ทำไมกระทรวงสาธารณสุขควรทบทวนกรณีหมอสุภัทร - Decode

ทำไมกระทรวงสาธารณสุขควรทบทวนกรณีหมอสุภัทร

Justice
Reading Time: 3 minutes

ชาวบ้าน ชาวช่อง

รศ. ดร. บุญเลิศ วิเศษปรีชา

สังคมไทยเผชิญกับการทดสอบครั้งสำคัญว่า จะนิ่งเฉยต่อกรณีที่มีข่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนภายในกระทรวงสาธารณสุข มีมติให้ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย และอีกฐานะหนึ่งคือเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท ออกจากราชการจากความผิดในการจัดซื้อ ATK ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนักในปี 2564 หรือความรู้สึกรักความเป็นธรรมและยอมไม่ได้ที่เห็นคนทำประโยชน์ให้สังคมส่วนรวม แต่กลับถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม จะกลายเป็นพลังและกระแสกดดันให้กระทรวงสาธารณสุขต้องทบทวนมติดังกล่าว 

เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากเราทักท้วงไม่สำเร็จจะเป็นตัวอย่างว่า แม้แต่ข้าราชการที่สังคมเห็นประจักษ์ชัดว่า ไม่ได้ทำเฉพาะงานประจำ หากแต่ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ยังถูกสอบสวนด้วยกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมและให้ออกจากราชการได้ง่าย ๆ 

อนาคตก็ย่อมไม่มีข้าราชการคนไหน จะทำงานนอกเหนือขอบเขตหน้าที่แคบ ๆ ของตัวเอง เพราะเกรงว่า หากทำมากไปก็จะกลายเป็นโทษต่อตัวเอง 

กระบวนการสอบสวนที่ไม่ชัดเจน : ที่มาของความสงสัย  

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า ข้อมูลและความสงสัยต่อกรณีนี้ เป็นข้อมูลที่มาจากด้านคุณหมอสุภัทรเป็นหลัก เพราะกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจน แม้แต่คำตอบกระทู้ในสภาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. สาธารณสุข ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก นอกจากกล่าวรวม ๆ ว่า ผลการสอบสวนยังเป็นความลับ 

ในส่วนของผู้เขียนนอกจากติดตามข่าวสาร และได้อ่านเอกสารสรุปคำชี้แจงข้อกล่าวของนายแพทย์สุภัทรแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังหมอสุภัทรตอบข้อซักถาม จากการได้ไปร่วมเวทีอภิปรายที่จัดขึ้นที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงขออธิบายความให้สังคมได้เข้าใจ

ผมคิดว่า ก่อนที่จะลงรายละเอียดว่า ข้อกล่าวหาที่มีต่อนายแพทย์สุภัทร สมควรแก่เหตุหรือไม่ เหตุที่ชวนเคลือบแคลงประการแรกก็คือ กระบวนการสอบสวนที่ดูจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา กล่าวคือ นายแพทย์สุภัทร ได้รับแจ้งข้อกล่าวหาและถูกกระทรวงตั้งคณะกรรมการสอบสวนในปี 2566 คือเมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อทราบเรื่องนายแพทย์สุภัทร ก็ทำเอกสารชี้แจง พร้อมหลักฐานประกอบรวมประมาณ 80 หน้า หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป ไม่มีจดหมายแจ้งความคืบหน้าว่า เรื่องยุติลงหรือไม่ อย่างไร 

ด้วยสถานะที่ไม่แน่นอนว่า ข้อร้องเรียนไปถึงไหน นายแพทย์สุภัทร จึงทำเอกสารสรุปข้อชี้แจงส่งให้คณะกรรมการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ปีนี้ ก็ไม่ได้รับการสื่อสารจากคณะกรรมการ กระทั่งวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา หมอสุภัทร จึงรับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่า คณะกรรมการมีมติให้ออกราชการ 

ข้อเท็จจริงที่ว่า นายแพทย์สุภัทร ไม่เคยถูกเชิญไปอธิบายหักล้างข้อกล่าวหา มีแต่เพียงชี้แจงทางเอกสารเท่านั้น สำหรับข้อกล่าวหาและโทษที่ร้ายแรง คือให้ออกจากราชการนั้น แสดงให้เห็นว่า กระบวนการไม่ได้รับฟังคำอธิบายจากผู้ถูกกล่าวหาอย่างเพียงพอ 

ผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นกรณีของนายแพทย์สุภัทร ต่อให้เป็นข้าราชการคนอื่น ๆ ที่ถูกให้ออกจากราชการโดยไม่มีโอกาสไปนั่งอธิบายให้คณะกรรมการสอบสวนฟัง เราก็ย่อมตั้งข้อสงสัยได้ว่า กระบวนการรวบรัดตัดความเกินไป

การไม่แสวงหาข้อมูลเพิ่ม : ยิ่งเพิ่มความสงสัย 

จนถึงตอนนี้ ประเด็นที่คาดว่าเป็นที่มาของการให้ออกจากราชการ คือเรื่องการจัดซื้อ ATK ในช่วงโควิดกลางปี 2564 ซึ่งแบ่งเป็นสองประเด็นย่อย คือ 1) การจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่ด้วยการประกวดราคา 2) การแบ่งซื้อ ATK เป็นงวด ๆ แทนที่จะซื้อทีเดียว   

หนึ่ง เรื่องการจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจง คือเรียกผู้จำหน่าย จัดหา ATK รายเดียวมาต่อรองราคา ไม่ได้ทำใบประกาศแล้วให้ยื่นซองประมูล ซึ่งตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้าง ฯ พ.ศ. 2560 สามารถทำได้เฉพาะกรณีวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท หากแต่ในช่วงการระบาดของโควิด คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง กรมบัญชีกลางจึงได้ออกจดหมาย ที่เรียกกันว่าเอกสาร “ว 115” ลงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563 เนื้อหาสำคัญคือในสถานการณ์เร่งด่วนการใช้วิธีการประกาศเชิญชวนหรือวิธีคัดเลือก “อาจก่อให้เกิดความล่าช้าและอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง” จึงอนุญาตให้ใช้วิธีการจัดซื้อด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงได้  

จากเอกสาร ว 115 นายแพทย์สุภัทร จึงจัดซื้อ ATK โดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบ เพราะมีการปลดล็อกให้ด้วยการเชิญผู้จำหน่ายมาต่อรองราคา โดยเทียบเคียงราคาในท้องตลาดได้ว่า ขายกันเท่าไหร่ และต่อรองให้ต่ำลง รวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ต้องสามารถจัดหา ATK จำนวนมากให้ทันที ไม่ใช่รับคำสั่งซื้อแต่ส่งของให้ไม่ได้ และให้เครดิตคือ สามารถชำระเงินภายหลังภายใน 180 วัน ไม่ต้องชำระเงินทันที 

สอง เรื่องการจัดซื้อเป็นงวด ๆ กล่าวโดยทั่วไป ระเบียบราชการห้ามการแบ่งซื้อเป็นงวด ๆ เพราะส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ โดยการทำโครงการย่อย ๆ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถมีอำนาจสั่งซื้อ โดยหลีกเลี่ยงขั้นตอนที่ต้องมีมากขึ้นหากจัดซื้อจัดจ้างที่ใช้งบประมาณมาก แต่การจัดซื้อ ATK ในบริบทของการแพร่ระบาดของโควิด–19 มิได้เป็นเช่นนั้น 

การจัดซื้อ ATK โดยนายแพทย์สุภัทร เป็นการจัดซื้อ เพื่อปฏิบัติการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” เพื่อช่วยการจำกัดการแพร่ระบาดของโควิดในกรุงเทพฯ ไม่ใช่การจัดซื้อเพื่อใช้ในโรงพยาบาล จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะต้องใช้ ATK มากน้อยขนาดไหน จึงจัดซื้อเป็นครั้ง ๆ ตามความจำเป็น 

หากยังจำกันได้ย้อนกลับไปช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 สถานการณ์โควิดในกรุงเทพฯ วิกฤติมาก จากสายพันธ์เดลต้าที่เผยแพร่เร็ว ลงปอดเร็ว มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมาก ทั้งโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม จนถึง hospital ต่างรับผู้ติดเชื้อจนรับไม่ไหวแล้ว ตลอดจนข้อกำหนดที่ว่า ที่ไหนตรวจพบคนติดเชื้อ ที่นั่นต้องรับรักษา เมื่อโรงพยาบาลไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม ก็ไม่รับตรวจรายใหม่ ทำให้คนติดเชื้อ ไม่ได้รับการตรวจ เกิดการแพร่ขยายต่อไปเป็นทวีคูณ เพื่อจะขจัดวงจรนี้ สปสช. จึงเป็นเจ้าภาพเชิญคณะแพทย์จากต่างจังหวัดที่สถานการณ์ไม่หนักเข้ามาช่วยตรวจคนในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านชุมชนแออัดที่มีคนอยู่อย่างหนาแน่น เพื่อให้คนที่ติดเชื้อถูกแยกตัวออกมาเร็ว นอกจากจะไม่แพร่เชื้อต่อแล้วและยังมีโอกาสหาย ไม่ต้องเสี่ยงเสียชีวิต 

นายแพทย์สุภัทร ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ สั่งซื้อ ATK รวม 5 ล็อต แบ่งเป็น ซื้อครั้งที่ 1 และ 2 ในคราวแพทย์ชนบทบุกกรุง ครั้งที่ 1 (วันที่ 14-16 ก.ค. 2564) และ ครั้งที่ 2 (วันที่ 21-23 ก.ค. 2564) ครั้งละล็อต ซึ่งก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก มาแต่ละครั้งก็สั่งซื้อทีละล็อต เพราะไม่ทราบว่า จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามอีกหรือไม่ ต่อมาในคราวแพทย์ชนบทบุกกรุงครั้งที่ 3 คุณหมอ สั่งซื้อ 3 ครั้ง ตรงนี้คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่สั่งซื้อทีเดียว

คำอธิบายก็คือ “การบุกกรุง” ครั้งที่ 3 มากันเป็นคณะใหญ่ต่างจากสองครั้งแรก เนื่องจากเห็นแล้วว่า การเข้ามาตรวจช่วยแยกคนติดเชื้อออกมาได้เร็ว การจำกัดวงมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์จริต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขณะนั้นเป็นผู้ออกจดหมายเชิญด้วยตนเอง จึงมีโรงพยาบาลมาร่วมถึง 41 โรงพยาบาล และระยะเวลาปฏิบัติการก็นานขึ้น จากสองครั้งแรกเพียง 3 วัน แต่การบุกกรุงครั้งที่ 3 ใช้เวลา 7 วัน (4-10 ส.ค. 2564) อีกทั้ง บางโรงพยาบาลที่นำบุคลากรมาช่วยตรวจ แต่ไม่ได้มี ATK ทีมกลางของแพทย์ชนบท ซึ่งมีนายแพทย์สุภัทร เป็นคนหลัก จึงสั่งซื้อ ATK มาเติม พอซื้อครั้งที่สี่ ก็ยังไม่พออีก จึงสั่งซื้อครั้งที่ 5 

การที่แพทย์ชนบทคาดการณ์จำนวนผู้ที่จะมารับการตรวจได้ยาก เพราะยืนอยู่บนหลักว่าการควบคุมแพร่ระบาดคือ ตรวจเร็วที่สุด ตรวจให้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกมา ดังนั้นผู้ที่มาต่อคิวรับการตรวจทุกคนต้องได้รับการตรวจ ไม่จำกัดโควตาในแต่ละวัน และแบ่งแยกแรงงานข้ามชาติด้วย จึงทำให้การคาดการณ์ได้ยาก 

ช่วงนั้นผมเองทำงานวิจัยเชิงปฏิบัติการใกล้ชิดกับชุมชน เห็นคณะแพทย์ชนบทลงไปจัดตั้งหน่วยตรวจในชุมชน แต่ในการตรวจจริง จะมีคนจากนอกชุมชนบางครั้งไม่ได้อยู่ในละแวกใกล้เคียงด้วยซ้ำ มารับการตรวจ เพราะพวกเขาไม่สามารถไปรับการตรวจที่ไหนได้ จึงต้องมาใช้บริการที่นี่ ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับการตรวจ และไปแพร่เชื้อต่อ อาจจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ 

ถ้าคำอธิบายเช่นนี้ ยังไม่พอ ผมอยากชวนดูรายละเอียดว่า คุณหมอซื้อ ATK ราคาเท่าไหร่ ราชการเสียหายจริงหรือไม่ ข้อมูลขณะนั้น กรมการค้าภายในระบุ ราคาแนะนำ สำหรับ ATK ที่มีคุณภาพทางการแพทย์ ราคา ชิ้นละ 350 บาท ส่วน สปสช. ซึ่งจะเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายการตรวจด้วย ATK ให้กับแพทย์ชนบท กำหนดค่าตรวจต่อหัว หัวละ 450 บาท แต่นายแพทย์สุภัทรต่อรองราคาและสั่งซื้อ ATK ได้ในราคาชิ้นละ 230 บาท ถูกกว่าราคาแนะนำ 

เมื่อ สปสช. จ่ายเงินค่าตรวจคืนให้ รพ.จะนะ ต้นสังกัดของนายแพทย์สุภัทร ทำให้โรงพยาบาล จะนะ มี “รายได้” เข้าโรงพยาบาลมากกว่าต้นทุนที่ใช้ไปเสียอีก ถามว่า ทำให้ราชการเสียหายตรงไหน 

อีกวิธีการหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่า นายแพทย์สุภัทร สั่งซื้อ ATK แพงผิดปกติหรือไม่ ด้วยการเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่จัดซื้อ ATK ในห้วงเวลาเดียวกัน สเปกเดียวกัน ว่า ราคาเท่าไหร่ ก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อีกทางหนึ่ง

Screenshot

ประเด็นหลังนี้ รมว. สมศักดิ์ ตอบในสภาฯ ว่า เนื่องจากกรณีอื่น ไม่มีผู้ร้องเรียนจึงยังไม่ได้ตรวจสอบ ต่างจากกรณีหมอสุภัทรที่มีผู้ร้องเรียน ผมคิดว่า เป็นการตีความไปกันคนละทาง เจตนาของการให้ไปแสวงหาข้อมูลที่อื่นประกอบ ไม่ใช่เพื่อจะกล่าวโทษโรงพยาบาลอื่น ๆ แต่เพื่อจะได้ใช้วิจารณญาณได้ถี่ถ้วนขึ้น โดยไม่สองมาตรฐานว่า นายแพทย์สุภัทร สั่งซื้อในราคาสูงผิดปกติหรือไม่ ทำให้ราชการเสียหายหรือไม่ หรือนายแพทย์สุภัทร สั่งซื้อ ATK ในปริมาณและราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว  

ตรงกันข้าม หากคณะกรรมการ ไม่ไปสอบราคาการจัดซื้อที่อื่น แล้วลงโทษหมอสุภัทรว่าผิด แต่ภายหลังพบว่า ที่อื่นก็ทำแบบเดียวกัน หรือซื้อแพงกว่าแต่ไม่ผิด จะเรียกคืนสิทธิและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหมอสุภัทร อย่างไร 

การทบทวนการให้ออกจากราชการ

จากคำอธิบายสองประเด็นหลักข้างต้น ผมคิดว่า น่าจะมีน้ำหนัก ให้ รมว. สมศักดิ์ เทพสุทิน มีคำสั่งให้ทบทวน คำสั่งที่ให้หมอสุภัทรออกจากราชการ อาจให้เวลาไปสอบเพิ่มเติม ไปหาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน จึงจะเป็นธรรมกว่า ผมยังหวังว่า รมว. สมศักดิ์ และรัฐบาลจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และสังคมจะช่วยกันติดตาม ไม่ให้หมอสุภัทร เป็นเหยื่อตามลำพัง 

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักว่า นายแพทย์ สุภัทร มีอภิสิทธิ์ ไม่ต้องถูกตรวจสอบแต่อย่างใด คุณหมอเองก็บอกว่า ตัวเองเป็นข้าราชการรับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ก็สามารถถูกตรวจสอบได้ แต่ขอให้การตรวจสอบเป็นไปด้วยความเป็นธรรม

นี่ไม่ใช่คำขอที่มากเกินไป หากแต่เป็นแค่คำขอขั้นพื้นฐานของข้าราชการคนหนึ่งที่พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง