‘อาหารเชิงนิเวศ’ โอกาสสุดท้ายของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม
Reading Time: 2 minutesการบริโภคโปรตีนในทุกวันนี้กำลังกลืนกินความหลากหลาย ทำลายทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เราอาจจะต้องคิดถึงอาหารเชิงนิเวศเพิ่มขึ้นในวันที่โลกรวนและพลิกผัน
จาก 1995 ถึง 2023 (พ.ศ.2538 -2566) การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP: Conference of the Parties ยังเจอความท้าทาย เมื่อบททดสอบระดับนานาชาติอย่างการเจรจาหาแนวทางแก้ปัญหาโลกของประเทศสมาชิกไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยหมุดหมายภายในทศวรรษแรก กล่าวคือ 2021-2030 (พ.ศ.2564-2573) หวังบรรลุเป้าหมายให้ระดับอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่เกินขีดจำกัดที่ 1.5 องศาเซลเซียส
ตลอดเวลาที่ผ่านมา “การประชุมระดับโลกนี้ต่างเป็นที่รวมตัวของผู้แทนจากภาครัฐ และนักล็อบบี้ภาคเอกชน” วันนี้ COP28 เดินทางมาถึงแล้ว ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยมุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติ และให้ความสำคัญเรื่องพลังงานและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมที่คำนึงถึงทุกภาคส่วนมากกว่าที่เคย คำถามสำคัญจึงมีอยู่ว่า ประเทศไทยจะผ่านการปรับตัวนี้ไปได้อย่างไร ในวันที่เรายังคงติดกับดักพลังงานฟอสซิล และเต็มไปด้วยคำตอบที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่จุดยืนของภาคประชาชนยังเป็นปริศนาในสมการระดับนานาชาตินี้ ล้วนเป็นคำถามและข้อสังเกตุสำคัญจากเวทีเสวนาเชิงนโยบาย DIALOGUE FORUM 5 I YEAR 4: วิเคราะห์ข้อท้าทายการเจรจาฯ ลดโลกร้อน COP28 ซึ่ง De/code ร่วมจัดกับพาร์ทหลักอย่างสำนักข่าว Bangkok Tribune ,ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และSEA-Junction

“ตอนนี้โลกกำลังมุ่งสู่ความยืดหยุ่น (resilience) 3 ด้าน คือ ความยืดหยุ่นทางสังคม (social resilience) ความยืดหยุ่นทางสิ่งแวดล้อม (environmental resilience) และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ (economic resilience) ที่จะนำพาโลกไปสู่ความยั่งยืน”
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา MQDC และผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต (Climate Change and Disaster Center) กล่าวพร้อมระบุว่า การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานอย่าง Nature-based Solutions (NbS) ก็จะเป็นโจทย์หลักในการประชุมครั้งนี้ ตลอดจนมีการมุ่งเน้นเรื่องการปรับตัว (adaptation) มากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้มีกรอบการทำงานระดับนานาชาติที่มุ่งแก้ปัญหาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ อย่าง Sendai Framework for Disaster Risk Reduction (SDGs) หรือความตกลงปารีส (Paris Agreement) ความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดขึ้นในการประชุม COP21 ต่างมุ่งสู่ Pathway to Resilience เพราะหมุดหมายเดิมที่ตั้งไว้ไม่เป็นผล หลังมีข้อมูลว่าจาก Climate Action (SDG 13) ที่หวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) เมื่อวันนี้ผ่านมาได้แล้วครึ่งทาง ทำได้เพียง 15% เท่านั้น

