพยายามผลักดันให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นมายาวนานแล้ว รวมถึงผู้ลี้ภัยหลายคนก็ออกมาทำงานนอกค่าย เพราะไม่อาจอยู่รอการสนับสนุนจากรัฐไทย และองค์กรระหว่างประเทศได้ ทว่านโยบายของรัฐที่มีลักษณะเบื้องบนสู่เบื้องล่าง ทำให้การปลดล็อกแรงงานผู้ลี้ภัยไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เธออธิบายต่อว่า เมื่อถึงภาพค่ายผู้ลี้ภัยคนอาจนึกถึงหลังคาสังกะสีเก่า ๆ ที่ไร้ซึ่งสาธารนูปโภคขั้นพื้นฐาน ทว่าในพื้นที่พักพิงชั่วคราวค่ายแม่หละซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่เก่าแก่และมีผู้ลี้ภัยมากที่สุดค่ายหนึ่ง ปัจจุบันค่ายแม่หละแทบไม่ต่างจากชุมชนหนึ่งที่ผู้คนในนั้นมีโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตครบครัน เธอกล่าวว่านี่คือ Economy System ที่ยืดหยุ่นและสอดรับสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยที่เคลื่อนที่ตลอดเวลา
ลลิตายืนยันว่า พื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ปัจจุบันกลายเป็นชุมชนหนึ่งไม่มีทางหายไป ปัจจุบันเด็กที่เติบโตในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก็ปาเข้าไป 3-4 รุ่นแล้ว เด็กหลายคนอาจเกิดไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งของคนเมียนมากับรัฐบาลเผด็จการด้วยซ้ำ แต่นโยบายของรัฐยังวุ่นอยู่กับคำถามว่าจะสอนภาษาไทยให้เด็กเหล่านี้รึเปล่า เพราะงั้นนี่คือความน่าเสียดายอย่างมากที่เราไม่สามารถสร้างคนที่สามารถเพิ่มศักยภาพให้กับเศรษฐกิจของเราได้
“พอไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ ไม่มีใครปลดล็อกจริง ก็น่าเสียดายที่เด็กเหล่านี้เกิดมาอยู่ในแผ่นดินไทย อยู่มาทั้งชีวิตแต่พูดภาษาไทยไม่ได้ ถ้าภาษาทหารเขาจะเรียกว่า เราต้องบังคับวิถีให้มันเป็นไปในทิศทางที่รัฐไทยหรือสังคมไทยอยากจะเห็น ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ระเบิด ปล่อยให้เป็นระบบที่เราปรับวิถีอะไรไม่ได้เลย” ลลิตาบอก
(CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP)
(PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)
ถิรพัฒน์ เจตินัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดระบบแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ให้ความเห็นว่า ‘แรงงานมีทักษะ’ มีความต้องการจากตลาดสูงอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่แรงงานข้ามชาติแต่หมายรวมถึงแรงงานไทยด้วย ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองก็พยายามสร้างสมดุล ขยายตลาด พร้อมกับพัฒนาทักษะของแรงงาน แต่การขับเคลื่อนมาตรการทั้งสามส่วนก็ยังติดขัดอยู่ทั้งในส่วนของแรงงาน ผู้ประกอบ และข้อจำกัดของรัฐ
“ถ้าเกิดว่าให้คนในศูนย์พักพิงฯ ออกมาทางกระทรวงแรงงานก็ไม่ได้ติดขัด ถ้าทางหน่วยงานด้านความมั่นคงเห็นควร ก็คงจะต้องเรียนรู้ร่วมกันว่าเขาควรจะออกมาทำงานได้แค่ไหน เปิดกว้างได้แค่ไหนสำหรับคนกลุ่มนี้ ถ้ารัฐเปิดให้ทำงานแล้วเขาจะมีงานทำทันทีไหม นี่คือสิ่งที่ต้องคิดต่อ” ถิรพัฒน์บอก
วรพลเสริมว่า ประเทศไทยยังขาด ‘Room of Improvement’ ที่จะสามารถยกระดับผู้ประกอบการและแรงงานไปพร้อมกัน เขาอธิบายว่า จริง ๆอยู่ที่การให้สิทธิผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติทำงานมีคุโณปการอย่างสูงต่อระบบเศรษฐกิจไทย แต่ในด้านหนึ่งสรรมถนะหรือ Capacity ของสถานประกอบการกลับไม่ค่อยขยายตัวนัก ซึ่งอาจทำให้การเพิ่มแรงงานผู้ลี้ภัย หรือแรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบอาจกลายเป็น เหยียบเบรคมากกว่าคันเร่ง
