ข้าแต่ศาลที่เคารพ 'ผมแค่มีความฝัน' สักวันวีลแชร์จะขึ้นบัลลังก์ - Decode

ข้าแต่ศาลที่เคารพ ‘ผมแค่มีความฝัน’ สักวันวีลแชร์จะขึ้นบัลลังก์

Justice
Reading Time: 4 minutes

หลังจากรถยนต์แล่นเข้า อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ได้ไม่นาน สองข้างทางเริ่มขนาบด้วยต้นไม้ทึบ อาคารใหญ่ ๆ ในตัวเมืองเริ่มกลายเป็นบ้านขนาดย่อม ๆ ล้อมด้วยสวนเกษตรกรรมหลากหลายประเภท อึดใจหนึ่งก่อนจะถึงจุดหมาย ผู้เขียนนึกขำ ๆ ว่าถ้าไม่บอกว่ามาสัมภาษณ์ทนายความ คงคิดไปว่ามาสัมภาษณ์เกษตรกรสักคนหนึ่งซะมากกว่า

จุดหมายปลายทางวันนั้นคือบ้านของ ศุภวิชญ์ จันทร์เสถียร หรือ เคน ทนายหนุ่มท่าทางใจดีวัย 28 ปี ที่มาตั้งสำนักงานกฎหมายอยู่ไกลปืนเที่ยงเช่นนี้ และเพิ่งปะทะหลักการกับองค์กรแม่อย่างสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมไปหมาด ๆ

“ตอนแรกเคยอยากเป็นนายอำเภอ อยากเป็นตำรวจ เพราะเราอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง มันอาจจะเป็นอาชีพเบสิกของเด็กบ้านนอกก็ได้” เคนฉายเสี้ยวหนึ่งของชีวิต

แต่ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรงพอ ทำให้อาชีพที่จำเป็นต้องใช้กำลังวังชาเริ่มไกลจากความเป็นไปได้ เคนเริ่มตั้งต้นเส้นทางของตนเองใหม่ในยุคที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย เคนหันมามุ่งมั่นกับทักษะการเรียนที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน และวางปลายทางของตนเองไว้ว่าจะเป็น ‘ผู้พิพากษา’

หลังจบการศึกษาภาคบังคับระดับชั้นมัธยม เคนเริ่มมองหาสถานศึกษาระดับชั้นมหาวิทยาลัยเพื่อเริ่มต้นเส้นทางของการเป็นนักกฎหมาย ทว่ากระบวนการกลับยากกว่าที่คิด เคนต้องคำนึงสถานศึกษาที่เอื้อต่อร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพราะการเดินทางขึ้นอาคาร 4 ชั้นขึ้นไปไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ใช้วีลแชร์

ท้ายที่สุด เคนเลือกเข้ารับการศึกษานอกระบบ (กศน.) ถัดมาก็จบการศึกษา สามารถเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราชได้สำเร็จในปี 2558 และจบการศึกษาเมื่อปี 2562

“เพื่อนผมเนี่ยไม่เคยได้ขึ้นไปเรียนชั้นสองเลย เพราะโรงเรียนเขาจัดให้ผมอยู่ชั้นล่างตลอด โรงเรียนไม่มีทางลาด แม่ผมต้องออกตังค์ซื้อปูนแล้วเอาไปให้คนในโรงเรียนทำ แต่พอเป็นมหาลัยฯ มันก็ลำบาก เขาคงจัดการให้เหมือนตอนประถมไม่ได้ กลัวจะยุ่งเหยิงก็เลยเลือกเรียนกศน.”

การเข้าเรียนนิติศาสตร์ครั้งนั้นเปรียบเสมือนโลกใบใหม่ และถือเป็นก้าวแรกของเคนในฐานะนักกฎหมาย ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม การันตีจากคำบอกเล่าที่เขาบอกว่า ‘ไม่เคยสอบตกสักครั้ง’ ในทั้งหมด 24 รายวิชา จนเริ่มเห็นแสงจากปลายอุโมงค์ที่อาจนำพาชีวิตที่ดีมาให้ดั่งหวัง และความฝันที่ต้องการเป็นผู้พิพากษาก็เริ่มก่อตัวชัดขึ้นทุกที

เคนอธิบายว่าตามปกติบุคคลที่มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ก็สามารถสอบเข้าเป็นผู้พิพากษาได้ เพียงแต่ต้องจบหลักสูตรนิติศาสตร์ มีประสบการณ์ทำงานด้านกฎหมาย 2 ปีขึ้นไป และที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาเนติบัญฑิตยสภา เพราะประกาศนียบัตรของเนติบัญฑิตฯ คือคุณวุฒิจำเป็นของผู้พิพากษา ขณะเดียวกันก็เป็นคำประกาศกร้าวของนักกฎหมายผู้นั้นว่า ‘เขาหรือเธอต้องการเป็นผู้พิพากษา’

เส้นทางของนักกฎหมายที่ต้องการเป็นผู้พิพากษามี 3 เงื่อนไขข้างต้นเป็นหลักยึด แต่เส้นทางการเก็บประสบการณ์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมนั้นแตกต่างกันไป เช่น บางคนเลือกทำงานเป็นนิติกรในหน่วยงานต่าง ๆ แม้เนื้องานของนิติกรไม่เกี่ยวข้องกับการว่าความหรือตัดสินคดีในศาล แต่ก็ยังนับว่าเป็นงานด้านกฎหมาย ซึ่งหลายคนทำงานนิติกรและสอบเนติบัณฑิตไปด้วย

หรืออีกเส้นทางหนึ่งที่เคนเลือกคือการเป็นทนายความ โดยเส้นทางนี้จำเป็นต้องสมัครสอบอบรมหลักสูตรการเป็นทนายความกับสภาทนายความซึ่งกินระยะเวลาราว 4-6 เดือน และต้องสอบผ่านทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ หลังจากนั้นจึงเข้าฝึกงานกับทนายความที่มีใบอนุญาตราว 6 เดือน และสอบเพื่อขอใบอนุญาตเป็นทนายความในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งในเส้นทางนี้ก็สามารถทำไปพร้อมกับการเรียนเนติบัณฑิตได้เช่นกัน (หากจบเนติบัณฑิตแล้วไม่จำเป็นต้องอบรมและฝึกงาน)

“ถ้าสัมภาษณ์คนที่จบเนติบัณฑิตทั่วไปเลย ผมว่าเกิน 90% ที่อยากเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ เพราะว่าไม่มีอาชีพใดกำหนดเลยว่าต้องจบเนติบัณฑิต นอกจากผู้พิพากษาหรือว่าอัยการ” เคนเสริม

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ก่อนจะเข้าสู่การทำงานจริงในฐานะอัยการหรือผู้พิพากษา การเป็นเนติบัณฑิตถือว่าเป็นจุดสูงสุดของนักเรียนกฎหมาย หลักสูตรเนติบัณฑิตจะแบ่งออกเป็น 4 สาขาวิชา 2 ภาคเรียน คือวิชาแพ่งและวิชาอาญาในภาคเรียนที่หนึ่ง และวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญาในภาคเรียนที่สอง ไม่จำกัดว่าจะสอบสาขาวิชาใดก่อน เพียงแค่ต้องสอบผ่านให้ได้ทั้งสี่สาขาวิชาเท่านั้น

การสอบในชั้นเนติบัณฑิตมีความยากและหนักหนาอยู่พอสมควร เคนประมาณว่าในแต่ละสาขาวิชาอาจมีมาตรากฎหมายให้ท่องจำกว่า 300 มาตรารวมทั้งคำบรรยายและเนื้อหา ซึ่งกินระยะเวลาราวหนึ่งเดือนในการจดจำมาตรากฎหมายต่าง ๆ หรืออธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ในคณะนิติศาสตร์เรียนอะไร การสอบเนติบัณทิตก็สอบเนื้อหาทั้งหมดนั่น ด้วยความท้าทายระดับนี้ทำให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาเนติบัญฑิตถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถในทางกฎหมายที่สูงเลยทีเดียว “อ่านแต่หนังสือกฎหมาย อ่านจนหัวรุ่งเลย ตั้งแต่เรียนกฎหมายผมก็ไม่เคยได้นอนก่อนเที่ยงคืน” เคนหัวเราะ

ช่วงที่เคนเรียนจบและกำลังเตรียมสำหรับสอบทนายความและเนติบัณฑิต เป็นช่วงเวลาที่โรคโคโรนาไวรัสกำลังระบาด ทำให้ตารางการสอบเนติบัณฑิตและการสอบทนายความต้องเลื่อนออกไปจนเดือนกรกฎาคมปี 2563 ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง สนามสอบต่าง ๆ จึงกลับมาทำการอีกครั้งหนึ่ง 

“ผมเสียใจนะรอบนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่สอบไม่ผ่าน อาจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยสอบตกเลย” เคนยิ้มเล็กน้อยราวกับความเจ็บปวดนั้นยังติดในใจ ทว่านั่นไม่ใช่ความเสียใจของชายหนุ่มที่ไม่ยอมอ่านหนังสือ แต่เป็นความเจ็บปวดของชายหนุ่มที่เตรียมหัวใจและคำตอบมาอย่างครบถ้วน ทว่าร่างกายกลับไม่สามารถเขียนถ้อยคำเหล่านั้นได้ทันเวลา

เคนเป็นคนพิการโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง นั่งวีลแชร์ และไม่สามารถขยับร่างกายได้อย่างถนัดนัก
มืออยู่ในสภาวะพอเขียนหนังสือได้ แต่หัวสมองและทัศนคติของเขายังขยับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ

การสอบทนายความเป็นสนามสอบแรกในระดับอาชีพของเคน ในวันนั้นเขามีครบหมดทั้งความรู้และจิตใจที่มุ่งมั่น หากจะขาดก็คงมีเพียงประสบการณ์ เขาเล่าว่าวันนั้นข้อสอบค่อนข้างเยอะกว่าทุกที และมีเวลาในการสอบเพียง 2 ชั่วโมง ซึ่งการเขียนต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงกับกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

“ผมไม่เคยสอบเขียนภายใน 2 ชั่วโมงอย่างนี้ มันเขียนยาว พอเริ่มเกือบ 2 ชั่วโมง มันก็เริ่มล้า เขียนไป 3 ข้อก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว คิดได้แต่ว่ามือมันเขียนไม่ได้ เราจะไปช้าในช่วงเปลี่ยนหน้า มันต้องเลื่อนมือไปลากโจทย์มาดูอะไรแบบนี้” เคนเล่า

“เขียนช้าแบบนี้ ทำไมไม่ขอคนเขียนล่ะ” อาจารย์คุมสอบเอ่ยกับเคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียน

ระหว่างที่เคนกำลังตกใจว่าสามารถขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนได้ อาจารย์คุมสอบชี้นิ้วไปทางโต๊ะสอบอีกตัวหนึ่งที่มีผู้เข้าสอบกับเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนนั่งอยู่ พลางอธิบายว่าหากต้องการเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนก็สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอใช้สิทธิ์ก่อน แม้ในการสอบครั้งนั้นเคนจะใช้สิทธิ์ไม่ทัน แต่เขาก็ได้รู้ว่าในการสอบทนายความหรือสอบเนติบัณทิตสามารถใช้สิทธิ์นี้ได้

โดยนโยบายนี้เป็นไปตามหลักการไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการตามรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) คนพิการที่มีใบรับรองความพิการ และคนพิการที่ไม่สามารถ เขียน พิมพ์ อ่าน หรือตอบข้อสอบได้ด้วยตนเอง มีสิทธิ์ในการขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนแทน ขยายเวลาสอบ ใช้คอมพิวเตอร์ในการเขียน มีห้องสอบเฉพาะ ใช้เครื่องช่วยฟังหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ

เคนจึงขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนในการสอบเรื่อยมา เขาสอบผ่านเป็น ‘ทนายเคน’ ราว ๆ เดือนเมษายนปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคระบาดทุเลาแล้ว ทำให้เขาสามารถวางแผนการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบได้ดีขึ้น และขึ้นแท่นผู้สำเร็จการศึกษาเนติบัณฑิตในปี 2566

“รู้ไหมที่บอร์ดเนติบัณฑิตสมัย 75 เขียนว่าอะไร” ทนายเคนเอ่ยถาม

“ความสำเร็จที่ส่งสู่ความสำเร็จที่ยิ่งกว่า’ เพราะไม่มีใครดีใจที่ได้เป็นเนติบัญฑิต
แต่ทุกคนดีใจเพราะจะได้ไปสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ” เขาตอบ

ทนายเคนทำงานในฐานะทนายได้ราว 2 ปีแล้ว โดยมีสำนักงานกฎหมายเป็นของตนเอง และเบื้องหลังชีวิตอย่างคุณแม่ที่คอยสนับสนุนเขาทุกทางเท่าที่ทำได้ เขาเล่าว่าปัจจุบันก็ต้องเดินทางไปทำงานบ่อย ๆ เขาลงพื้นที่ว่าความทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุง และอื่น ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ในแต่ละเดือนเขาต้องรับผิดชอบคดีความประมาณ 5-6 คดี ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด มีเพียงค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงกว่าทนายคนอื่น เพราะเขาต้องจ้างคนช่วยยกรถวีลแชร์ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ด้วย

เมื่อชีวิตและหน้าที่การงานเริ่มลงตัว ทนายเคนก็เริ่มเดินหน้าความฝัน
และเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิต นั่นก็คือ ‘การเข้ารับการสอบผู้พิพากษา’

กำแพงสูงลิ่วที่(คนพิการ)ไม่อาจข้าม

“นโยบายเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนมีก่อนผมเข้าสอบหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยมีใครสอบผ่านเลย” 

การที่ยังไม่มีผู้ใดสอบผ่านไม่ได้หมายความว่าคนพิการคนอื่นไร้ความสามารถ แต่หมายถึงข้อจำกัดทางร่างกายที่อาจกลายเป็นกำแพงสูงเกินข้ามสำหรับคนพิการบางคน และยังหมายความอีกว่า ‘ทนายเคนจะเป็นผู้สมัครสอบผู้พิพากษาคนแรก ๆ ที่ขอใช้สิทธิเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน’ ในการสอบผู้พิพากษา ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าสิทธิ์ดังกล่าวครอบคลุมถึงการสอบในครั้งนี้หรือไม่

แม้จะมีการรับรองในหลักการและสิทธิของคนพิการ ทว่าในทางปฏิบัติยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก อย่างเช่น คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ศาลยุติธรรมยังไม่รับรองสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน เหมือนกับสภาทนายความ และยังมีการยึดหลักตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการตุลาการ พ.ศ. 2543 ที่ระบุว่าต้อง ‘มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่เหมาะสมกับการเป็นข้าราชการตุลาการ’

“สิ่งที่ต้องใช้ในการอำนวยความยุติธรรม คือตาที่มองพยาน หูที่ฟังคำให้การ
และสมองที่คัดกรองคำพิพากษา ผมไม่เห็นว่าเราจะต้องใช้มือตอนไหนเลยนะครับ”

ในกรณีมาตรา 26 แห่งพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการตุลาการฯ ผศ. ดร. รณกรณ์ บุญมี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการมีจิตใจที่เหมาะสมนั้นถูกต้องแล้ว เพราะหากบุคคลนั้น ๆ มีจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ก็อาจเกิดความเสี่ยงที่คำพิพากษาอาจไม่เป็นธรรมหรือไม่เป็นไปตามตรรกะคนทั่วไป แต่สำหรับเรื่อง ‘การมีร่างกายที่เหมาะสม’ เขาก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเกี่ยวข้องกับการทำพิพากษาอย่างไร

รณกรณ์นึกเร็ว ๆ การปฏิเสธสิทธิ์การสอบผู้พิพากษาของทนายเคนก็ขัดแย้งกับกฎหมายหรืออนุสัญญาเข้าไปกว่า 3 ข้อแล้ว หนึ่งคือขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 27 ที่คุ้มครองมิให้บุคคลถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศ อายุ หรือความพิการ สองคือขัดแย้งกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (CRPD) ที่รับรองสิทธิของคนพิการในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิในการทำงานอย่างเท่าเทียม ซึ่งประเทศไทยก็ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาฯ นี้เมื่อปี 2551 

โดยเฉพาะมาตรา 13 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ ที่เกิดขึ้นเพื่อรับรองคนพิการที่มักถูกกีดกันการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เช่น ไม่สามารถเข้าไปในอาคารศาล ไม่มีล่ามหรือสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งสาระสำคัญของมาตรานี้คือรัฐต้องรับประกันว่าคนพิการสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมอภาค และเท่าเทียมกับบุคคลอื่น

“ถ้าเราปิดกั้นคนบางกลุ่มเพียงเพราะเขาพิการ แล้วใครจะเข้าไปรักษาสิทธิ์ของคนพิการ คำพิพากษาล้วนมาจากคนที่มีวิจารณญาณ เป็นวิญญูชนที่ตั้งใจศึกษาเรียนรู้ และผู้สมัครคนนี้ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วพิสูจน์ตัวเองอีกด้วยการเรียนจบนิติศาสตร์บัณฑิต เรียนจบเนติบัณฑิต มีคุณสมบัติทางสติปัญญาครบถ้วนทุกประการ แต่แค่ขึ้นบัลลังก์ไม่ได้ มันจึงเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องชดเชยเยียวยา อันนี้ไม่ใช่การให้สิทธิ์พิเศษ รัฐหรือศาลมีหน้าที่โดยตรงที่ต้องส่งเสริมหรือถมช่องว่างให้เขาได้มีโอกาสทำในสิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้” รณกรณ์ยืนยัน

แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ ทนายเคนยื่นสมัครสอบผู้พิพากษาผ่านทางออนไลน์ บนเว็บไซต์ไม่มีให้กรอกว่าผู้สมัครเป็นคนพิการหรือไม่ แต่เขาก็ยื่นใบรับรองแพทย์และเอกสารแนบเพื่อขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนไปด้วย เอกสารนั้นประกอบด้วยบัตรคนพิการกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงรายละเอียดว่าทำไมต้องขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน และอธิบายว่าเขาเองก็เคยขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนในการสอบระดับทนายและเนติบัณฑิตมาแล้ว 

“ผมเรียนหนังสือมาสิบปี ผมไม่เคยท้อเลย แต่วันนั้นผมนั่งร้องไห้ตั้งแต่ศาลจนถึงบ้าน ผมไม่คิดเลยว่าผมจะพยายามมาเพื่อเจอสิ่งนี้ (ถูกตัดสิทธิ์สอบ) เพราะไม่ใช่แค่ตัวเราที่สู้มา แต่มีทั้งครอบครัว แม่ เพื่อน หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนับสนุนมาตั้งแต่ต้น” เขาพูดเสียงแข็ง

3 เดือนหลังจากยื่นสมัครสอบ เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมติดต่อกลับมายังทนายเคน เพื่อแจ้งให้เขาเข้าไปรับการตรวจร่างกาย แม้จะสร้างความน่าฉงนให้กับเขา เพราะเท่าที่เขาทราบการตรวจร่างกายจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่ผ่านการสอบผู้พิพากษาแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าคณะกรรมการอาจต้องการตรวจสอบว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงตามที่แจ้งหรือไม่ ซึ่งเขาก็ไปตามนัดหมาย

จากชะอวดถึงกรุงเทพฯ ทนายเคนเข้ารับหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม และเดินทางเข้ารับการตรวจร่างกายจากคณะกรรมการแพทย์ที่ประจำอยู่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เมื่อไปถึงเขาก็ทำแบบฟอร์มข้อมูล และตอบคำถามจากแพทย์หญิงที่เขาเข้าใจว่าน่าจะเป็นจิตแพทย์

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ทนายเคนก็เข้าพบคณะแพทย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการพูดคุยกันถึงเรื่องของการขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน โดยแพทย์ถามเขาว่าวิธีการสอบโดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนว่าที่ผ่านมามีวิธีการอย่างไร

ทนายเคนอธิบายว่าผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนจะนั่งโต๊ะสอบเดียวกัน เจ้าหน้าที่ช่วยเขียนก็จะเขียนตามที่ผู้เข้าสอบพูด โดยห้องสอบหนึ่งห้องจะมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งจากประสบการณ์ของเขาเอง ห้องสอบจะมีเสียงแอร์ดังอึมครึมอยู่ตลอดเวลาซึ่งกลบเสียงพูดคำตอบของผู้เข้าสอบ หรือหลาย ๆ ครั้งเขาก็จะได้โต๊ะนั่งสอบที่อยู่ห่างจากโต๊ะผู้เข้าสอบคนอื่นหลายเมตร “ที่ผมสัมผัสว่าแอร์ช่วยกลบเสียงได้ เพราะว่าพอใกล้จะหมดเวลาสอบประมาณ 5-10 นาที เจ้าหน้าที่จะปิดแอร์ ซึ่งผมลำบากมาก เพราะห้องมันจะเงียบมาก และผมก็ต้องเบาเสียงลง เบาอยู่แล้วต้องเบาลงอีก” ทนายเคนเล่าออกรส

“การสอบแบบนี้มันเป็นการใช้สองหัวนะ” แพทย์ชายบอกกับเขา

แม้ทนายเคนพยายามโต้แย้งในประเด็นที่แพทย์ชายยกอ้าง ว่าเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้สมัครเพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของสนามสอบ อีกทั้งการสอบระดับนี้คงไม่มีผู้เข้าสอบคนใดใช้คำตอบของผู้อื่นมากกว่าคำตอบจากความรู้ตนเอง กระทั่งหากสนามสอบเนติบัณฑิตที่ถือว่าเป็นสนามที่มาตรฐานสูงที่สุดสำหรับนักกฎหมายสามารถขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนได้ หลักการดังกล่าวคงปรับใช้กับสนามสอบผู้พิพากษาได้ไม่ยากนัก

“ไม่เป็นไรหรอก แบบนั้นถือว่าคุณเอาเปรียบคนอื่นมาสองครั้งแล้ว” แพทย์ชายบอกอีกครั้ง

บรรยากาศการพูดคุยไม่ค่อยดีนัก แพทย์ชายยังคงยืนยันว่าไม่สมควรที่จะใช้เจ้าหน้าที่ช่วยเขียน ระหว่างที่ทนายเคนเริ่มนั่งเงียบไร้เสียงโต้แย้ง แพทย์ชายเอ่ยถามอีกครั้ง

แล้วถ้าไม่ได้สอบผู้พิพากษา ไม่ได้สอบอัยการ ชีวิตนี้จะไม่มีความสุขแล้วเหรอ

“ใช่ครับ ผมไม่มีความสุข” ทนายเคนตอบหนักแน่น

ทนายเคนยืนยันกับแพทย์ผู้ตรวจว่า ตำรากฎหมายกว่าแสนหน้าในระยะเวลากว่า 10 ปี ที่พร่ำเรียนนิติศาสตร์ คือหลักฐานว่าการเป็นผู้พิพากษาเป็นความฝันสูงสุดสำหรับเขาและเป็นความฝันที่ทำให้เขามีเรี่ยวแรงในช่วงชีวิตที่ผ่านมา 

“ความฝันเปลี่ยนกันได้ถ้ามีข้อจำกัด คุณเก่งอยู่แล้ว คุณมาถึงตรงนี้ได้ แต่คุณก็ไปทำอย่างอื่น ที่ไม่ต้องแข่งขันกับคนอื่นดีกว่า เดี๋ยวผมจะทำความเห็นไปให้กรรมการว่าไม่ให้คุณสอบ” แพทย์ชายยืนยันครั้งสุดท้าย

หลังจากร้องไห้ตลอดทางกลับบ้าน ทนายเคนกลับมาปรึกษากับเพื่อนที่เป็นนักกฎหมายว่าจะทำหนังสือโต้แย้งดีหรือไม่ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังเชื่อว่าเขาอาจยังคงมีสิทธิ์สอบอยู่ เพราะหากแม้คณะแพทย์วินิจฉัยว่าเขาไม่สามารถขอเจ้าหน้าที่ช่วยได้ เขาก็ยังมีสิทธิ์เข้าสอบด้วยตนเอง

ทว่าชื่อศุภวิชญ์กลับไม่ปรากฏในวันประกาศรายชื่อ เขาจึงติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่มีสิทธิ์สอบผู้พิพากษา โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นเพราะเหตุแห่งร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ 

ทนายเคนได้ขอรายงานการประชุมของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมในเดือนที่พิจารณาวาระของตัวเขา โดยรายงานระบุว่า ‘ผู้สมัครสอบเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน อนุกรรมการแจ้งว่าผู้สมัครสอบควรตรวจร่างกายและทำความเห็นโดยคณะกรรมการแพทย์ ซึ่งคณะกรรมการแพทย์ทำความเห็นไว้ว่า ผู้สมัครเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง หรือทำกิจวัตรด้วยตนเองได้ และต้องมีคนอุ้มนั่งวีลแชร์หรือต้องมีคนอื่นช่วยเหลือตลอดเวลา จึงเห็นสมควรว่าไม่ให้สิทธิ์สอบ’

ทนายเคนมองว่าการตัดสิทธิ์ในครั้งนี้ค่อนข้างผิดปกติ เพราะในตอนที่ตรวจร่างกายกับคณะกรรมการแพทย์ พวกเขายืนยันเพียงว่าไม่สามารถขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนได้เท่านั้น ไม่มีการพูดคุยถึงร่างกายที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เขาจึงทำหนังสือกลับไปยังคณะกรรมการพิจารณา เพื่อโต้แย้งว่าร่างกายของเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อการทำหน้าที่นักกฎหมาย และทำการโพสต์เรื่องราวลงโซเชียลมีเดีย

15 ตุลาคม 2567 สำนักงานศาลยุติธรรมได้ออกมาชี้แจงและปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเพราะเหตุแห่งร่างกาย แต่เป็นเพราะการขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน เนื่องจากคณะกรรมการแพทย์ลงความเห็นถึงการผสมกันของความคิดระหว่างผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน จึงเห็นสมควรว่าไม่ให้สิทธิ์สอบ

เมื่อได้รับการชี้แจงเช่นนั้น ทนายเคนจึงทำหนังสือกลับไปอีกฉบับเพื่อโต้แย้งเรื่องการขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียน โดยเขายกตัวอย่างการทำงานชั้นศาลว่า เวลาผู้พิพากษาว่าความ สมมติว่าหากทนายถามพยานว่าจำเลยใส่เสื้อสีอะไร เมื่อพยานตอบคำถาม ผู้พิพากษาจะบันทึกเสียงด้วยเครื่องบันทึกเสียง และเสียงนั้นจะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ และถูกพิมพ์ในบันทึก ซึ่งกลไกนี้เกิดขึ้นเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณา หากผู้พิพากษาที่พิจารณาชีวิตของประชาชนสามารถใช้เจ้าหน้าที่ช่วยเขียนได้ หรือการสอบเนติบัณฑิตและการสอบทนายสามารถทำได้ การขอเจ้าหน้าที่เขียนของเขาคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก

“การพิจารณาของศาลสำคัญกว่าการสอบของผมนะ นั่นคือชีวิตของประชาชน ถ้าความคิดของเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ปนไปกับความคิดของผู้พิพากษา กระบวนการยุติธรรมก็เละเทะสิครับ” ทนายเคนเสริม

ในช่วงท้ายของเอกสาร ทนายเคนเขียนไว้ว่า ‘หากกรรมการเห็นว่าการสอบที่มีเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนไม่เหมาะสม ก็ขอให้กรรมการหาวิธีการที่เหมาะสม หรือถ้าไม่มีวิธีการใดที่เหมาะสมเลย ก็ขอให้ผมได้เข้าไปสอบด้วยตัวเอง’ จนวันที่ 12 มีนาคม 2568 หนังสือตอบกลับถูกส่งมาถึงทนายเคน ซึ่งเป็นการตอบกลับเพียงครั้งเดียว ในเอกสารระบุว่า ‘จากหนังสือที่ท่านส่งมา กรรมการพิจารณาแล้วว่าเป็นประเด็นเดิม จึงไม่รับไว้พิจารณา’

ปีนี้ทนายเคนยื่นสมัครสอบผู้พิพากษาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนแบบการสอบครั้ง ที่ผ่านมา แต่เขาขอเพียง ‘โต๊ะที่วีลแชร์สามารถเข้าได้’ เพราะผู้ใช้วีลแชร์ไม่สามารถใช้โต๊ะเลกเชอร์ แบบที่ใช้กันในมหาวิทยาลัยได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือตัดปัญหาเรื่องการขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนไป 

แต่เมื่อถึงวันประกาศรายชื่อ ชื่อศุภวิชญ์ก็ยังไม่ปรากฏในรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ เขาจึงติดต่อสอบถามกลับไปยังเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ซึ่งได้คำตอบห้วน ๆ ว่า ‘เขาไม่ผ่านคุณสมบัติ’ เขาจึงถามย้ำและขอให้ชี้แจงให้ครบถ้วนว่าขาดคุณสมบัติข้อใด ทั้งยังอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังว่าครั้งที่แล้วขอเจ้าหน้าที่ช่วยเขียนไป เมื่อไม่ได้เขาจึงไม่ได้ขอเจ้าหน้าที่เขียนอีก แต่ขอเพียงโต๊ะที่จะอำนวยความสะดวกในการสอบ 

ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงประเด็นกับที่เขาถาม จึงถามเจ้าหน้าที่ไปตรง ๆ ว่าเป็นเพราะ ความพิการของเขารึเปล่า แต่เจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธ และบอกว่าเธอเองก็ยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงเช่นกัน

รัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรมให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสระบุว่า สาเหตุหลักที่นายศุภวิชญ์ไม่มีสิทธิ์สอบผู้พิพากษา คือไม่ผ่านการตรวจร่างกายตามความเห็น ของแพทย์ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 26 (11) ที่ระบุว่าต้องเป็นผู้ผ่านการตรวจทั้งร่างกายและจิตใจโดยคณะกรรมการแพทย์จำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน ซึ่งแพทย์ได้ให้ความเห็นต่อกรณีของนายศุภวิชญ์ตั้งแต่ยื่นคำร้องไปเมื่อปี 2567 ว่ามีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน และการช่วยเหลือตนเอง เช่น การรับประทานอาหาร การเคลื่อนไหว การแต่งตัว การเขียนต้องใช้มือทั้งสองข้าง และลำตัวช่วยประคอง จึงไม่ผ่านการตรวจร่างกายตามความเห็นของคณะกรรมการแพทย์ 

รัฐวิชญ์ยังระบุอีกว่า แม้ในปี 2568 นายศุภวิชญ์จะขอเพียงโต๊ะที่วีลแชร์สามารถเข้าได้ แต่ข้อเท็จจริงเรื่องของสุขภาพก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงใช้ผลการตรวจร่างกายเดิมของปี 2567 ซึ่งเป็นไปตามพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการนอกจากคำแถลงของโฆษก ทนายเคนก็ยังไม่ได้รับการชี้แจงใด ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ทนายเคนเสริมว่า เคยมีกรณีที่ผู้สมัครสอบเป็นผู้ใช้วีลแชร์ถูกปฏิเสธสิทธิ์การสอบโดยอ้างถึงมาตรา 26 (10) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการตุลาการ พ.ศ. 2543 ที่ระบุไว้ว่าไม่เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคที่ระบุไว้ในระเบียบของก.ต. ซึ่งผู้สมัครยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และถูกวินิจฉัยว่ามาตราดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ

การเปลี่ยนมาใช้วงเล็บ 11 ตามพ.ร.บ. ดังกล่าว จึงเป็นเหมือนการบิดพลิ้วของผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม เพื่อใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการกีดกันคนพิการโดยไม่ต้องปะทะกับรัฐธรรมนูญและความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘คนพิการก็ทำงานได้’ 

“สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมนะ เราเป็นนักกฎหมาย เป็นทนายความ เวลาเราไปฟังคำพิพากษา ต่อให้แพ้คดี ศาลก็ต้องวินิจฉัยทุกประเด็นและตรงประเด็น ไม่ใช่ข้ามประเด็นที่เราโต้แย้งไป ซึ่งเราทุกคนก็ยึดหลักนี้มาโดยตลอดในการอภิปรายชี้แจง ถ้าไม่ผ่านเพราะเรื่องร่างกายก็ชี้แจงมาเลย หากสังคมจะรับไม่ได้ก็ให้เป็นเรื่องของสังคม” ทนายเคนบอก

เรียนศาลที่เคารพ(รัก) ศรัทธายังตั้งมั่น ‘สักวันวีลแชร์จะขึ้นบัลลังก์ผู้พิพากษา’

“ใครจะอยากพยายามมาเพื่อเป็นคู่ขัดแย้งกับองค์กรล่ะ” ทนายเคนเอ่ยขึ้น

“ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน แม่ของผมก็เหมือนกับแม่ของท่านทั้งหลายที่อยากให้ลูกเป็นผู้พิพากษา ต่างกันเพียงอย่างเดียวคือ ท่านเดินได้ ผมเดินไม่ได้ แต่ผมก็มาถึงตรงนี้ได้ เพราะศรัทธาและอยากเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม”

ทนายเคนไม่ค่อยแน่ใจนักว่าภาพลักษณ์ที่องค์กรมองเขาเป็นอย่างไร แต่เขายืนยันว่าเขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันที่จะเป็นผู้พิพากษา อ่านหนังสือท่องตำราถึงหัวรุ่ง เฉกเช่นเดียวกับทุกท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ต่างกันเพียงอย่างเดียวคือเขาเกิดมามีร่างกายไม่แข็งแรง

ทนายเคนบอกว่า จริงอยู่ที่เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นไปตามบัญญัติของกฎหมาย และกฎหมายให้อำนาจคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจได้ แต่เขาบอกว่าการใช้ดุลยพินิจนั้นต้องคำนึงถึงหลักการของรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด ที่มอบสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพไม่ว่าผู้นั้นจะร่างกายสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ขณะเดียวกันเราก็ยังดำรงอยู่ในสังคมที่ยึดถือหลักการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งร่างกาย ซึ่งหากองค์กรยุติธรรมไม่อำนวยความยุติธรรมเสียเอง สังคมจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

“ถอยหลังเลยครับ” ทนายเคนตอบคำถามว่าสังคมไทยถอยหลังหรือเดินหน้าในเรื่องคนพิการ เขาอธิบายว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม เขาเชื่อว่าปัจจุบันแทบทุกอาชีพมีคนพิการทำงานอยู่ในนั้น เพราะงั้นถ้าศาลอ้างว่าคนพิการอาจขึ้นบัลลังก์ไม่ได้หรือเดินทางไปว่าความไม่ได้ คนพิการก็คงไม่มีสิทธิ์ทำอาชีพใดเลย

เขาเสริมว่าปัจจุบันมีผู้พิพากษาที่นั่งวีลแชร์อยู่เหมือนกัน แต่เป็นความพิการที่เกิดขึ้นหลังจากผู้พิพากษาท่านนั้นเข้าทำงานแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘สาระของการทำงาน’ สำคัญมากกว่าร่างกาย หากหลักใหญ่ใจความของการเป็นผู้พิพากษาคือมอบความยุติธรรมให้กับประชาชน ไม่ว่าใครที่มีความรู้ความสามารถและมีหัวใจที่ยุติธรรม เขาผู้นั้นก็สามารถเป็นผู้พิพากษาได้

ทนายเคนบอกว่า ในอดีตผู้พิพากษาอาจถือว่าเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์จึงต้องมีความสง่างาม ร่างกายที่แข็งแรงหรือรูปลักษณ์ที่งดงามอาจเป็นภาพแทนของความสง่างามนั้น แต่ในโลกที่พลวัตจนหลายสิ่งถูกตั้งคำถาม ความสง่างามก็ถูกตั้งคำถามเช่นเดียวกันว่า หากบุคคลนั้นมีร่างกายไม่สมบูรณ์จะยังคงสง่างามได้อยู่หรือไม่ ซึ่งสำหรับเขาแล้ว ความสง่างามของการเป็นผู้พิพากษาก็ให้ความยุติธรรมกับชาวบ้านให้ได้ต่างหาก

“มันต้องดูสาระของการทำงาน ถ้าหลักใหญ่คือการตัดสินคดีให้เกิดความยุติธรรมกับประชาชน มีความรู้ความสามารถและหัวใจที่ยุติธรรม จะเป็นก่อนหรือหลังไม่สำคัญ ถ้านั่งแล้วเป็น (ผู้พิพากษา) ได้ ก็คือเป็นได้” ทนายเคนบอก

หลังจากผ่านเรื่องราวมรสุม ทนายเคนมองว่าเส้นทางของผู้พิพากษาของเขายังอยู่อีกไกลมาก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับตีตราไปแล้วว่าถ้าเขาเข้าไปอาจทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ 

เขาอธิบายว่าในแต่ละปีมีผู้สมัครเข้าสอบหลักพันถึงหลักหมื่น ซึ่งบางปีรับเพียงไม่กี่คนหากเทียบกับผู้สมัครทั้งหมด หรือแม้จะสอบผ่านแล้วก็ยังต้องเข้าสถาบันอบรมอีกราว 1 ปี ซึ่งหากหน่วยงานต้องการตรวจสอบคุณสมบัติก็สามารถใช้ช่วงเวลาดังกล่าวอบรมคัดกรองความสามารถ หรือประเมินวัดผลได้ว่าผู้ผ่านสอบมีคุณสมบัติจะเป็นผู้พิพากษาได้หรือไม่ 

ดังนั้น การได้รับสิทธิ์เข้าสอบผู้พิพากษาเป็นเพียงประตูด่านแรก และเป็นด่านสำคัญที่จะชี้ขาดศักยภาพของนักกฎหมาย หาใช่ร่างกายของผู้สมัครว่าสมบูรณ์หรือไม่ ทุกคนกังวลไปถึงวันที่ผมสอบ ผ่านเท่านั้น ซึ่งถ้าผมสอบผ่าน ก็แสดงว่าความรู้ความสามารถของผมเกินมาตรฐานที่วางไว้แล้ว แต่ถ้าผมสอบไม่ผ่านทุกอย่างจบเลยนะ ไม่มีประเด็นอะไรเกิดขึ้น

ทนายเคนจึงมองว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนระเบียบของการสอบผู้พิพากษา เนติบัณฑิต หรือทนายความ เพียงแต่ต้องตรวจสอบดุลยพินิจของคณะกรรมการแพทย์ที่มีอำนาจในการชี้ตกชี้ผ่านผู้ที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ หากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม ก็คงเป็นคำถามสำคัญของสังคมว่า คนพิการเป็นผู้พิพากษาไม่ได้หรือ? และอาจกลายเป็นหลักคิดที่อันตรายของสังคมว่าความพยายามของคนพิการไม่สลักสำคัญในสังคมไทย

ท้ายนี้ เขายืนยันว่าจะยังคงสมัครสอบผู้พิพากษาต่อไป แม้กระบวนการยุติธรรมจะเผยความพิกลพิการของตนเอง เขายังคงศรัทธาในกระบวนการนี้อยู่ และตั้งใจว่าสักวันวีลแชร์ของเขาก็สามารถเข็นขึ้นบัลลังก์ผู้พิพากษาได้เหมือนกัน

“ยังศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมไหม?” ผู้เขียนถาม 

“เพื่อนทนายหลายคนบอกกับผมเหมือนกันว่าให้ยอมเถอะ กลับไปเป็นทนาย ให้ยอมรับว่าความยุติธรรมไม่มีจริง ให้ยอมรับว่าความเท่าเทียมไม่มีจริง แต่มุมหนึ่งถ้าเราหมดหวัง ถ้าคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเชื่อว่าความยุติธรรมไม่มีจริง แล้วชาวบ้านจะหาความยุติธรรมกับใครล่ะครับ”

“อีกมุมหนึ่ง ผมก็ไม่ได้มีความฝันว่าอยากทำงานดี ๆ อะไรหรอก ผมเพียงแค่อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างคนทั่วไป อยากให้มันครบทุกมิติของการเป็นมนุษย์ มีเพื่อน มีครอบครัว มีหน้าที่การงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่อยากให้ร่างกายต้องมาเป็นอุปสรรค” เขาตอบ