“COP28 มาสายพลังงานแน่ ๆ แต่พลังงานที่ข้ามผ่านแบบคำนึงถึงทุกภาคส่วน ถ้าค่าไฟขึ้น ถ้าเปลี่ยนเป็นพลังงานหมุนเวียน แล้วแรงงานทำยังไง เขามองลึกกว่าแค่เทคโนโลยี เขามองลึกถึงประชาชน สามารถซื้อได้ไหม เข้าถึงได้ไหม หรือประชาชนเดือดร้อนกันหมด หรือประชาชนกลุ่มเปราะบางไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นี้ได้”
ด้าน ผอ.นารีรัตน์ พันธุ์มณี ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ระบุว่า หาก COP26 เป็นการตั้งเป้าหมาย COP28 จึงเป็นการดำเนินการปฏิบัติอย่างชัดเจน พร้อมยืนยันว่า เราหยุดโลกร้อนไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงเป็นการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หลายประเทศกล่าวถ้อยแถลงว่าจะให้เงินทุนกับ กองทุนช่วยเหลือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะโลกรวน (Loss and Damage fund) มากขึ้น
นอกจากนี้ประเทศไทยยังยึดถือหลักความรับผิดชอบในระดับที่ต่างกัน ซึ่งสอดคล้องตามขีดความสามารถของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategies) ที่ยื่นให้กับกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ (UNFCCC) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม (just energy transition) ขึ้น โดยการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่จำเป็นต้องเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน โดยรัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดขึ้นจริง
“ร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกภาคส่วนเจ็บตัวแน่ แต่การเจ็บตัวทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เป็นธรรมหรือไม่ต้องมาดูอีกทีว่าในบริบทไหน ต้องดูความสมดุลว่าแค่ไหนถึงจะเหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศ เราคงจะไปสุดโต่งไม่ได้ ร่างพรบ.นี้ ปีหน้าน่าจะได้เอามาเผยแพร่ให้กับทุก ๆ ท่าน มีบทเจ็บตัว มีหมวดตัวช่วย ส่วนบทกำหนดโทษเป็นเรื่องของการรายงานข้อมูลเท็จ” ผอ.นารีรัตน์ กล่าวพร้อมย้ำว่า นอกจากนี้ความโปร่งใสของการตรวจวัดค่าการใช้คาร์บอนเองก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองใน COP ครั้งนี้เช่นเดียวกัน

“คุณลดก๊าซฯ ก็เป็นพระเอกเลย แต่คนอื่นไม่ทำ เขาก็ยังได้ประโยชน์อยู่ ประเด็นคือ คนลดต้องเสียต้นทุนเยอะ เสียสละ คนที่ไม่ลดก็ได้ประโยชน์ต่อไป”
รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า รากเหง้าของปัญหาเรื่องภาวะโลกร้อนมีคำอธิบายเชิงเศรษฐศาสตร์ที่นำไปสู่ความล้มเหลวของระบบตลาด (market failure)
ปัญหาแรก คือ สินค้าสาธารณะ ที่สามารถแบ่งออกได้เป็นสองแบบ สินค้าที่ไม่สามารถกีดกันการใช้ประโยชน์ได้ (Non-exclusive) เช่น การป้องกันประเทศ ที่คนในประเทศมีสิทธิได้รับประโยชน์ เช่นเดียวกันกับชั้นบรรยากาศโลกที่ไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของได้ และ สินค้าที่ไม่แบ่งปันในการบริโภค (Non-rival) เราบริโภค คนอื่นบริโภคได้ ถ้าเราปล่อยก๊าซเรือนกระจก คนอื่นก็ปล่อยได้ ไม่ได้กีดกันให้คนอื่นปล่อยได้น้อยลง ก่อเกิดปัญหา Free Rider คนลดเสียต้นทุน คนไม่ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประโยชน์ ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจ
ปัญหาที่สอง คือ ผลกระทบภายนอก (Externalities) คนนึงทำ คนนึงได้หรือเสียประโยชน์ แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นผลกระทบภายนอกระหว่างประเทศ ทั้งสินค้าสาธารณะและผลกระทบภายนอกเนี่ยนำมาซึ่งความล้มเหลวของระบบตลาด คือราคาสินค้าที่ขายอยู่ในตลาด ไม่สะท้อนต้นทุนของการใช้ทรัพยากรความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม นำมาสู่กลไกจัดสรรทรัพยากรที่ขาดประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดปัญหาความยุติธรรมระหว่างคนต่างรุ่น ตลอดจนถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

“ใครสามารถระดมคาร์บอนได้เยอะ ไม่ว่าจะด้วยการลงทุน การซื้อ สามารถเคลมได้ว่าฉันเป็นผู้รักสิ่งแวดล้อมนะ แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมในที่นึง แต่ฉันไปลงทุนปลูกป่าอีกที่นึง จากผู้ร้ายกลายเป็นพระเอกได้เลย”
ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และผู้ประสานงานเครือข่าย Thai Climate Justice for All (TCJA) อธิบายให้เราฟังว่า ปัญหาโลกร้อนเกิดจากบางภาคส่วนที่ใช้ทรัพยากรเยอะ ยกตัวอย่างเช่น พลังงานฟอสซิลที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกลับเป็นกลุ่มคนที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเปราะบางกว่าอย่างกลุ่มชนพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น และผู้หญิง ที่ท้ายที่สุดแล้วสิทธิในการดำรงชีพถูกละเมิดโดยไม่รู้ตัว และหาไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ละเมิด
ดังนั้นหากเราถลำไปในคาร์บอนนิยมมากเกินไป การจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจะถูกลดทอนเพียงแค่เรื่องการเคลมคาร์บอนจากบริษัทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายสิทธิมนุษยชน ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหมดที่ชาวบ้านเผชิญถูกทิ้งไปข้างหลัง โดยหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นภาพชาวบ้านลุกมาคัดค้าน เพราะเมื่อฐานทรัพยากรเสียหาย ก็นำมาสู่ประสิทธิภาพการปรับตัวที่ต่ำลง เช่น ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงและเปราะบาง ด้านหนึ่งได้รับผลกระทบจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการเวนคืนหรือปัญหาอื่นใด สองคือกลไกตลาด ที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก โอกาสในการปรับตัวเองจึงมีจำกัด
“ประเทศไทยมักคิดในระดับสั้นว่าอยู่ในระดับรายได้ปานกลาง วิธีเดียวที่เราจะทำได้เลยคือการดึงดูดการลงทุนต่างชาติในรูปอุตสาหกรรม เราไม่นึกถึงการใช้ทรัพยากรในประเทศ ประชาชนไม่ได้อยากเห็นแค่การเติบโตทางเศรฐกิจ แต่เราอยากเห็นการเติบโตที่กลับมาสมดุลกับธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบนิเวศน์” ดร.กฤษฎา กล่าว พร้อมย้ำว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการเดินหน้าแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน

“น่าเสียดายที่ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด แต่ตอนนี้เรากลายเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการใช้ฟอสซิลเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์”
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวพร้อมระบุว่า การปลดแอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ยุติการสำรวจแหล่งใหม่ และเพิ่มพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อม ๆ กัน ในขณะที่รายงานความคืบหน้าในการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake Synthesis Report) จะเข้มข้นมากขึ้นใน COP28 ซึ่งสามารถเป็นตัววัดศักยภาพที่เกิดขึ้นว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะความสำเร็จของ Global Stocktake ก็คือความสำเร็จของ COP28
ในขณะที่เรื่องเขื่อน ในรายงานทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA, International Energy Agency) ก็มีการถกเถียงว่าเขื่อนเป็นพลังงานสะอาดจริงไหม เพราะบางทีเราก็เอาเขื่อนไปใส่ในประเภทพลังงานหมุนเวียน บางทีก็แยกออกมา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ท้าทาย เพราะประเทศไทยมีไฟฟ้าจากแดดและลมเพียง 5% เท่านั้น
นอกจากนี้ ตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้าก๊าซฟอสซิลเหลวติดอันดับสูงที่สุด 1 ใน 10 อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพง ดังนั้นจึงมีการจับตามองแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (PDP) ที่จะออกมาปลายปี 2566 ว่าจะเป็นอย่างไร แผนใหม่จะมีหรือไม่มีถ่านหิน จะมีก๊าซและพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากไทยมีศักยภาพในการทำพลังงานหมุนเวียนมากมาย แต่ทิศทางการเติบโตพลังงานหมุนเวียนกลับถดถอย
รับฟังเวทีเสวนาเชิงนโยบายย้อนหลังได้ที่ DIALOGUE FORUM 5 I YEAR 4: วิเคราะห์ข้อท้าทายการเจรจาฯ ลดโลกร้อน COP28
เอลนีโญมา ‘ถ้าไม่มีน้ำ เศรษฐกิจก็จบ’
รวย-จ่าย-ไม่จบ เมื่อการ fade out ถ้าไม่เลือก เราไม่รอด
อากาศสุดขั้ว รัฐรวมศูนย์สุดขีด
ไม่แก้หรือแก้ไม่ได้? น้ำท่วม-โลกรวน ปัญหาใหญ่(ที่ไม่ใหม่)และไทยกำลังตามโลกไม่ทัน