ดังนั้น เขามองว่าระหว่างทางของยกระดับทักษะแรงงานไทย แรงงานข้ามชาติ และแรงงานผู้ลี้ภัย การพัฒนาอุตสาหกรรมเดิมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นพร้อมกับการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (The S-Curve) ที่เชื่อมโยงกับทักษะหรือทรัพยากรที่ประเทศมี ซึ่งหากเราสามารถยกระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ การ Up-Skill หรือ Re-Skill แรงงานในอุตสาหกรรมจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“เราพยายามสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมาอยู่หลายตัว แต่ว่ามันยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันขาดความต่อเนื่อง ผมว่ามันต้องย้อนกลับมาว่าอุตสาหกรรมอะไรที่เราควรจะสนับสนุน แล้วก็ผลักดันคนไทยให้ไปตรงนั้นให้เยอะ ๆ และก็ให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมส่วนนั้น ผมว่ามันจะเป็นจุดที่เพอร์เฟคที่สุดเลย”
จากการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพของทีมวิจัยผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับหน่วยงานรัฐกว่า 7 หน่วยงาน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรชุมชน ผู้ประกอบการ และตัวแรงงานข้ามชาติ พบว่าทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของแรงงานข้ามชาติที่กลายเป็น ‘ฟันเฟืองเงียบ’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เห็นผลกระทบของการโยกย้ายถิ่นฐานฉับพลันจากเหตุความขัดแย้ง ซึ่งคนจำนวนมากต้องแสวงหาที่ลี้ภัย จำใจหลบหนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย แปรสถานะกลายเป็นแรงงานนอกระบบอันยากต่อการบริหารจัดการ
เพียงการให้สถานะเขาเป็นผู้ลี้ภัยก็ไม่อาจเป็นไปได้ตามกรอบกฎหมาย จึงไม่แปลกนักหากการให้สิทธิ์ผู้ลี้ภัยทำงานจะยังตั้งอยู่บนเครื่องหมายคำถาม
ณ ห้วงเวลาที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย สถานประกอบการเริ่มขาดแคลนบุคลากร คนขายแรงงานข้ามชาติทยอยเดินทางกลับประเทศจากเหตุความขัดแย้งบนเส้นเขตแดน และหยาดเหงื่อของแรงงานไทยไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนประเทศ อาจถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะคลายเฟืองที่ติดขัด และบูรณาการนโยบายเพื่อเดินเครื่องเศรษฐกิจอีกครั้ง
ล่าสุด กรมการจัดหางานได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเศรษฐกิจ หลังแรงงานกัมพูชานับแสนทยอยเดินทางกลับประเทศต้นทางจากข้อพิพาทและความไม่สงบที่เกิดขึ้นบนเขตแดนไทย-กัมพูชา สมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางานระบุแนวทางหลัก 5 ประการ ได้แก่ การใช้แรงงานไทยทดแทน การเปิดจดทะเบียนแรงงานผิดกฎหมาย การนำเข้าแรงงานจากประเทศใหม่ๆ เช่น ศรีลังกาและเนปาล การใช้แรงงานผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในพื้นที่พังพิงฯ และการเพิ่มเทคโนโลยีในภาคธุรกิจเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ
พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าวานนี้ (19 สิงหาคม 2568) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสองแนวทาง หนึ่งคือการบริหารจัดการคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้อง ผ่อนผันให้แรงงาน 4 สัญชาติ (CMLV) ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางที่หมดอายุ และอยู่อาศัยราชอาณาจักรไทยหลังสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้ทำงาน (Overstay) สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อทำงานได้เป็นการชั่วคราว หรือ 1 ปี ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือการนำเข้าแรงงานสัญชาติอื่นๆ ผ่านระบบ MOU โดยในระยะแรกจะเริ่มนำเข้าแรงงานศรีลังกา ซึ่งเขาระบุว่าเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการส่งแรงงานทันที 10,000 คน รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเนปาลอีกด้วย