ทุนนิยมยุคปลาย นครแห่งความตายที่ไร้ซากศพ - Decode

ทุนนิยมยุคปลาย นครแห่งความตายที่ไร้ซากศพ

Play ReadHuman & Society
Reading Time: 2 minutes

จากยุคอุตสาหกรรมที่เครื่องจักรเข้ามาปฏิวัติระบบการผลิต สินค้ามหาศาลถูกส่งไปแข่งขันในตลาด แรงงานถูกกดขี่ค่าแรงและให้ผลิตปริมาณมากในเวลาอันสั้น 

มนุษย์ออฟฟิศถูกประเมินผลเพื่อกระตุ้นให้ขยายอาณาเขตของศักยภาพแบบไม่หยุดยั้ง ระบบอินเทอร์เน็ตที่ย่นระยะทางการติดต่อสื่อสารให้จำกัดอยู่เพียงระยะขอบจอสี่เหลี่ยม ผลักให้คนทำงานต้องเร่งสปีดเป็นรายวินาที

ทุนนิยมยุคปลายไม่ได้เป็นระบบที่ควบคุมโดยอำนาจภายนอก เช่น รัฐหรือนายทุนอีกต่อไป แต่กลับใช้กลไกทางจิตวิทยาในการโน้มน้าวให้ผู้คนกลายเป็นผู้ใช้ตนเอง มนุษย์ถูกบรรจุในสภาพแวดล้อมให้เป็น ‘ผู้ประกอบการแห่งตนเอง’ กลายเป็นเจ้านายและลูกจ้างของตัวเองในเวลาเดียวกัน  

ผู้คนทุบตีตัวเอง เบิร์นเอาต์เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยขึ้นในศตวรรษที่ 21 ช่วงเวลาที่ทุนนิยมในระบบเศรษฐกิจขยายตัวและผสมพันธุ์กับอุดมการทางการเมืองแบบเสรีนิยมอย่างแนบแน่น ซอมบี้ในสังคมเบิร์นเอาต์แพร่กระจายในหมู่คนทำงานจนยากจะนับ

Playread กับ Capitalism and the Death Drive เขียนโดย Byung-Chul Han ชวนคิดอ่านถึงชีวิตที่ไร้ชีวิต สังคมที่ความเป็นมนุษย์ถูกทำลาย ผู้คนวิ่งแข่งขันไขว่คว้าความสำเร็จจนป่วยไข้ เทียบเคียงจากคำนิยามและทฤษฎีในเล่มสู่นครแห่งความตายในสังคมไทย

Byung-Chul Han เป็นนักปรัชญาและนักทฤษฎีวัฒนธรรมชาวเกาหลีใต้ที่สร้างชื่อเสียงในเยอรมนี งานเขียนของเขาสะท้อนภูมิหลังเส้นทางชีวิตซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับแนวคิดในหนังสือ Capitalism and the Death Drive ประสบการณ์การย้ายถิ่นฐานจากเอเชียไปยุโรป ทำให้เขามองเห็นความต่างของวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นการผลิตและประสิทธิภาพ กับสายตาคนตะวันออกที่ให้ค่ากับความสงบและสมดุล แนวคิดหลังของเล่มนี้จึงพาเรามองสะท้อนผ่านแรงกดดันเรื่องความสำเร็จ และแรงขับสู่ความตาย ที่หนุนหลังระบบทุนนิยม

ภายใต้ทุนนิยม Death Drive หรือ แรงขับสู่ความตาย ไม่ใช่ “ความอยากตาย” แบบตรง ๆ แต่คือแรงผลักที่ทำให้มนุษย์ทำซ้ำวนไปอย่างไม่รู้จบ จนกลายเป็นการทำลายทั้งตัวเองและสิ่งแวดล้อม ทฤษฎี Death Drive ของ Freud ถูกอ้างอิงเป็นแกนหลักของเล่ม แรงขับสู่ความตายเป็นแรงผลักสำคัญของทุนนิยมในยุคนี้ มันเติบโตจนกลายเป็นมะเร็งร้าย

พนักงานออฟฟิศไทยจำนวนมากทำโอที ทำงานเสาร์อาทิตย์ รับงานเสริม รู้ทั้งรู้ว่าจะเจ็บป่วยหมดแรง ไม่ใช่เพราะอยากรวยอย่างเดียว แต่เพราะสังคมและตัวเองเชื่อว่า “ต้องทำต่อ ต้องมีมากกว่านี้” บ่อยครั้งที่ผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบเบิร์นเอาต์, สุขภาพเสีย, คุณภาพชีวิตแย่ 

คนไทยจำนวนมากรูดบัตรก่อนแม้รายได้ไม่พอ ซื้อโทรศัพท์ รถ กระเป๋าแบรนด์เนมเพื่อภาพลักษณ์ ก่อหนี้แล้ววนกลับมาทำงานเพิ่ม จากนั้นก็เบิร์นเอาต์

ทุกครั้งที่มีดราม่า เกิดการแชร์วิจารณ์ซ้ำไปเรื่อย ๆ ทั้งที่หลายคนรู้ว่า toxic การเสพหรือแชร์ดราม่าไม่ก่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่แท้จริง แต่สร้างความเกลียดชังแบ่งขั้วลึกลง ยอดแชร์กลายเป็นทุน แต่ทุนนี้ขับเคลื่อนด้วย Death Drive เพราะยิ่ง “พัง” ยิ่งดัง

เมืองไทยเจอปัญหา PM2.5, ขยะพลาสติก, เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ต้องแลกด้วยการสูญเสียฐานทรัพยากร, เมืองขยายคอนโดและห้างใหม่ ๆ ผุดขึ้นตลอด ฯลฯ แม้รู้ว่าเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่การเติบโตเท่ากับต้องทำต่อ จนที่สุดเกิดการพัฒนาเชิงทุนนิยมที่ไม่รู้จักพอ เกิด Death Drive ระดับโครงสร้าง และการผลิตซ้ำไม่หยุด ผลิตเกินจำเป็นส่งผลให้ทั้งระบบนิเวศพัง

คนโพสต์รูปทำงานดึก #สายสู้ #ทีมไม่หลับไม่นอน 

คือการทำลายตนเองที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องน่ายกย่อง

ในสังคมไทยค่านิยมขยันเท่ากับคนดี อยู่ดึกเท่ากับทุ่มเท  ฝังรากในวัฒนธรรมองค์กรและสังคมไทย มันเหมือนกับคาถาสะกดที่ผลักให้เราใช้ร่างกายและจิตใจจนเกินขีดจำกัด แต่หากมองผ่านงานเขียนเล่มนี้ของ Byung-Chul Han ชัดเลยว่าการทำงานไม่หยุดไม่ใช่เรื่องของ “ความทุ่มเท” อีกต่อไปมันคือวัฒนธรรมของการทำร้ายตัวเองแบบเต็มใจ

Byung-Chul Han เรียกสังคมแบบนี้ว่า The Burnout Society

สังคมที่เราไม่ได้ถูกกดด้วยคำสั่งห้ามอีกต่อไป แต่ถูกปลุกเร้าให้ “ทำได้อีก” “ทำไปต่อได้” จนเรากลายเป็นเจ้านายของตัวเอง ทำงานจนหัวร้อน แต่ยังบอกตัวเองว่า “ต้องสู้ต่อ” ผลลัพธ์คือความเหนื่อยล้าสะสม ว่างเปล่า และโรคซึมเศร้าที่แทรกซึมอยู่เงียบ ๆ ในที่ทำงาน

‘ความกดดันเรื่องความสำเร็จสร้างความกดดันทางจิตวิทยาที่พาให้จิตใจของเรามอดไหม้ แม้ว่ากองงานที่เราแบกไว้จะมีไม่มากก็ตาม อาการหมดไฟคือความป่วยไข้ที่ไม่ได้เกิดจากงาน แต่เกิดจากความกดดันในความสำเร็จ จิตใจของเรามีได้ทนทุกข์เพราะการทำงาน แต่เพราะความสำเร็จซึ่งเป็นกฎเหล็กใหม่ของเสรีนิยมใหม่’

เขามองว่า ความสำเร็จคือค่านิยมที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้นเพื่อจูงใจ โดยมีแรงขับสู่ความตายเป็นตัวขับเคลื่อน เคลื่อนให้เราทำงานซ้ำไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันทำลายสุขภาพ ทำลายความสัมพันธ์ และบางครั้งก็ทำลายอนาคต แต่เราก็ยังทำ! เพราะระบบทุนนิยมสอนเราว่า หยุดไม่ได้ กลายเป็นวงจรทำร้ายตัวเองในนามของความสำเร็จ

ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่ทำงานชั่วโมงสูงในเอเชีย โดยเฉลี่ย 42–50 ชม. / สัปดาห์ และบางกลุ่มทำเกิน 60 ชม. 

ดูเหมือนทุนนิยมทำให้พนักงานบริษัททำโอทีทุกวัน แม้ร่างกายพังแต่ยังบอกตัวเองว่า “อีกนิดจะได้เลื่อนตำแหน่ง” สาระสำคัญไม่ใช่เพราะอยากรวยอย่างเดียว แต่เพราะระบบผลักให้เราต้องพัฒนาตัวเองตลอด

ตื่นเช้า–ทำงาน–กลับบ้าน–พักผ่อนไม่พอ–วนลูป 

สวัสดี ซอมบี้ที่มีลมหายใจ ความตายไม่ได้หมายถึงซากศพที่เน่าเหม็นอีกต่อไป แต่ปัจจุบันมันหมายถึงจักรกลที่สะอาดและใหม่เอี่ยมในตลาดแรงงาน

พื้นฐานของระบบทุนนิยมแบ่งแยกชีวิตและความตายออกจากกัน

นำไปสู่ชีวิตที่ดำเนินไปราวกับซอมบี้หรือชีวิตที่ตายทั้งเป็น 

ระบบทุนนิยมสร้างแรงขับแห่งความตายที่ขัดแย้งในตัวเอง 

ซึ่งพรากชีวิตไปจากสิ่งมีชีวิต ชีวิตที่ปราศจากความตายเป็นชีวิตที่ตายซ้ำ

ซอมบี้บ้างาน

ซอมบี้บ้าชื่อเสียง

ซอมบี้บนลู่วิ่ง

ซอมบี้โบท็อกซ์

ซอมบี้บ้าแฟชั่น

คุณเป็นซอมบี้แบบไหน? 

ความเร่งรีบ รวบรัด กลายเป็นธรรมชาติของผู้คนในยุคดิจิทัล ภายใต้ลัทธิข้อมูลที่เรากำลังก้มหัวให้ 

Byung-Chul Han วิพากษ์ว่าความอีโรติกในโรงละครเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงความโป๊เปือยโฉ่งฉ่างของความสัมพันธ์ บทสนทนาของผู้คนยุคนี้มีสไตล์สั้นกระชับ ไร้อารมณ์ร่วม ความเห็นอกเห็นใจที่ควรต้องอยู่ในระดับพื้นฐาน

นักอีโรติกหลงใหลในระยะห่างทางทัศนียภาพ ไม่โจ่งแจ้ง แทนที่จะนำเสนอสิ่งต่าง ๆ อย่างเปิดเผยก็มักหยิบยกบางชิ้นส่วนมาสื่อสาร แน่นอนเต็มไปด้วยความเย้ายวนลึกซึ้ง ซึ่งต้องใช้เวลาในการเสพความสุนทรีย์ เวลาในแบบที่ผู้คนจำนวนมากในคุกดิจิทัลของไม่ให้ค่า

แม้แต่ในบทสนทนาของความรักก็ไม่ปรากฏความอีโรติก ความรักยุคนี้ความสัมพันธ์ของคนในยุคปลายของทุนนิยม สะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่ต้องรอ แต่เปราะบาง ผู้คนสนทนาเริ่มต้นสานความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ เพียงไม่ชั่วโมงก็มีใจให้กันได้เรียกอีกฝ่ายว่าคนรักได้ และบ่อยครั้งที่จบลงหลังประเมินสถานะทางการเงินของอีกฝ่ายเท่านั้น

เวลาอันเร่งรีบทำให้คนดูอะไรสั้นลง คลิปสั้นขายดี กดคูณสปีดความเร็วคือฟังก์ชันที่คนนิยมใช้เพื่อให้เสพข้อมูลได้ไวและมากขึ้น การรุกฆาตของระบบดิจิทัลทำให้เรามีความอดทนในการรอที่น้อยลง หรืออาจถึงขั้นรอไม่เป็น

สังคมข้อมูลกำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า โรคเหนื่อยล้าจากข้อมูล หนึ่งในอาการของโรคนี้คือการทำให้ทักษะการคิดวิเคราะห์ของเราหยุดชะงัก เมื่อถูกข้อมูลถาโถมเราอาจจะแยกแยะไม่ออกว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ การคำนวณด้วยปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่การคิด และมันส่งผลให้เราขาดความสามารถในการรับผิดชอบด้วย

ทุนนิยมยุคปลายสำแดงฤทธิ์ว่ามันพรากชีวิตชีวาไปจากคนจำนวนมาก 

แม้ความจริงที่เราต่างเผชิญคือการถูกทำให้ตายซ้ำ ๆ โดยที่ยังไม่แน่ว่าโลกอนาคตหลังยุคทุนนิยมยุคปลายจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน อาจเป็นยุคหนีตายจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม หรืออาจเป็นยุคทุนนิยมดิจิทัลที่เสรีภาพและข้อมูลของผู้คนถูกนำไปใช้มูลค่าฐานเศรษฐกิจ 

แต่สิ่งที่ชัดเจนในปัจจุบันคือการต่อต้านความตายไม่ทำให้ทุนนิยมสั่นคลอน มีแค่เพียงการปฏิวัติชีวิตรูปแบบใหม่เท่านั้นที่จะทำให้ทุนนิยมอ่อนแอและหวั่นไหว 

สร้างพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ต้องนับชั่วโมง 

พื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ต้องแปลงเป็นโพสต์หรือสตอรี่ 

อาจเป็นการต่อต้านเล็ก ๆ ที่ทำให้เรากลับมาเป็นมนุษย์

ไม่ใช่แค่ “เครื่องจักรที่ทำงานจนตาย”

‘เสรีภาพเป็นคู่ตรงข้ามของการบังคับ ถ้าคุณรับรู้การบังคับที่คุณเผชิญอยู่และไม่รู้สึกตัวว่ามันคือการบังคับ นั่นคือจุดจบเสรีภาพ นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังเผชิญวิกฤติ’

Byung-Chul Han ในบทสุดท้ายของเล่ม – ผมขอโทษนะแต่นี่คือความจริง

เรื่อง : วิภาพร วัฒนวิทย์

ภาพ : จันจิรา ทาใบยา

Playread : Capitalism and the Death Drive ทุนนิยมฝันสลาย กับชีวิตที่ตายทั้งเป็น 
ผู้เขียน : Byung-Chul Han
ผู้แปล : วริษา สุขกำเนิด และณปกรณ์ ภูธรรมะ
สำนักพิมพ์ : สำนักนิสิตสามย่าน

PlayRead : คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี