Reading Time: 5 minutes
ลมเย็นเริ่มพัดผ่านจังหวัดสระแก้ว แสงแดดที่พาดลงมาดูจะร้อนและแห้งกว่าทุกฤดู ช่วงธันวาคมของทุกปีถือเป็นฤดู ‘เปิดหีบอ้อย’ ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศจะมีระยะเวลาราว 3-4 เดือนในการเก็บเกี่ยวอ้อยเกือบร้อยล้านตันส่งโรงงานน้ำตาล ก่อนโรงงานน้ำตาลจะประกาศปิดหีบในเดือนมีนาคม
นี่เป็นฤดูกาลที่ชาวไร่อ้อยสระแก้วรอคอยมาทั้งปี เช่นเดียวกับ ‘แรงงานตัดอ้อยชาวกัมพูชา’ ในจังหวัดสระแก้ว เพราะฤดูกาลเปิดหีบถือเป็นฤดูที่พวกเขาจะทำเงินได้มากที่สุดของปี บางคนเข้ามาขายแรงงานจนสามารถล้างหนี้ล้างสินของตนในประเทศต้นทางได้สำเร็จ บางคนเข้ามาทำงานหลายปีจนกลายเป็นครอบครัวมากกว่าลูกจ้าง-นายจ้าง
ขณะเดียวกันชาวไร่อ้อยหรือเกษตรกรอื่น ๆ ในจังหวัดภาคตะวันออก ก็ต่างจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานกัมพูชาเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานเหล่านี้มีต้นทุนในการจ้างงานถูกหากเทียบกับความคุ้มค่าที่จะได้รับ ว่ากันว่าแรงงานกัมพูชาเพียงหนึ่งคนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ได้เทียบเท่ากับใช้แรงงานชาติอื่น 2-3 คนเลยทีเดียว
ยังไม่ทันได้ยินเสียงมีดพร้ากระทบต้นอ้อย เสียงปืนบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ดังขึ้นเสียก่อน ณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ความสัมพันธ์ของสองประเทศเพื่อนบ้านเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่นั้น กระแสความเกลียดชังก่อตัวขึ้นภายในสำนึกของคนทั้งสองประเทศ และทั้งสองประเทศเลือกคุยกันด้วยลูกปืนมากกว่าหาทางออกร่วมกันบนโต๊ะเจรจา
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแทบจะทันทีคือคนกัมพูชาในไทยแทบทั้งหมดเดินทางกลับประเทศต้นทาง และเปิดฉาก ‘วิกฤตการขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตร’ อย่างเป็นทางการ โดยมีเสียงร้องระงมของเกษตรกรในภาคตะวันออกเป็นดนตรีพื้นหลัง
“มาทำงานอยู่นี่ไม่กลัวโดนลูกหลงเหรอ?”
“ไม่กลัวครับ เพราะตอนอยู่ที่ศูนย์ฯ เราได้ยินตลอดเลย” ชายหนุ่มยิ้มตอบ
ไม่มีใครรู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าความกลัวจะกลายเป็นความเคยชิน แต่สำหรับผู้คนบางส่วนจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา หรือที่เราคุ้นหูกันว่า ‘ค่ายผู้ลี้ภัย’ ความเคยชินเหล่านั้นอาจถูกบ่มมาตลอดระยะเวลา 40 ปี นานเท่ากับการมีอยู่ของพื้นที่พักพิงเหล่านี้
แม้การปะทะกันตามแนวชายแดนสระแก้ว-กัมพูชาจะทำให้ประชาชนกว่า 4 อำเภอต้องอพยพ แต่ ‘กลุ่มผู้ลี้ภัย’ บางส่วนก็ยังเลือกที่จะเข้ามาทำงานในจังหวัดสระแก้ว ตามประกาศของคณะรัฐมนตรีที่อนุญาตให้ ‘ผู้ลี้ภัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ’ ออกมาทำงานนอกเขตพื้นที่พักพิงฯ อย่างเป็นทางการ เพื่อบรรเทาวิกฤตการขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้น
แม้บางพื้นที่สระแก้วจะถูกคลุมด้วยสีแดงไปแล้ว แต่สำหรับ โก โก อู หนึ่งในแรงงานผู้ลี้ภัยชุดแรกที่เข้ามาทำงานในไร่อ้อยจังหวัดสระแก้ว ปากท้องของครอบครัวที่รออยู่ในพื้นที่พักพิงฯ นั้นสำคัญกว่า
“มาทำงานอยู่ที่นี่ก็สนุกดีครับ เราอยู่ที่ศูนย์ฯ มันไม่มีงานทำ หาตังค์ไม่ง่ายหรอก มาทำงานที่นี่มันสบายดีครับ ได้ตังค์ไปซื้อข้าว ไปซื้ออาหารได้ครับ” โก โก อู บอก
โก โก อู
ในประเทศไทยมีศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ลี้ภัยจากประเทศเมียนมาทั้งหมด 9 แห่ง กระจายอยู่ตามพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัดได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี แม่ฮ่องสอน และตาก โดยตัวเลขของผู้ลี้ภัยจากเมียนมามีอยู่ราว 70,000-100,000 คนขึ้นอยู่กับว่าใช้ฐานข้อมูลชุดใด ส่วนใหญ่กิจกรรมต่าง ๆ ภายในศูนย์พักพิงฯ เช่น การศึกษา สาธารณสุข หรืออาหารการกิน จะใช้เงินงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานต่างประเทศ และความช่วยเหลือจากองค์กรไม่แสวงหากำไรภายในประเทศไทย
ทว่าหลังจากการตัดลดงบประมาณสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้ผู้คนในพื้นที่พักพิงต้องเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายในการดำเนินชีวิตอย่างมหาศาล การออกมาทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีจึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว คนสูงอายุ เด็กเล็ก และคนอีกจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงโอกาสต่าง ๆ ภายในศูนย์พักพิงฯ
โก โก อู เดินทางมาไกลจากศูนย์พักพิงชั่วคราว บ้านแม่ละอูน อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะทางเริ่มต้นตั้งแต่ 880-1,000 กิโลเมตรก่อนจะถึงไร่อ้อยจังหวัดสระแก้วที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน รถตู้คันดังกล่าวบรรจุแรงงานผู้ลี้ภัยมาทั้งหมด 17 คน นำโดยโก โก อูที่เป็นหัวหน้าแรงงานจากทักษะการพูดภาษาไทยที่เขามีติดตัวอยู่บ้าง น้องชายของโก โก อู วัย 21 ปี แรงงานหญิง 3 คน ที่เหลือเป็นแรงงานชายวัยรุ่นที่อายุระหว่าง 18-40 ปี โดยมีแรงงานสูงวัยเดินทางมาทำงานด้วย 1 คน แม้อายุอาจจะเกินที่ระเบียบกำหนด แต่โก โก อูเล่าให้ฟังว่าแรงงานสูงวัยคนนี้ยกมือขอมาทำงานด้วย เพราะว่ายังเตะปี๊บดังอยู่
“นั่งรถมานี่ก็สองวันหนึ่งคืนนะ อยู่บนรถอย่างเดียวเลย ต้องนั่งแถวห้าคนแบบนี้นะ เจ็บหลังหมดเลย (ทำท่า) นั่งอัดมา 17 คนครับคันเดียว ตอนแรกเรามาสองคัน แต่รถคนหนึ่งเสียไป ก็เลยต้องขึ้นคันเดียวกัน ถ้านั่งสองคันนี่สบายแล้ว แต่คันเดียวนี่ไม่ง่ายแล้ว อยากนอนก็นอนไม่ได้ครับ” โก โก อูหัวเราะกับเพื่อนแรงงาน
ราวสามเดือนก่อนที่แรงงานผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกจะเดินทางเข้ามาทำงาน เครือข่ายภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการไร่อ้อย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้จัดกิจกรรม Go and See – Come and Tell ที่พาตัวแทนผู้ลี้ภัยจากศูนย์พักพิงฯ ทั้ง 9 แห่ง ไปเยี่ยมชมสถานประกอบการทั้งในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี จันทบุรี และสระแก้ว เพื่อให้ตัวแทนผู้ลี้ภัยได้เห็นสภาพการทำงาน สภาพความเป็นอยู่ ที่พักอาศัย รวมถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่จะได้รับหากเข้ามาทำงาน ก่อนจะให้ตัวแทนแต่ละศูนย์พักพิงฯ นำข้อมูลกลับไปแจ้งกับผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงฯ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความชัดเจนก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินทางไกลออกมาทำงาน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ลี้ภัยมีโอกาสได้ทำงาน พอมันมีโอกาสเราก็ต้องคว้าไว้ ถ้าเราไม่คว้าไว้ มันคงไม่มาครั้งที่สอง” ซันเดย์ ตัวแทนจากศูนย์พักพิงชั่วคราว บ้านแม่หละ หนึ่งในศูนย์พักพิงฯ ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทยกล่าวอย่างหนักแน่น เขาอธิบายว่าหลังจากที่สหรัฐฯ ตัดงบประมาณ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน ผู้คนในศูนย์พักพิงฯ ต่างกระตือรือล้นที่จะออกมาทำงานนอกศูนย์พักพิงฯ เป็นอย่างมาก
เขาอธิบายว่า งบประมาณการช่วยเหลือไม่ได้เพิ่งถูกตัดขาด แต่ค่อย ๆ ถูกลดความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้คนในศูนย์พักพิงฯ ดังนั้นจึงมีการเตรียมความพร้อมและผ่อนปรนระเบียบที่ถูกกำหนดไว้ด้วยเช่นกัน เช่น การออกมาทำงานนอกพื้นที่แต่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศูนย์พักพิงฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลศูนย์ก็รับรู้เช่นกันว่าความช่วยเหลือจากภายนอกลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่ลดความเข้มงวดในการจัดการลงด้วย
แต่อย่างไรก็ดี งานที่กลุ่มผู้ลี้ภัยหาได้แถวศูนย์พักพิงฯ ก็ไม่สามารถประคองสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวได้เท่าไหร่นัก โก โก อู เล่าให้ฟังว่าเขาและครอบครัวก็ออกไปทำงานนอกพื้นที่ศูนย์พักพิงฯ เหมือนกัน ซึ่งจะเป็นบ้านและสวนของคนไทยในพื้นที่ โดยงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานเกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ขนผลผลิตขึ้นรถ เป็นต้น ทว่าค่าจ้างที่พวกเขาได้รับก็ถือว่าน้อยนิด หากเทียบกับสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูแล อย่างปลูกข้าวโพดก็อาจได้แค่ 100 บาทต่อวัน ขนผลผลิตขึ้นรถก็ได้เพียง 200 บาทเท่านั้นเอง ซึ่ง โก โก อู มองว่ามันไม่คุ้มค่าสำหรับเขา
“พวกผมก็ทำเยอะนะครับ แต่ไม่มีเถ้าแก่แบบนี้ งานก็หนักอยู่ครับ ไม่เป็นแบบนี้หรอกครับ (ไม่เป็นที่ราบ) ตรงนั้นมันเป็นดอยลงมา ไม่ได้เป็นทางราบแบบนี้ สองโมงสามโมงต้องปีนขึ้นไป มันไม่คุ้มครับ” โก โก อู บอก
300 จาก 10,000 ต้นทุนแสนแพงที่ต้องแบกรับ
มติคณะรัฐมนตรีระบุว่า ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาในศูนย์พักพิงชั่วคราวสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยผู้ที่ออกมาทำงานจะต้องมีอายุระหว่าง 18-59 ปี ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่ามีประชากรในศูนย์พักพิงฯ ราว 42,601 คนที่มีอายุตามเกณฑ์ และ 12,000 คนพร้อมทำงานทันที
| รายชื่อพื้นที่พักพิงชั่วคราว | จำนวนผู้หนีภัยการสู้รบที่พร้อมทำงาน |
|---|
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านใหม่ในสอย | 3,813 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่สุริน | 1,064 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านนุโพ | 4,735 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่หละ | 15,674 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านถ้ำหิน | 2,336 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่ลามาหลวง | 4,840 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่ละอูน | 3,950 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านต้นยาง | 954 คน |
| พื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านอุ้มเปี้ยม | 5,253 คน |
42,601 คนถือเป็นตัวเลขที่สูงและเพียงพอหากเทียบกับความต้องการแรงงานในไร่อ้อยทั้งประเทศ โดยสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยประเมินความต้องการแรงงานตัดอ้อยอยู่ที่ 30,900 คน เพื่อรองรับผลผลิตอ้อยประมาณ 100 ล้านตันในฤดูกาลผลิตปี 2568/2569
แน่นอนว่าหากประชากรในศูนย์พักพิงฯ 42,601 คนประสงค์จะทำงานทั้งหมด คงบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานในไร่อ้อยไม่ยากนัก ทว่าความต้องการแรงงานไม่ได้เกิดขึ้นกับภาคการเกษตรเท่านั้น
อย่างเช่น วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า มี 6 อุตสาหกรรมอื่นที่ลงทะเบียนขอใช้แรงงานผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกัน ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมอาหารและ เครื่องดื่ม และปศุสัตว์ โดยทั้งหกอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงานรวมกันประมาณ 6,125 คน
หรือข้อมูลจาก กรมวิชาการเกษตร เคยประเมินไว้ว่าในฤดูกาลเปิดหีบอ้อยปี 2545/46 มีอ้อยเข้าหีบ รวมกันกว่า 74 ล้านตันจากพื้นที่ปลูกอ้อยทั้งหมด 6.65 ล้านไร่ ซึ่งใช้แรงงานตัดอ้อยกว่า 600,000 คนทั่วประเทศ แต่ในฤดูกาล 67/68 คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบถึง 93.17 ล้านตันจากพื้นที่ปลูกอ้อยราว 11.1 ล้านไร่ ทั้งปริมาณและพื้นที่ปลูกที่สูงขึ้น เกือบ 2 เท่า คงเป็นคำถามสำคัญว่าต้องใช้แรงงานทดแทนเท่าไหร่เพื่อตัดอ้อยทั้งประเทศ
“ตอนนั้นขอไป 30 คน ได้มา 17 คนครับ ยังไม่ครบ” ชายหนุ่มร่างใหญ่พูดพลางหัวเราะ
แม้จะเตรียมการจัดหาแรงงานกันตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ทว่าขณะนี้มีเจ้าของไร่อ้อยเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับแรงงานทดแทนตามจำนวนที่ต้องการ วิมล สังข์วิเศษ เป็นหนึ่งในเจ้าของไร่อ้อยที่ยื่นขอแรงงานกับทางสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอ้อยที่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว
เดิมที วิมลเคยทำงานไร่อ้อยอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ก่อนที่พื้นที่อุตสาหกรรมจะค่อย ๆ ขยายตัวจนพื้นที่ปลูกอ้อยลดลง เขาจึงย้ายมาทำไร่อ้อยอยู่อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว และเป็นที่ทำกินในปัจจุบัน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินดำที่ทนแล้ง ซึ่งเหมาะสำหรับการทำไร่อ้อยมากกว่าดินประเภทอื่น ๆ เช่น ดินลูกรัง ดินทราย
ช่วงปี 2536 ซึ่งเป็นปีแรก ๆ ที่วิมลเริ่มทำไร่ ช่วงนั้นผลผลิตอ้อยยังไม่มากเท่าไหร่ ฤดูกาล 36/37 ปริมาณอ้อยของวิมลอยู่ที่ 5,000-6,000 ตัน ก่อนจะขยับขยายมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณเกือบหมื่นตัน จากพื้นที่ทั้งหมดราว 600 ไร่ โดยไร่หนึ่งจะได้ผลผลิตอยู่ราว 14-15 ตันต่อไร่ หากฝนไม่ดี ก็จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 11-12 ตันต่อไร่
พอเสียงปืนดังขึ้น ความขัดแย้งเริ่มปะทุตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชายแดนสระแก้วที่มีแผ่นดินติดกับกัมพูชาก็เดือดไม่แพ้กัน แรงงานกัมพูชาทยอยออกจากพื้นที่ เพิงพักข้างไร่อ้อยของวิมลที่เคยเป็นของแรงงานกัมพูชาก็ร้างคนไปด้วย วิมลคิดว่าคงลำบากแน่นอน เพราะหากแรงงานกัมพูชากลับไปแล้วกลับมาไม่ได้ เขาคงไม่มีแรงงานตัดอ้อยในอีกไม่กี่เดือนที่โรงงานน้ำตาลกำลังจะเปิดหีบ
“แรงงานกัมพูชาคือเราไม่ต้องไปรับเขาไกล เพราะเขาติดอยู่กับเขตแดนไทย เขาเดินทางไปมาเองได้ แต่เผอิญบ้านมาเกิดสงครามแบบนี้ แรงงานกัมพูชาก็เข้าไม่ได้ เราก็ต้องไปเอาแรงงานไกล ๆ มา ถ้าแรงงานกัมพูชาเข้าได้ ค่าใช้จ่ายเราก็ยังทุ่นลง”
วิมล สังข์วิเศษ
ผลกระทบจากสงครามเกิดขึ้นกับเกษตรกรแทบทุกมิติ ชาวไร่อ้อยและชาวสวนลำไยสะท้อนเหมือนกันว่า พวกต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและทำเอกสารของแรงงานกัมพูชาไปฟรี ๆ หลังจากที่แรงงานกัมพูชาหลายคนเดินทางกลับประเทศ บางคนเดินทางกลับโดยไม่ได้ยกเลิกเอกสารการทำงานในประเทศ พวกเขาก็สามารถเดินทางกลับมาทำงานได้หากสถานการณ์สงบลง แต่สำหรับแรงงานที่ยกเลิกเอกสารไปแล้ว พวกเขาก็ต้องดำเนินการทางเอกสารใหม่ทุกอย่าง ซึ่งปกติแล้วค่าใช้จ่ายในการ ทำเอกสารจะเป็นการตกลงกันระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้าง โดยให้นายจ้างออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปก่อน และแรงงานจะทำงานขัดหนี้ภายหลัง
ซึ่งค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงานกัมพูชาใหม่ก็สูงถึง 3,900-4,500 บาท ประกอบไปด้วยค่าเล่ม Border Pass 2,500 บาท ค่าใบอนุญาตทำงาน 325 บาท ค่าตรวจสุขภาพ ค่าประกันสุขภาพ 600-1200 บาท ซึ่งที่ค่าเล่ม Border Pass สูงก็เป็นเพราะว่าตามมติครม. ระบุไว้ว่าต้องใช้แรงงานจากอำเภอชายแดน หรืออำเภอพระตะบองเท่านั้น หากแรงงานมาจากจังหวัดอื่น เช่น กำปงจาม ก็จะต้อง ‘เสียค่าเซ็น’ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการเปลี่ยนแปลงอำเภอก่อนจะเข้ามาทำงานที่ประเทศไทย
แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงก็แลกมากับความพร้อมทำงานของแรงงานกัมพูชา และความมั่นใจของเกษตรกรที่อย่างน้อยอ้อยทั้งหมดที่เติบโตอยู่ในแปลงจะต้องกลายเป็นเม็ดเงินเข้ากระเป๋าพวกเขาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ความหวังในการนำเข้าแรงงานกัมพูชาที่เชี่ยวชาญด้านการตัดอ้อยก็ยังคงริบหรี่ การนำเข้าแรงงานผู้ลี้ภัยก็พอจะเป็นความหวังที่ปลายอุโมงค์สำหรับเกษตรกรไร่อ้อยอยู่บ้าง โดยค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงานผู้ลี้ภัยจะอยู่ที่ประมาณ 2,500 บาทต่อคน โดยค่าใช้จ่ายนี้ครอบคลุมทั้งค่ารถรับส่งแรงงาน ค่าขึ้นทะเบียนแรงงาน ค่าตรวจสุขภาพ หรือค่าโสหุ้ยต่าง ๆ ทั้งหมด โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้างเช่นกันว่าจ่ายทันที หรือทยอยหักจากค่าจ้างที่ได้รับจากการตัดอ้อย
“แรงงานกะเหรี่ยง (กลุ่มผู้ลี้ภัยเป็นคนกะเหรี่ยง) เข้ามา เขาก็ยังทำงานไม่เป็น เราก็ต้องมาฝึก มาดูแลเขา ไม่เหมือนแรงงานต่างด้าว แรงงานกัมพูชานี่เราไม่ต้องไปดูแลเขา เขามาก็มีเสื่อหมอนที่นอนมาพร้อม แต่อันนี้เราต้องมาซื้อทุกอย่าง กระทั่งหม้อหุงข้าว ถ้วยชาม ที่หลับที่นอน คือเราต้องมีให้เขาอะ ค่าใช้จ่ายมันเลยสูงครับ” วิมลบอก
ช่วงเที่ยงในไร่อ้อยสระแก้วไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แม้แสงแดดไม่อาจกัดกินทะลุเสื้อผ้า แต่ความร้อนก็ระอุอยู่ในเสื้อและกางเกงขายาว คงมีเพียงหมวกและกระติกเย็น ๆ ที่วางอยู่ที่พอจะบรรเทาความสาหัสนี้ได้บ้าง แต่ด้วยธรรมชาติของงานตัดอ้อยที่ยิ่งตัดเยอะ เงินยิ่งแยะ แรงงานผู้ลี้ภัยบางคนก็แทบจะถือมีดตัดทั้งวัน แวะดื่มน้ำและทานข้าวเพียงไม่กี่นาที ก่อนจะกลับมาตัดอ้อยต่อ
วิมลเล่าว่าจริง ๆ เขาค่อนข้างหนักใจกับการนำเข้าแรงงานผู้ลี้ภัย กลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาทำงานจริงก็พอจะเบาใจลงไปได้เปราะหนึ่ง เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถทำงานตัดอ้อยได้ตามที่วิมลสอน แม้ความเร็วและปริมาณต่อวันอาจจะยังไม่เท่าสถิติที่แรงงานกัมพูชาเคยทำไว้ก็ตาม
“บางคนก็ตัดได้ 100 กว่ามัด บางคน 60 มัด คนไหนที่ไม่เก่งก็ 40-50 มัด แต่กัมพูชาวันหนึ่งเขาตัดได้ 200-300 มัดต่อคน แรงงานกัมพูชามาอยู่กับเราปีแรก ๆ เขาก็เป็นแบบนี้แบบนี้ ค่อย ๆ ฝึกกันไป” วิมลบอก
ทว่าความกังวลถัดมาของวิมลก็คือ ‘กลัวตัดอ้อยไม่หมด’ ปกติแล้ววิมลจะใช้แรงงานกัมพูชาในการตัดอ้อยทั้งหมด 50 คน และใช้รถตัดอ้อยเสริมในบางแปลง พอเกิดวิฤตแรงงานขาดแคลน เขาก็ประเมินดูว่าหากใช้แรงงานผู้ลี้ภัยประมาณ 30 คนร่วมกับรถตัดอ้อย ก็คงพอที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทัน ทว่าแรงงานได้มาจริงมีเพียง 17 คนเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่าด้วยแรงงานผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเข้ามาทำงาน จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หมดก่อนปิดหีบในเดือนมีนาคมหรือไม่
มนตรี คำพล ประธานสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สะท้อนภัยว่าสงครามสะเทือนถึงชาวไร่อ้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เกษตรกรต้องทำการเก็บเกี่ยว เขายกตัวอย่างว่าแม้ในจังหวัดสระแก้วจะมีรถตัดอ้อยกว่า 300 คัน แต่นั่นก็ไม่เพียงพอสำหรับชาวไร่อ้อยทุกพื้นที่จังหวัดสระแก้ว อีกทั้งบางพื้นที่ก็เป็นพื้นที่ที่รถตัดอ้อยไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น พื้นที่ที่มีหิน ตอไม้ ร่องเล็ก ส่วนเกษตรกรรายเล็กที่มีพื้นที่ไร่อ้อยเพียงไม่กี่ไร่ก็ไม่สามารถใช้รถตัดได้ เพราะว่าไม่คุ้มค่า
ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานผู้ลี้ภัยในพื้นที่สระแก้วเพียง 200-300 กว่าคนเท่านั้น
ขณะเดียวกันชาวไร่อ้อยสระแก้วก็กำลังเผชิญกับความหวาดกลัว โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภออย่าง อำเภอตาพระยา อำเภอโคกสูง อำเภอคลองหาด และอำเภออรัญประเทศ ที่เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง ทำให้ชาวไร่อ้อยไม่กล้าที่ลงตัดอ้อย มนตรีเล่าว่าในอำเภออรัญประเทศก็เพิ่งได้ข่าวว่ามีลูกปืนใหญ่ตกลงบนแปลงของเกษตรกร ทำให้อ้อยไฟไหม้ไปกว่า 300 กว่าไร่ และบริเวณอำเภอโคกสูงรอยต่ออำเภออรัญประเทศที่เสียหายไปกว่า 4,000 ไร่ หรือในจังหวัดสุรินทร์ที่ยังคงหลงเหลือลูกระเบิดในไร่อ้อย ตั้งแต่การปะทะกันรอบที่แล้ว ส่งผลให้ชาวบ้านทำเรื่องขอเผาอ้อยกว่าหมื่นไร่แทนการเก็บอ้อยสด เพราะรถตัดอ้อยไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้จากลูกปืนที่คาอยู่บนไร่อ้อย
“ตามนโยบายรัฐ (อ้อยไม่เผา) มันต้องใช้แรงงานเยอะที่จะตัดอ้อยสด แล้วอ้อยปีนี้ ศักยภาพส่วนมาก จะล้ม เพราะฝนดีมากและลมแรง อ้อยโค่นล้มมันตัดยาก มันก็ต้องใช้เครื่องจักรค่อย ๆ ตัด แต่บางแปลง ก็มีหินมีตอก็เข้าไปตัดไม่ได้ ก็จำเป็นต้องเผา แต่ในกฎหมายบอกไว้โรงงานรับอ้อยเผาได้ไม่เกิน 20%” มนตรีบอก
Best Choice? ของชาวไร่อ้อยในวัน (ขาดแคลน) แรงงาน
ก่อนหน้าที่ชาวไร่อ้อยจะเผชิญวิกฤตขาดแคลนแรงงาน ขณะนี้พวกเขาต่างต้องเผชิญกับ ‘ภาวะราคาอ้อยตกต่ำ’ วิมลอธิบายว่าต้นทุนการปลูกอ้อยอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,300 บาทต่อไร่ ครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายในการเตรียมดิน ท่อนพันธุ์อ้อย เครื่องมือการปลูก แรงงาน และปุ๋ยที่ราคาสูงขึ้นทุกวัน ทว่าราคาขายอ้อยของฤดูกาล 68/69 กลับเหลือเพียง 890 บาทต่อตันเท่านั้น ซึ่งทวีความกังวลของเกษตรกรที่นอกจากแรงงานขาด เก็บอ้อยไม่ทัน ยังต้องเจอราคาอ้อยที่ตัดต้นทุนไปมหาศาล
“ถ้าเกิดชาวไร่ที่ไม่มีเครื่องมือเลย ซื้อทุกอย่าง คือไปไม่รอดเลย คือต้องหยุดทำเลยอะครับ คนที่จะไปรอดก็คือคนที่มีพื้นฐานที่มั่นคง มีเครื่องมือ มีรถพร้อม ก็ไปรอด แต่คนที่รับจ้างหมดคือไปไม่ได้ เจอราคาอ้อยก็ขาดทุนตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว” วิมลกล่าวติดตลก
วิมลเองก็ถือว่าเข้าข่ายเกษตรกรที่มีพื้นฐานมั่นคง ทั้งรถไถ รถตัด รถบรรทุก เครื่องมือ กระทั่งแรงงานผู้ลี้ภัยที่ได้รับมาก่อนใครเพื่อน ทว่าก็ไม่อาจต้านทานค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นแทบทุกทางแบบนี้ วิมลบอกว่าชาวไร่อ้อยทุกคนไม่อยากเผาอ้อยหรือส่งอ้อยไฟไหม้ให้โรงงาน เพราะราคานั้นถูกกว่าอ้อยสด แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่ถูกปัญหาทุกด้านรุมล้อม การเผาอ้อยดูจะบรรเทาต้นทุนที่เกษตรกรต้องแบกรับได้มากที่สุด “จะไม่เผาก็ได้แต่ก็ต้องรับภาระในการตัดอ้อยสด แต่ถ้าเผาก็โดนจับ ชาวบ้านก็เลยไปไม่รอด”
อีกปัญหาหนึ่งที่วิมลและเกษตรกรไร่อ้อยหลายคนกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ คือ ‘อ้อยล้ม’
วิมลเล่าว่าปีนี้ฟ้าดี ฝนตกเยอะเป็นพิเศษ และมีลมแรง ส่งผลให้ดินมีความนุ่มกว่าปกติจากน้ำฝน เมื่อโดนลมแรงพัดผ่าน ก็ทำให้อ้อยเอนล้ม เขาประเมินว่าอาจมีอ้อยล้มประมาณ 50-60% ในไร่ของเขา แม้อ้อยล้มจะไม่ได้ส่งผลต่อน้ำตาลในต้น แต่ส่งผลอย่างมากต่อ ‘หลัง’ ของแรงงานตัดอ้อย เพราะพวกเขาจะต้องก้มลงไปตัดอ้อยที่พื้นทีละต้น จากปกติที่พวกเขาสามารถอุ้มและตัดได้ทีละหลายตอ ซึ่งมันทำให้จำเป็นต้องใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวอ้อยนานขึ้น
“งานมันก็หนักพอสมควรอะครับ ถ้าพูดถึงมันก็มีผลต่อแรงงานด้วย เพราะมันก็มีให้เลือก ถามว่าให้เก็บผลไม้หรือไปทำสวน เขาอาจจะเลือกไปทางนั้นมากกว่า ถามว่าให้มาตัดอ้อย เขาก็ไม่ค่อยนิยม” วิมลบอก
มนตรีเสริมว่า ขณะนี้ทางสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยที่ถือว่าเป็นตัวแทนของเหล่าชาวไร่อ้อยสระแก้วก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ส่งข้อเรียกร้องและเพิ่มการทำงานระดับพื้นที่ไปบ้างแล้ว อาทิ ความพยายามในการปรับพื้นที่ไร่อ้อยจังหวัดสระแก้วให้สามารถใช้รถตัดอ้อยได้มากขึ้น เร่งการนำเข้าแรงงานผู้ลี้ภัยแรงงานที่ขาดหายไป เขาบอกว่าขณะนี้จำนวนแรงงานครบจำนวนที่ต้องการแล้ว แต่ยังติดขัดอยู่ที่เอกสาร การตรวจสุขภาพ และการนำแรงงานเข้าพื้นที่ การถกปัญหากับทางรัฐบาลเรื่องราคาอ้อยแต่สภาฯ ดันยุบเสียก่อน
รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถใช้รถตัดได้ โดยปัจจุบันมีการเสนอให้สินเชื่อปีละ 2,000 ล้านบาทเป็นเวลา 3 ปี เพื่อนำไปจัดหารถตัดอ้อยขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อส่งเสริมการตัดอ้อยโดยไม่เผา ซึ่งก็จำเป็นต้องมีการเตรียมพื้นที่รองรับการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ไว้ด้วยเช่นกัน
มนตรีและวิมลต่างก็หวังว่าแรงงานผู้ลี้ภัยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองท่ามกลางสงครามเช่นกัน
“ก็ 50-50 แหละ เพราะว่าฤดูเปิดหีบปีนี้ยังไม่จบ” วิมลกล่าวว่า อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งเพื่อประเมินว่าแรงงานผู้ลี้ภัยจะทดแทนแรงงานกัมพูชาเดิมได้หรือไม่ เขาเล่าว่าแรงงานกัมพูชาเองก็ใช้เวลาถึง 8 ปีในไร่อ้อยของวิมลกว่าจะช่ำชองการตัดอ้อยถึงเพียงนี้ ชาวไร่อ้อยเองก็คงต้องให้เวลาแรงงานผู้ลี้ภัยด้วยเช่นกัน
“แต่เอาจริง ๆ 8 ปีกับเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่น่ารอดครับ ชาวไร่อ้อยน่าจะถอนตัวกันเยอะ เพราะเขาก็สู้ไม่ไหว อ้อยก็ถูก แรงงานก็ยาก เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่พร้อมบางคน มันก็ไปต่อกันไม่ไหว อีกอย่างเราก็ไม่มั่นใจว่าแรงงานกลุ่มนี้ที่เราเคยได้ใช้ เขาจะกลับมาหาเราอีกรึเปล่า พอทำได้เขาอาจจะ ไปที่อื่น คือเราก็ไม่ได้ผูกมัดเขาไว้ด้วย” วิมลทิ้งความกังวลไว้
“วันนี้ตัดได้กี่มัดแล้ว” ทีมข่าวถาม
“วันนี้เก็บได้ 90 มัดครับ ถ้าเยอะกว่านี้ต้องได้ 120 ครับ” โก โก อู นับนิ้ว
อาทิตย์เริ่มลับขอบ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมชมพู แรงงานกลุ่มหนึ่งยังขยันขันแข็งในการตัดอ้อย แม้วิสัยทัศน์จะค่อย ๆ มืดลง รถกระบะเสริมโครงเหล็กถอยจอดแต่ไม่ดับเครื่อง เป็นสัญญาณของการเดินทางออกไปอาหารสด อาหารแห้ง รวมถึงซื้อข้าวของเครื่องใช้ โก โก อู และเพื่อน ๆ กระโดดขึ้นรถอย่างร่าเริง ก่อนที่รถกระบะคันนั้นจะลับสายตาไปพร้อม ๆ กับฝุ่นแดงและต้นอ้อยสูงสองเมตรครึ่ง
จากการสำรวจเพิงพักของเหล่าแรงงานตัดอ้อยกลุ่มใหม่ ภายในเพิงพักยังคงมีร่องรอยของแรงงานกัมพูชาเดิม เสื้อผ้าของใช้วางเละเทะและเปียกน้ำฝนที่ไหลผ่านร่องไม้และผ้าใบ ยังเหลือเพิงพักอีกหลายห้องที่ยังไม่มีคนจับจอง ซึ่งแน่นอนว่าคงเป็นของแรงงานผู้ลี้ภัยอีก 13 คนที่วิมลยื่นเรื่องขอไป
โก โก อู เล่าให้ฟังว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องไปทำงานที่ไหน รู้แค่ว่ามาตัดอ้อย และรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ตอนลงมาจากรถตู้ ตอนมาจากค่ายเขาไม่นำอะไรติดตัวมาเลยนอกจากเสื้อผ้า โทรศัพท์สำหรับโทรมือถือ และเงินสดอีก 500 บาท “ตอนนี้ก็หมดแล้วครับ” เขาหัวเราะ
เขาเล่าว่า วันแรกของการทำงานเถ้าแก่ (วิมล) พาเขาและเพื่อนออกไปซื้อข้าวของที่จำเป็นในเมือง เช่น มีด หมวก ถุงมือ ราคาเบ็ดเสร็จรวม 310 บาท โดยยืมเงินจากเถ้าแก่จ่ายไปก่อนและค่อยหักจากเงินเดือนทีหลัง “ส่วนอันนี้ไม่มีซื้อครับ มาเห็นที่นี่ เลยหยิบมาใช้ ไม่ต้องเสียตังค์” เขาพูดพลางชี้ไปกระเป๋าหนัง PVC สีดำเงาขลับที่คาดว่าเป็นของแรงงานกัมพูชาเดิม
โก โก อู ตั้งใจว่าจะทำงานสัก 3-4 ปีแล้วค่อยเดินทางกลับไปหาพ่อแม่ในศูนย์พักพิงฯ ส่วนระหว่างนี้ก็อาศัยโทรศัพท์มือถือที่ขอให้เถ้าแก่เติมอินเทอร์เน็ตและค่าโทรศัพท์ให้ โทรกลับไปหาพ่อแม่บ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งพ่อแม่ของโก โก อู ก็เป็นห่วงลูกชายสองคนที่เดินทางมาทำงานไกลเหมือนกัน แต่เขาก็ยืนยันกลับไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง มาอยู่นี่มีงานทำ สบายจนแทบไม่อยากกลับบ้าน
“พอชวนพวกเขา พวกเขาก็อยากมาอยู่นะ แต่ผมบอกไม่ต้องหรอก ให้อยู่ที่แคมป์นั่นแหละ มาทำงานสองคนแล้ว เดี๋ยวค่อยส่งเงินกลับไปให้” โก โก อู บอก
โก โก อู เล่าให้ฟังอีกว่าตอนเด็กเขาอยากเป็นครูเพื่อกลับไปสอนเด็ก ๆ ในศูนย์พักพิงฯ แม้เด็กเหล่า นี้จะได้เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมา และภาษากะเหรี่ยงภายในศูนย์พักพิงฯ แต่เด็ก ๆ ก็ยังไม่ได้เรียนภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่สำคัญหากพวกเขาจะทำงานในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน เส้นทางการศึกษาของเด็กในศูนย์พักพิงฯ หลายคนก็หยุดไว้แค่เกรด 12 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพราะพวกเขาไม่มีเงินมากพอที่จะเรียนต่อในระดับที่สูงกว่านั้น โก โก อูเองก็เคยเป็นเด็กคนนั้นเช่นเดียวกัน เขาเล่าว่าถ้าอยากเรียนให้สูงขึ้นก็ต้องไปเรียนทุกวัน และต้องเข้ารับการสอบจำนวน 3 ครั้ง ตกเป็นเงินครั้งละ 5,000 บาท ซึ่ง โก โก อู บอกว่าเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น
“ผมเลยอยากเป็นครูเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ครับ เราต้องหาความช่วยเหลือ ช่วยเหลือให้พวกเขาเรียนต่อได้ ถ้าอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าถ้าได้บัตรชมพู น่าจะกลับไปสอนเด็กที่ศูนย์พักพิงฯ ได้ครับ” โก โก อู บอก
อย่างไรก็ดี การอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานยังเต็มไปด้วยความท้าทายหลายมิติ ศิววงศ์ สุขทวี ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐานให้สัมภาษณ์ว่า มติครม.ดังกล่าวยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทย และมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำงานต่อ เช่น การจัดทำทะเบียนประวัติ การออกเอกสารประจำตัวผู้ลี้ภัยการสู้รบ (ปัจจุบันมีแค่ที่อยู่ทะเบียนบ้านและเอกสารขอออกนอกพื้นที่) ขณะเดียวกันก็ยังต้องทำความเข้าใจในระดับพื้นที่ที่เขาจะไปทำงานด้วยว่าแรงงานเหล่านี้ถือเอกสารอะไรบ้าง มีสิทธิในการอยู่อาศัยหรือทำงานในระดับใด เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของหน่วยงานระดับท้องถิ่น
แต่ขณะเดียวกัน มติครม. นี้ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของไทย จากเดิมที่ประเทศไทยไม่ยอมรับการมีอยู่และสถานะของผู้ลี้ภัยในประเทศ และนิยามพวกเขาว่าเป็นผู้ลี้ภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งทั้งสองคำนี้มีแนวทางการปฏิบัติและดูแลแตกต่างกัน
ศิววงศ์มองว่า หากผู้ลี้ภัยการสู้รบฯ กลุ่มนี้สามารถออกมาทำงานได้ก็จะเป็น ‘ไกด์ไลน์’ หรือ ‘แนวทางปฏิบัติ’ ให้กับกระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงว่าต้องทำงานกับบุคคลที่มีสถานะคล้าย ๆ กันอย่างไร ซึ่งในอนาคตก็อาจขยายผลไปยังผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น ๆ ที่รอการให้สถานะทางการกฎหมายจากรัฐบาลไทยด้วย
เขายกตัวอย่างว่าในขณะนี้มีกลุ่มคนที่มีความไม่มั่นคงในสถานภาพอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน ที่กำลังดำเนินการผลักดันให้พวกเขาได้รับการคุ้มครองหรือสิทธิอื่น ๆ ในการอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยกลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจากประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย โดยนโยบายในการดูแลคนกลุ่มนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลและ คัดกรองจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กลุ่มถัดมา คือ กลุ่มเด็กและบุตรหลานของคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ที่ซึ่งเกิดและเติบโตในประเทศไทย ที่ผ่านมารัฐบาลไทยติดกรอบแนวคิดที่ว่า ‘ไม่อยากให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ประเทศไทยถาวร’ จึงไม่จัดให้มีการเรียนการสอนเป็นภาษาไทย ทว่าปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มตระหนักว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ เลยเห็นความจำเป็นว่าต้องสอนภาษาไทยให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าสู่สังคมไทยได้ง่ายมากขึ้น
ศิววงศ์ยังหวังอีกว่า ในอนาคตอาจจะเห็นลูกหลานผู้ลี้ภัยการสู้รบเหล่านี้ สามารถประกอบอาชีพอื่น ๆ
ที่เคยถูกกำหนดไว้ว่าเป็นของคนไทยเท่านั้น อาจเป็นสายวิชาการหรือสายวิชาชีพอื่น ๆ ที่พวกเขาอยากจะเป็น
“ผมว่ามันเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่และไม่ใช่ก้าวสุดท้ายครับ ก้าวสุดท้ายก็คือการที่ทำให้เขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากว่าในวันที่ภาคตะวันออกเจอปัญหา คนในพื้นที่พักพิงฯ ก็พร้อมที่จะออกมา ขอแค่โอกาสและกฎหมายที่อนุญาตให้เขาออกมา เขาก็พร้อมที่จะช่วย และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยครับ” ศิววงศ์ทิ้งท้าย