‘อาหารปลอดภัย’ แค่สโลแกน(?) ถ้า Traceability ไม่มีอยู่จริง
Reading Time: 4 minutes“อาหารไม่ปลอดภัย ไม่ใช่อาหาร” แล้วเราจะไว้ใจอาหารบนจานเราได้แค่ไหน เพราะการปนเปื้อนที่พบเจอยังไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
“วันที่แย่ที่สุด คือวันที่ผมเห็นน้องคนไทยถูกซ้อม ผมปล่อยมือจากคอมพิวเตอร์ที่นั่งทำงาน ผมคิดว่าทำไมเขาต้องทำกันขนาดนี้ เหมือนพวกผมเป็นทาสของเขา”
สุรวัช มาสุข อายุ 25 ปี ตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เขาถูกแก๊งมิจฉาชีพชาวจีน บังคับให้ทำงานหลอกลวงคนอื่นทางโลกออนไลน์ ในเมืองเล้าก์ก่าย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมาติดกับพรมแดนจีน
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2023 หลังจากที่สุรวัชผ่านกระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากภาครัฐ เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนรู้จักให้พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนที่เขาจะกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับภูมิลำเนาที่ จ.เชียงใหม่
ผู้สื่อข่าว De/code มีโอกาสได้พบเจอและนั่งคุยกับสุรวัช เขาพร้อมที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาพบเจอมาตั้งจุดเริ่มต้น จนถึงจุดที่เขาบอกกับตัวเองว่า
“พอออกมาได้แล้วรู้สึกโล่งใจ จากคนที่ใจจะขาดกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ตอนอยู่ในนั้นผมคิดอะไรไม่ออก มันตื้อไปหมดเลย”
เรื่องราวของสุรวัช เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน 2023 เมื่อเขาลาออกจากงานเสิร์ฟอาหาร เพื่อมองหางานใหม่ที่ดีกว่า
หลังจากที่สุรวัชเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นพนักงานบัญชีในวัย 18 ปี จากนั้นก็เปลี่ยนงานเรื่อยมาทั้งทำงานกับการไฟฟ้าฯ ทำงานร้านล้างรถ และเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร จนกระทั่งเขาลาออกมาในช่วงกลางปี 2023
เขาพยายามหางานใหม่ โดยใช้ช่องทางกลุ่ม Facebook ที่มีชื่อว่า ‘หางานเชียงใหม่’ แต่เมื่อค้นหางานที่เขาต้องการ กลับพบว่ามีแต่งานที่อยู่ไกลจากบ้านเขา รวมทั้งสถานประกอบการต้องการวุฒิการศึกษาที่สูงกว่าที่เขามี
สุรวัชตัดสินใจโพสต์หางานในกลุ่ม เวลาผ่านไป 1 วันมีคนทักข้อความเข้ามาหาเขา
“สนใจมาทำงานด้วยกันไหม เงินเดือน 25,000 – 30,000 บาท ทำงานที่พม่า มีที่พักฟรี ที่กินฟรีทุกอย่าง”
เมื่อสุรวัชเข้าไปตรวจสอบโพรไฟล์ของคนดังกล่าวก็พบว่า เหมือน Facebook ของคนทั่วไป ที่มีการแชร์ มีการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ เหมือนคนปกติ เขาจึงนำเรื่องราวดังกล่าวไปปรึกษาแม่ จนได้รับคำเตือนว่า มีข่าวการหลอกไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ
แต่ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่างานทั้งหมดที่เขาเคยทำมา ประกอบกับสุรวัชเพิ่งทำโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่าของเขาพังไปได้ไม่นาน เขาจึงคิดว่างานนี้เป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้เขาสามารถเก็บเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ได้รวดเร็วที่สุด เขาพยายามค้นหาข้อมูลด้วยตนเองในอินเทอร์เน็ต แต่ก็ไม่พบข่าวสารการหลอกไปทำงานในประเทศเมียนมา
“ผมค้นหาคำว่าไปทำงานที่พม่า มันก็ไม่ค่อยเจอกรณีโดนหลอก พวกนี้มันฉลาด มันหลอกผมว่าไปทำงานที่เมืองมัณฑะเลย์ เพราะถ้าเขียนว่าไปที่เมืองเล้าก์ก่าย ผมก็คงจะเห็นข้อมูล”
สุรวัชใช้เวลา 1 วันในการตัดสินใจ เขาตกลงไปทำงานดังกล่าวและเดินทางมายังกรุงเทพฯ ในวันต่อมาเขาได้พบกับคนที่ชื่อ ไอซ์ ฐานปนา เยเบียว ตามคำกล่าวอ้างของสุรวัชบอกว่า เขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 27 ปี ที่เป็นคนจองโรงแรมสวีทลอฟ ดอนเมืองให้กับเขาและคนไทยอีก 3 คน รวมทั้งจัดแจงทำเอกสารพาสปอร์ตและวีซ่า ให้กับคนไทยทุกคนที่กำลังเดินทางไปทำงาน
กลุ่มคนไทยรวมทั้งสุรวัชถูกย้ายโรงแรมในทุก ๆ 2 วัน จนกระทั่งวันที่ 25 กันยายน 2023 เขาได้รับสัญญาณให้เตรียมตัวออกเดินทาง
“เขาบอกผมว่าพรุ่งนี้ 10 โมงเตรียมตัวเลยนะ พอตื่นมาอีกวัน เขาก็เรียกรถมาให้ มีคู่สามี-ภรรยา 1 คู่ พี่อีกคนรวมผม เป็นทั้งหมด 4 คน”
พอเดินทางถึงสนามบิน นายหน้าที่เคยทักข้อความเข้ามาทาง Facebook ก็ได้ขอให้เขาถ่ายรูปกลุ่มส่งไปให้ เพื่อที่นายหน้าคนดังกล่าว จะส่งต่อรูปของพวกเขาไปให้กลุ่มคนจีนที่ประเทศเมียนมา ที่รอพวกเขาอยู่ที่สนามบิน เมืองมัณฑะเลย์
ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงเมืองมัณฑะเลย์ มีคนจีนนำรถมารับพวกเขาไปส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสนามบิน ระหว่างที่พักอยู่ในโรงแรมนั้น 2 คืน พวกเขาสามารถสั่งอาหารกินได้เต็มที่ โดยมีหญิงสูงวัยชาวจีนคอยดูแล
“ผมเริ่มเอะใจแล้วว่า เรามาสมัครงานแต่ทำไมเขาเลี้ยงดีจัง เริ่มคิดอยากกลับบ้านแล้ว แต่ก็ตกลงกับคนไทยคนอื่นว่า ถ้าไปแล้วก็ต้องไปให้สุด”
หลังจากนั้นความสบายของพวกเขาก็ได้สิ้นสุดลง ช่วงเวลาตี 4 ของอีกวัน กลุ่มนายทุนนำรถเก๋ง 2 คันมารับพวกเขา โดยคันหนึ่งสำหรับใส่สัมภาระ และอีกคันหนึ่งสำหรับพวกเขาทั้ง 4 คนโดยสาร รถแล่นผ่านช่วงเวลาเช้ามืดของเมืองมัณฑะเลย์ ไปเปลี่ยนรถอีกครั้งหนึ่งในตอนเที่ยงวัน และเปลี่ยนรถอีกครั้งหนึ่งในช่วงเวลาบ่าย
“เดินทางจนไปถึงเมืองล่าเสี้ยวในช่วงเย็น คนขับจอดแวะพัก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองเล้าก์ก่าย (Laukkaing) ในเวลาเที่ยงคืน”
สุรวัชเล่าว่าเมืองเล้าก์ก่ายเต็มไปด้วยแสงสีในยามค่ำคืน ประดับประดาด้วยป้ายไฟที่เป็นตัวอักษรภาษาจีน เขาสังเกตเห็นว่ามีคนจีนอยู่เต็มเมือง
เมืองเล้าก์ก่ายอยู่ในเขตปกครองพิเศษโกกั้ง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมาร์ใกล้ชายแดนจีน เมืองแห่งนี้ถูกพัฒนาเป็นแหล่งการพนัน ซึ่งถูกครอบครองโดยนายทุนจีนที่มีสายสันพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลทหารเมียนมาร์ ประกอบด้วย 4 ตระกูลมาเฟีย ได้แก่ ไป่ โส่วเฉิน, เหวย เชาเรน, หลิว กั๋วซี และหลิว เจิ้งเซียง นอกจากแหล่งการพนันแล้ว เมืองเล้าก์ก่ายยังถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และศูนย์กลางขบวนการมิจฉาชีพโกงเงินออนไลน์และคอลเซ็นเตอร์
“พอไปถึงอาคารสถานที่ทำงาน ทหารรับจ้างยืนถือปืนเรียงกัน” สุรวัชเล่า “นายทุนจีนเดินถือถุงสีดำ เขาเปิดออกมานับเงินปึกใหญ่ และยื่นให้คนที่มาส่งผม”
เงินดังกล่าวคือค่าตัวของคนไทยทั้ง 4 คนที่ถูกหลอกมา ต่อจากนั้นทหารรับจ้างชี้ปืนมาที่สุรวัช พร้อมบอกให้เขาเปิดกระเป๋าออกมาให้ตรวจสอบ พวกเขาถูกยึดสิ่งของบางอย่างเช่น บุหรี่ เป็นต้น จากนั้นจึงถูกส่งตัวมาที่อาคารที่มีชื่อว่า ตึก 311 ชั้น 6 ที่มีคนจีนเป็นส่วนใหญ่นั่งทำงานกันอยู่ กลุ่มคนไทยถูกพาไปเขียนใบสมัครงาน ก่อนที่ผู้หญิงคนไทยคนหนึ่งจะทักท้วงขึ้นมาว่า
“งานที่จะให้ทำเป็นงานแอดมินใช่ไหม”
“หนูไม่รู้ว่าพวกพี่ฟังเขามาอย่างไร แต่ถ้าพี่มาถึงที่นี่ พวกพี่ต้องทำตามกฎทุกอย่างที่เขาบอกมา”
คือคำกล่าวของล่ามชาวไทใหญ่ ที่ถูกหลอกมาก่อนหน้า เพราะในความจริงแล้วพวกเขาถูกบังคับให้มาทำงานหลอกลวงผู้อื่น โดยในช่วง 4-5 วันแรก กลุ่มนายทุนจีนจะมาสอนงานพวกเขา ก่อนที่วันที่ 6 พวกเขาจะถูกส่งตัวไปทำงานอีกบริษัทที่มีชื่อเรียกว่า ตึกริมน้ำ
ณ ตึกริมน้ำสุรวัชและคนไทยอีก 5 คน ต้องสร้างโพรไฟล์สมมุติขึ้นมาเพื่อหลอกคนอื่นว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มมิจฉาชีพชาวจีนจะมีรายชื่ออีเมล เตรียมไว้ให้กับพวกเขานับพันอีเมล
วิธีการหลอกหลวงเริ่มต้นจาก ให้ส่งอีเมล์ไปหาคนอื่น ๆ โดยแกล้งเป็นว่าส่งอีเมลผิด สุรวัชได้ยกตัวอย่างข้อความที่เขาถูกบังคับให้ส่งไปหาชาวยุโรปคนหนึ่งว่า
“สวัสดีจอห์น วันนั้นฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อกลับ” สุรวัชใช้ชื่อแทนตัวเองว่าแอชเทล
หลังจากนั้นเขาก็จะได้รับอีเมลตอบกลับมาว่า เขาส่งอีเมลผิด ซึ่งสุรวัชจะต้องตอบกลับไปว่า
“ฉันขอโทษนะ ฉันเป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดเลย”
ถ้าหากมีการตอบอีเมลกลับมาเช่น ‘ไม่เป็นไร ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี’ ทางกลุ่มคนจีนที่ดูแลสุรวัช จะบังคับให้เขาทำการพูดคุยต่อ โดยมีเป้าหมายที่จะต้องได้รับข้อมูลทั้งชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, อายุ, การงาน, และฐานะ โดยกระบวนการเหล่านี้จะต้องทำให้สำเร็จภายใน 1-2 วัน หากเกินกว่านั้นเขาจะต้องยุติการพูดคุย โดยสุดท้ายเขาจะต้องขอ Whats App ของเหยื่อคนนั้นมาให้ได้
“เมื่อได้ Whats App id มา ผมจะต้องส่งข้อมูลต่อให้คนจีน ที่มีทักษะการหลอกที่เชี่ยวชาญกว่าผม หน้าที่ของผมคือการหาลูกค้าให้กับพวกเขาเท่านั้น”
และถ้าหากไม่สามารถหาลูกค้าได้ภายใน 3 วัน พวกเขาจะถูกตักเตือนและต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน และหากผ่านไป 4-5 วัน ถ้าไม่สามารถหาลูกค้าได้ คนเหล่านั้นจะถูกนำตัวไปที่ห้องประชุม ถูกซ้อมด้วยการทุบตีและเอาเก้าอี้ฟาด เพื่อให้ทุกคนในที่ทำงานได้เห็น
“มีน้องคนไทยคนหนึ่งโดนซ้อม เพราะนำเรื่องไปแจ้งสถานทูตไทย และพวกคนจีนเห็นแชทดังกล่าว”
เมื่อสุรวัชเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว เขาสามารถหาลูกค้าได้วันละ 1 คน ในช่วง 4-5 วันแรกของการทำงาน จึงทำให้เขาไม่ถูกลงโทษ เมื่อชาวจีนที่เป็นผู้คุมของสุรวัชที่ใช้ชื่อ มา ไซ้ เห็นว่าเขาสามารถทำงานได้ จึงส่งตัวสุรวัชกลับไปที่ตึก 311 เพื่อไปสอนงานคนไทย 20 กว่าคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง แต่ยังไม่ทันได้เริ่มสอนงาน กองกำลังติดอาวุธ 3 กลุ่ม ซึ่งรวมตัวกันในนาม “พันธมิตรภาคเหนือ” นำโดย กองทัพโกก้าง (Myanmar National Democratic Alliance Army : MNDAA) , กองทัพตะอั้ง(Ta’ang National Liberation Army : TNLA) และกองทัพอาระกัน(Arakan Army : AA)
เปิดปฏิบัติการที่ใช้ชื่อว่า “ปฏิบัติการ 1027” ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 โดยบุกโจมตีฐานที่มั่นของทหาร ตำรวจเมียนมา หลายเมืองในภาคเหนือของรัฐฉาน ซึ่งรวมถึงเมืองเล้าก์ก่าย หนึ่งในเป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้ คือการบุกทลายธุรกิจของแก๊งมิจฉาชีพชาวจีน
“พวกเขาส่งตัวผมไปที่สถานีตำรวจ จากนั้นอีก 2 วันผมก็ถูกส่งต่อมาที่ค่ายทหาร”
โดยในช่วงระหว่าง 2 วันที่สุรวัชได้ออกไปอยู่ในสถานีตำรวจ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สถานการณ์ในตึกที่คนไทยถูกจับบังคับมาทำงานนั้น มีการบุกเข้ามาจากกองกำลังฝ่ายพันธมิตรภาคเหนือ กลุ่มนายทุนจีนบางส่วนได้หลบหนีไปก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนที่กลุ่มคนไทยจำนวนกว่า 200 คนได้ถูกช่วยเหลือออกมา และถูกนำตัวไปไว้ที่ค่ายทหาร
“20 วันในค่ายทหาร พวกผมต้องฟังเสียงระเบิดทุกวัน สุขอนามัยในนั้นไม่ดีเลย อาหารก็กินไม่ได้”
หลังจากนั้นสุรวัชและคนไทยได้ถูกนำตัวส่งต่อมายังโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้เขตชายแดนประเทศจีน จากนั้นพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากทางการจีน ส่งตัวมายังมณฑลยูนนาน จากนั้นจึงขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองคุนหมิง และได้รับความช่วยเหลือจากทางการไทยในการนำเครื่องบินมารับกลับสู่มาตุภูมิ
“สิ่งที่ผมสูญเสียไปคือเวลาและสภาพจิตใจ คนบางคนอยู่ในนั้นบ้าไปเลย เพราะเขาไม่อยากอยู่แล้ว เอามือทุบกระจกจนแตกหมดเลย”
สุรวัชบอกว่าหลังจากที่เขามีชีวิตรอดกลับมา เขาจะกลับไปตั้งหลักที่บ้าน จ.เชียงใหม่ และจะเริ่มหางานทำอีกครั้ง
สุรวัชยอมรับว่า ทุกวันนี้สามารถถูกหลอกอย่างง่ายดายในโลกออนไลน์ เขาบอกตัวเองว่าต่อจากนี้การหางานจำเป็นต้องรอบคอบ อย่าคิดว่าจะมีงานที่สบาย และได้เงินเดือนเยอะเหมือนที่เขาถูกหลอกมา
สุรวัชเป็นหนึ่งในคนจำนวน 120,000 คน ในประเทศเมียนมา ที่ถูกบังคับใช้แรงงานหลอกลวงผู้คนทางออนไลน์ ตามรายงานจาก Online Scam Operations and Trafficking into Forced Criminality in Southeast Asia: ของ High Commissioner for Human Rights (UN Human Rights) สุรวัชและคนไทยกลุ่มที่กลับออกมาได้ อาจเป็นเพียงไม่กี่กลุ่มที่โชคดีที่พื้นที่ดังกล่าวเกิดการสู้รบระหว่างกองทัพ จึงทำให้พวกเขาสามารถหลบหนีออกมาได้
อ้างอิงข้อมูลข่าวจากทางบีบีซีระบุว่า ผลจากปฏิบัติการ 1027 ของกองกำลังติดอาวุธพันธมิตรภาคเหนือ ทำให้หมิง กั๋วปิงและหมิง เฉินเฉิน ทายาทของตระกูลหมิงถูกจับ รวมทั้งหมิง เสวียชาง ผู้นำกลุ่มกองกำลังที่ทรงพลัง ที่ปกครองเมืองเล้าก์ก่ายมาตลอด 14 ปีที่ผ่านมาปลิดชีพตัวเองหลังถูกจับกุม ซึ่งหมิง เสวียชางนั้นเป็นลูกสมุนของ ไป่ โส่วเฉิน ผู้นำของหนึ่งใน 4 ตระกูลมาเฟียจีนเทา
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพคนจีน ไม่ได้มีแค่ในเมืองเล้าก์ก่าย แต่พวกเขาเข้ามาลงทุนอยู่ในประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา ตามเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ โดยอาศัยความอ่อนแอของกฎหมายในประเทศนั้น ๆ ทำการหลอกลวงผู้คนจากทั่วภูมิภาคมากกว่า 200,000 คน
ประเทศไทยถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่ตั้งธุรกิจของกลุ่มมิจฉาชีพคนจีน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นช่องทางลำเลียงผู้คนเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว ด้วยปัจจัยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ชายแดนติดอยู่กับเมียนมา ลาว และกัมพูชา รวมทั้งยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ขาดการรับรู้เท่าทันการหลอกลวง และตกเป็นเหยื่อแก่แก๊งมิจฉาชีพชาวจีน
นอกจากสุรวัชที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุย ยังมีผู้เสียหายอีก 2 คน ที่ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า พวกเขาตกลงเดินทางไปทำงานโดยไม่ทราบมาก่อนว่า มีการหลอกลวงเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2021 ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน นั่นทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังไม่สามารถสร้างความตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ให้กับผู้คนทุกกลุ่มได้
รวมทั้งข้อมูลจากภาคประชาสังคมที่ทำงานช่วยเหลือกลุ่มคนไทยที่ถูกหลอกลวงไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ให้ข้อมูลว่า แก๊งมิจฉาชีพชาวจีนเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการหลอกลวงอยู่ตลอด จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเท่าทัน และการช่วยเหลือก็เป็นไปในรายกรณี ตราบใดที่ยังไม่เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐในภูมิภาคอาเซียนในการจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ แก๊งมิจฉาชีพชาวจีนเหล่านี้ก็ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป