ชาตินิยมล้นเกิน หรือเพราะสื่อกระพือความขัดแย้ง - Decode

ชาตินิยมล้นเกิน หรือเพราะสื่อกระพือความขัดแย้ง

JournalismFuturism
Reading Time: 2 minutes

ขยายประเด็น

นวลน้อย ธรรมเสถียร

ดูเหมือนกระแสวิพากษ์พฤติกรรมสื่อประเด็นปัญหาไทยกับกัมพูชายังคงปรากฏให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ มีคำพูดมากมายแต่สรุปได้แบบสั้น ๆ ว่า สื่อกำลังช่วยกระพือความขัดแย้ง หรือกระแสชาตินิยมจนล้นเกินใช่หรือไม่

ในวันนี้เราเห็นสื่อรายงานข่าวเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่และทิศทางนั้นคือทิศทางเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกวิจารณ์ไปไม่น้อยแต่ท่วงทำนองของรายงานส่วนใหญ่ยังคงเหมือน ๆ เดิม ผู้เขียนยกตัวอย่างว่าล่าสุดที่เห็นนำเสนอติด ๆ กันหลายข่าวมาจากสื่อใหญ่รายหนึ่งที่ถึงกับใช้ท่วงทำนองกระแนะกระแหนกัมพูชาและคนเขมร มีผู้ประกาศข่าวบางรายแสดงความเห็นส่วนตัวได้อย่างไม่ต้องมีเพดาน เราได้เห็นสิ่งที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำเสนอหลายเรื่องทะยอยไปอยู่ในหน้าสื่อหลักทั้ง ๆ ที่บางเรื่องแทบไม่มีคุณค่าข่าวเลยถ้าไม่นับเรื่องการเรียกยอดวิวหรือไลก์ จริงอยู่สื่อบางสำนักรายงานข่าวอย่างระมัดระวังและพยายามเสนอหลายแง่มุม แต่ความพยายามนี้เทียบไม่ได้กับภาพรวมที่ออกมา 

จะว่าไปแล้วในการอ่านข่าวเรื่องนี้ ผู้เขียนพบว่าปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ว่า สื่อนำเสนออะไรแค่นั้น แต่มันรวมไปถึงปัญหาว่าสื่อได้นำเสนอสิ่งอื่น ๆ ที่ควรนำเสนอหรือไม่ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหลายอย่างขาดหายไปและเราในฐานะผู้เสพข่าวสารยังได้เสพเฉพาะข้อมูลเพียงบางด้าน ขณะที่โลกโซเชียลเต็มไปด้วยข้อมูลที่มีทั้งเท็จผสมจริง ข้อมูลที่ไม่มีที่มาที่ไปและแถมด้วยการนำเสนอที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าผู้ติดตามปัญหานี้มีทางเลือกไม่มากนัก ดังนั้นคำถามสำคัญควรจะอยู่ที่ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้เราคาดหวังอะไรได้อีกจากสื่อ 

คำถามเรื่องบทบาทของสื่อในความขัดแย้งนั้น อันที่จริงมีมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง เช่นกรณีปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีงานเขียนที่ตั้งคำถามกับสื่ออย่างมากมายในช่วงยี่สิบกว่าปีมานี้ ผู้เขียนจำได้ว่าในช่วงหนึ่งเราพูดกันถึงความพยายามผลักดันสื่อให้เลิกใช้ถ้อยคำภาษาที่จะนำไปสู่การด้อยค่าคนทั้งกลุ่มอย่างเช่นคำว่า “โจรใต้” แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปัจจุบันสังคมไทยอยู่กับความขัดแย้งนี้มากว่ายี่สิบปี ผู้คนในสังคมจำนวนมากเชื่อว่าตนเองเข้าใจปัญหาแต่เมื่อไปถามเข้าจริง ๆ จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจอะไรเลย กลายเป็นสภาพอาการชาล้นถ้วย ในขณะที่คนในพื้นที่เรียกหากระบวนการสันติภาพ แต่คนนอกพื้นที่จำนวนไม่น้อยสนับสนุนให้ใช้กำลังจัดการปัญหา ลำพังช่องว่างอันนี้ก็ยากแล้วเพราะทำให้พลังทางการเมืองที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการเมืองนั้นแผ่วหวิว แน่นอนว่าเราไม่อาจโทษสื่อกับปัญหาความไม่เข้าใจของสังคมได้อย่างเต็มที่ แต่เรื่องของการสื่อสารปัญหาความขัดแย้งนี้ก็ต้องนับว่า มีช่องว่างอย่างมาก เรื่องสามจังหวัดใต้เป็นตัวอย่างว่าปัญหาสำคัญในเวลานี้ไม่ได้อยู่แค่เรื่องที่ว่าสื่อทำอะไร แต่อยู่ที่ “ไม่ได้ทำอะไร” ด้วยดังกล่าว 

ถ้าจะพูดเรื่องอิทธิพลของสื่อ ในกรณีความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งถ้าเราไม่พูดถึงสมัยกปปส.หรือเรื่องเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ก็มีเหตุการณ์ในอดีตที่กำลังจะเวียนมาครบรอบให้จัดงานรำลึกกันได้อีกในเวลาไม่นานนัก ก็คือเหตุการณ์สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุการณ์ที่ฝากภาพจำที่แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ไปแล้ว นั่นก็คือ ภาพผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยืนรายล้อมด้วยท่าทางสมใจกับการได้เห็นการทำร้ายคนตายที่สนามหลวง จนถึงเวลานี้เรารู้ชัดว่าการรวมตัวของประชาชนหนนั้นสื่อมีส่วนอย่างสำคัญในฐานะที่ช่วยสร้างความเกลียดชัง ในครั้งนั้นสื่อช่วยสร้างภาพว่าผู้คนที่ชุมนุมในเหตุการณ์เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้คิดร้ายต่อชาติ และจำนวนหนึ่งเป็นต่างชาติ ปลุกกระแสการใช้ความรุนแรงกำจัดคนเหล่านั้นและลงเอยด้วยความทารุณโหดร้าย เหตุการณ์นี้ทิ้งข้อสรุปไว้ชัดว่า สื่อเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังได้และในวงกว้างด้วย 

มีตัวอย่างที่น่าสนใจจากกรณีสหรัฐฯ ในวันนี้ชาวอเมริกันกำลังถกกันอย่างดุเดือดเรื่องเสรีภาพในการสื่อสารจากเหตุการณ์ล่าสุดคือการที่เอบีซี (American Broadcasting Company) สั่งถอด จิมมี่ คิมเมลกับรายการทีวีของเขาออกจากการออกอากาศ ผู้ที่ต้องการให้ปลดอ้างว่าเขาล้อเลียนความตายของชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองปีกขวาที่ถูกลอบสังหารเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข้อถกเถียงกันมากมายว่าเขาล้อเลียนจริงหรือไม่ และมีรายงานว่าอันที่จริงในบรรดาผู้บริหารต้นสังกัดคิมเมลรู้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการล้ำเส้นแต่ว่าที่ปลดรายการออกก็เพราะกลัวผลกระทบจากฝ่ายการเมือง คือค่ายประธานาธิบดีทรัมป์ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากกลุ่มสุดโต่งทางการเมืองที่ต้องการให้เล่นงานทุกคนที่เอ่ยถึงชาร์ลี เคิร์กในทางที่พวกเขาไม่ต้องการ ที่น่าสนใจคือคำพูดของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีที่กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า บรรยากาศการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เวลานี้มาจากการผลักประเทศไปสู่ภาวะสุดโต่งทางการเมืองที่ทำให้ผู้คนจงเกลียดจงชังกัน โอบามาชี้ว่าความคิดสุดโต่งนั้นอันที่จริงมีอยู่ทั่วไปเป็นเรื่องห้ามกันยาก แต่ที่มันกลายเป็นกระแสหลัก เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทางการเมือง  

สำหรับผู้ที่สนใจความขัดแย้ง มีความเห็นของโอบามาที่ชี้ว่าสัญญานอันตรายของความรุนแรงเริ่มจากการด้อยค่าความเป็นมนุษย์กลุ่มคนที่เห็นต่างโดยยกตัวอย่างการเข่นฆ่ากันในตะวันออกกลางซึ่งเป็นการกระทำอย่างโหดร้ายว่ามีฐานความคิดอันนี้ที่สนับสนุน ความรุนแรงและความทารุณโหดร้ายที่กระทำต่อกันนั้นเริ่มต้นจากการด้อยค่ากันและมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู ไม่ใช่คน ขณะที่เห็นว่าตนนั้นเป็นกลุ่มคนที่เหนือกว่า  ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความคิดว่าตนมีความชอบธรรมที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้ และสิ่งที่สนับสนุนให้แนวคิดแบบนี้กลายเป็นกระแสหลักคือ การสนับสนุน หรือการยอมรับจากผู้มีอำนาจทางการเมืองที่มีค่าเท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้สมาชิกในสังคมนั้น ๆ ทำตาม 

สำหรับผู้เขียน สัญญานที่สำคัญคือ การครอบงำสังคมให้คิดและแสดงออกไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่สามารถตั้งคำถามหรือแสดงความเห็นต่างได้ จิมมี่ คิมเมลและรายการของเขาถูกถอดเพราะนำเสนอความเห็นที่ไม่เป็นที่ต้องการของฝ่ายที่เป็น “กระแสนำ” ในสังคม  บทสนทนาในสหรัฐฯ ตอนนี้สะท้อนความวิตกกังวลของการที่คนเห็นแย้งถูก “ปิดปาก” และสังคมกำลังถูกบังคับให้คิดไปในทางเดียวกัน  

ในเมืองไทย มีนักการเมืองที่ออกมาแสดงความเห็นสวนทางคนอื่นในเรื่องการเปิดหรือปิดด่านที่ชายแดนไทยกัมพูชา ผลก็คือเขาถูกบริภาษอย่างรุนแรงจาก  influencer หรือ “อินฟลู” หลาย ๆ คน บ้างถึงกับเรียกผู้ที่แสดงความเห็นเช่นนี้เป็นสัตว์ก็มี การมีข้อเสนอที่แตกต่างกลายเป็นเรื่องไม่รักชาติ เป็นคนทรยศ ก่อนหน้านี้ผู้เขียนได้เห็นผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายคนบ่นเรื่องถูกโจมตีเพราะแสดงความเห็นในแนวทางที่ต่างออกไปจากคนอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งการพูดถึงความเดือดร้อนของตนเองหรือชุมชนของตน คนเหล่านี้ล้วนรู้สึกถึงแรงกดดันให้กลายเป็นเสียงส่วนน้อยและถูกกดทับขาดพื้นที่สื่อสาร นี่เป็นการกดข่มคนที่มองต่างมุม มีใช้ทั้งเฮทสปีชและอารมณ์เข้าบริภาษเป้าหมายเพื่อจะปิดปากทำให้หมดเสียงที่แตกต่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตราย และดูเหมือนการกดทับเช่นนี้ประสบความสำเร็จ เสียงต่าง ๆ จากชายแดนที่เคยพูดเรื่องผลกระทบและอื่น ๆ ค่อย ๆ จางหายไป ผู้เขียนได้เห็นโพสต์ของผู้ใช้เอ็กซ์รายหนึ่งที่แสดงความทดท้อเพราะการเสนอความเห็นที่แตกต่างในเรื่องปัญหากับกัมพูชานั้นถูกโจมตี ลักษณะเช่นนี้เท่ากับว่า เสียงของคนที่คิดต่างในเรื่องนี้มีแต่ยังไม่ได้พื้นที่ในสื่อมากพอ สังคมยอมให้การกดทับเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว และยิ่งนานวัน สังคมดูจะยิ่งสะสมและมีการใช้อารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งกับคนที่คิดต่างกับกัมพูชาและชาวเขมร 

ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้เขียนคิดว่า สื่อเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยเหลือสังคมได้ด้วยการเพิ่มพื้นที่ให้กับคนที่มีมุมมองแตกต่างออกไปเพื่อให้เห็นแง่มุมที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้น และถ้าหากว่ามีการนำเสนอมุมมองต่าง ๆ อย่างรอบด้านแล้ว สังคมจะพิจารณาและตัดสินใจเลือกทิศทางของการใช้กำลังต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่เราควรจะต้องเริ่มจากการสำรวจทางเลือกและผลกระทบให้รอบด้าน ไม่ควรมีการเสนอข้อมูลที่ทำให้สังคมได้ข้อสรุปว่า ไทยมีทางออกอย่างเดียวเท่านั้นคือ การใช้กำลังในการจัดการปัญหานี้ ที่ผ่านมาผู้เขียนยังไม่เห็นสื่อใหญ่ตรวจสอบทางเลือกต่าง ๆ อย่างจริงจังในขณะที่ในกลุ่ม “อินฟลู” ใช้ข้อมูลที่บางครั้งไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนมาเป็นตัวตั้งแล้ววิเคราะห์สถานการณ์ชักนำสังคมจนพากันปักใจไปในทิศทางเดียว 

อันที่จริงการแก้ปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชานั้นควรจะใช้การเมืองนำ แต่ที่ผ่านมาเรามีรัฐบาลที่มีสถานะทางการเมืองอ่อนแอเพราะภาพสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหนทางการแก้ปัญหาอันนี้ลงไป ใครก็ตามที่จะเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ได้จะต้องได้รับความไว้วางใจจากคนในสังคมมากพอสมควรเพราะหนทางการเมืองนั้นโดยหลักแล้วคือการประนีประนอม ในสภาพปัจจุบันฝ่ายการเมืองล้วนแล้วแต่มีปัญหาไปทุกส่วนส่งผลให้สังคมมองเห็นการใช้กำลังเป็นทางออกหลักไปด้วย  

นักการเมืองนั้น มีสถานะเป็นบุคคลสาธารณะซึ่งต้องตอบสนองโจทย์สาธารณะ แต่หลายคนกลับเลือกทำงานเฉพาะกับสื่อที่เป็นมิตรกับตัวเองเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้เราได้เห็นรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโต้ตอบผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่จี้ถามประเด็นไทยกับกัมพูชา นักข่าวรายนั้นถูกตำหนิอย่างมากเพราะท่วงทำนองของการตั้งคำถามซึ่งแน่นอนว่า ลดทอนน้ำหนักของผู้ถามเอง แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้เขียนกลับเห็นว่าการไม่ตอบคำถามดังกล่าวมีผลเสียมากยิ่งกว่า ผู้มีตำแหน่งควรพิจารณาที่เนื้อหาของคำถามไม่ใช่ท่วงทำนอง สื่อคัดเลือกคำถามจากกลุ่มคนเสพข้อมูลของตัวเองและย่อมเป็นตัวแทนความคิดจากคนบางส่วนของสังคม ซึ่งในฐานะผู้บริหารต้องรับมือและให้คำตอบไม่ว่า คำถามนั้นอาจดูก้าวร้าวก็ตาม นักการเมืองที่แสดงอาการไม่พอใจกับคำถามที่ท้าทายและหาทางกีดกันการตรวจสอบแบบนี้เป็นแนวโน้มเดียวกันกับที่เกิดในสหรัฐฯ เราได้เห็นภาพประธานาธิบดีทรัมป์เลือกนักข่าวเข้าห้องสัมภาษณ์ การสนับสนุนให้ปลดจิมมี่ คิมเมล เป็นต้น นักการเมืองที่มีพฤติกรรมแบบนี้สร้างมาตรฐานของการแสดงออกที่รุนแรง และสร้างความเคยชินทำให้บุคคลในตำแหน่งมีสถานะที่แตะต้องไม่ได้ เกิดความเคยชินว่าไม่ต้องตอบโจทย์ของสังคมถ้าไม่ชอบใจ เรื่องแปลกคือภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเราพบปัญหานี้ไม่ได้น้อยไปกว่ารัฐบาลทหาร สำหรับสื่อแล้วผู้เขียนคาดหวังว่าจะเพิ่มทักษะในเรื่องการทิ้งระยะห่างในทางอารมณ์กับประเด็นทั้งนี้เพื่อให้การเข้าหาแหล่งข่าวมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น และต้องให้ความเป็นธรรมกับแหล่งข่าวด้วยเช่นเดียวกัน 

ในความขัดแย้งที่มีความซับซ้อนและที่ต้องแก้ไขด้วยการเมืองนั้น ผู้เขียนเห็นด้วยกับหลายคนว่าสังคมต้องการสมาชิกที่ประเมินผลได้อย่างรอบด้านก่อนที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าในแนวทางใด ๆ แต่ในวันนี้เสียงที่ดังที่สุดจากสาธารณะคือเสียงที่สนับสนุนให้ตัดขาดจากความสัมพันธ์ใด ๆ กับกัมพูชา อันที่จริงแล้วเราแน่ใจได้หรือไม่ว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดเห็นไปในทางเดียวกันกับบรรดาผู้ใช้โซเชียลมีเดียในเวลานี้

ผู้เขียนพูดถึงการระดมความเกลียดชังในเหตุการณ์ 6 ตุลาในปี 2519 ซึ่งช่วงนั้นเรายังไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสื่อโซเชียลดังเช่นทุกวันนี้ การปลุกความรู้สึกของสาธารณะทำได้ผ่านการควบคุมการสื่อสารในพื้นที่สื่อที่มีไม่กี่รายบวกกับการสื่อสารแบบปากต่อปาก ในปัจจุบันวิธีสื่อสารแบบปากต่อปากที่เราเรียกกันขยับขึ้นมาอยู่ในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มเป็นแผง มิหนำซ้ำผู้คนมีพฤติกรรมในการสื่อสารต่างไปจากเดิม มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่า การสื่อสารแบบไม่เห็นตัวหรือไม่ใช่ตัวต่อตัวนั้น คนสื่อสารมีความ “กล้า” ในอันที่จะปล่อยความคิดของตัวเองแบบตรงไปตรงมามากกว่าเวลาคุยกันซึ่งหน้าจนทำให้โลกโซเชียลในปัจจุบันเต็มไปด้วยเฮทสปีช

ทุกวันนี้ผู้คนระเบิดอารมณ์ใส่กันทางออนไลน์จนพื้นที่สื่อสารสาธารณะเต็มไปด้วยดรามากลบเสียงบทสนทนาที่ใช้เหตุผลไปแทบจะหมด แถมยังมีการรีไซเคิลข้อมูล เผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน จำนวนไม่น้อยเป็นการกระทำอย่างจงใจ  ในสภาพเช่นนี้ดูเหมือนเราต้องการสื่อและบุคคลสาธารณะที่คิดมากขึ้นในการนำเสนอข้อมูล ผู้เขียนยังคงเห็นว่าภายใต้บรรยากาศแบบนี้เราต้องการทั้งสื่อและบุคคลสาธารณะที่ทันกระแสแต่ไม่เต้นตามทุกย่างก้าว เพราะถ้าทำเช่นนั้นเราจะบกพร่องในประเด็นที่สำคัญไปอย่างไม่รู้ตัว คำถามที่เราต้องช่วยกันหาคำตอบคือ การนำเสนอข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยท่วงทำนองที่สุภาพและด้วยตรรกะ เคารพซึ่งกันและกัน จะช่วยดึงอารมณ์ของสังคมให้ถอยกลับมาได้หรือไม่ 

การทำข่าวความขัดแย้งที่มีปฏิบัติการทางทหารนั้นพูดอย่างหยาบ ๆ ความท้าทายอยู่ที่ ประการแรก ความปลอดภัยของสื่อเองที่ส่งผลต่อข้อมูลที่จะนำไปรายงาน สอง ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความลำเอียงของสื่อเช่นความเห็นอกเห็นใจ แรงกดดันจากผู้มีอำนาจ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการวางจุดยืนของสื่อในการตัดสินใจเลือกประเด็น เก็บข้อมูลไปจนถึงการคัดสรรข้อมูลและการนำเสนอ 

ความปลอดภัยเป็นเงื่อนไขจำกัดการเข้าถึงข้อมูลทำให้เรื่องราวใด ๆ ล้วนซับซ้อนขึ้นในขณะที่สังคมต้องการความแจ่มชัดและความทันท่วงที ท้ายที่สุดความเร่งรีบรอไม่ได้ทำให้เกิดการตัดสินความถูกผิดบนฐานข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ในกรณีของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่หลายพื้นที่เป็นเขตที่สื่อทั้งคนในและคนนอกไม่คุ้นชิน และหากไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นย่อมเข้าถึงยากเพราะมีปัญหาความไม่ไว้วางใจ ในพื้นที่ปฏิบัติการทางความมั่นคงจริง ๆ ยิ่งยากจะเข้าถึงหรือพูดอย่างถึงที่สุดคือเข้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ เช่นในการปะทะ ซึ่งส่วนใหญ่จนท.จะเข้าควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่มีบุคคลที่สามหรือผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย เท่ากับว่าข้อมูลอยู่ภายใต้การควบคุมของจนท.อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นควรจะทำให้การนำเสนอใด ๆ ของสื่อที่อาศัยข้อมูลจากทางจนท.ความมั่นคงต้องทำอย่างระมัดระวัง ทั้งกรณีจชต.และชายแดนไทยกัมพูชาในระยะที่มีการปะทะกันในช่วงแรกต่างมีปัญหาเดียวกันนี้  

ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองถี่ ๆ ในกรุงเทพฯ ผู้เขียนจำได้ว่ามีประเด็นร้อนเรื่องการจัดระเบียบการทำงานของสื่อในพื้นที่ชุมนุมจนเกิดปัญหาโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนหลายหน สถานการณ์ที่ล่อแหลมมักเกิดขึ้นหลังจากที่การชุมนุมเลิกแล้วแต่มีการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังเหลืออยู่กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ นักข่าวจากสื่อหลักต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จนท.วางไว้คือไม่เข้าไปในพื้นที่ห้ามเข้า คนที่เข้าไปคือสื่อโซเชียลหรือสื่อรายเล็กและหลายครั้งพวกเขาถูกจับเพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุม นี่เป็นสถานการณ์ของความขัดแย้งในเมืองที่เกิดขึ้นและทำให้บางพื้นที่กลายเป็นพื้นที่ “นอกเรดาร์” ของสื่อหลักไป ในพื้นที่เช่นนี้การตรวจสอบการทำงานของจนท.ย่อมหายไปด้วย อันที่จริงแล้วเรื่องเช่นนี้เป็นผลเสียต่อจนท.เองเพราะเท่ากับทำให้ฝ่ายจนท.กลายเป็นคู่กรณีไปโดยตรงและกระทบสถานะของการเป็นคนแก้ปัญหาไปในที่สุด แต่ประเด็นสถานะของจนท. สถานะของข้อมูลที่เป็นจุดอ่อน ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เสพข่าวสารไม่ค่อยได้รับรู้ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญ ผู้เขียนเคยอ่านพบทวีตของผู้ใช้เอ็กซ์รายหนึ่งที่เข้าไปตำหนิสื่อต่างประเทศอย่างรุนแรงที่เขียนข่าวว่า “ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชายิงจรวดใส่พลเรือน” ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อสิ่งที่รัฐบาลไทยแจ้งกับต่างประเทศไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ข้อมูลนั้นก็ต้องตกอยู่ในประเภทของ “ข้อกล่าวหา” แต่ผู้อ่านรายนี้ต้องการให้สื่อยืนยันว่าข้ออ้างของไทยเป็นเรื่องจริง ความเข้าใจในเรื่องลักษณะของข้อมูลเช่นนี้สื่อต้องช่วยสังคมด้วย ไม่เช่นนั้นผู้บริโภคข่าวสารจะมองหาแต่การฟันธงแบบไม่มีฐานรองรับจากสื่อ และทุกฝ่าย 

สำหรับกรณีไทยกับกัมพูชา ปัญหาในลักษณะนี้คือข้อมูลว่าใครทำอะไรล้วนแต่มาจากแต่ละฝ่าย จะทำให้ยากอย่างยิ่งที่จะตัดสินใจได้ว่าในช่วงต้นของการริเริ่มใช้กำลังนั้นใครถูกใครผิดซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อการแก้ปัญหา ทำให้ชัดเจนมากขึ้นว่าการจะคลี่คลายเรื่องนี้ได้จะต้องมีการเจรจาต่อรองใช้การทูตและการเมืองเป็นตัวนำ สำหรับสื่อ ข้อมูลที่ได้มาจากฝ่ายความมั่นคงในสภาพเช่นนี้ต้องได้รับการจัดการแบบมีระยะห่าง ประเด็นไม่ใช่เรื่องไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ แต่เป็นเรื่องความผิดพลาดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ที่สำคัญจะทำให้หาทางออกเป็นไปได้ยากมากขึ้นไปอีก การสนับสนุนให้แก้ปัญหาด้วยกำลังโดยไม่เข้าใจสภาพอันซับซ้อนของปัญหาและทางเลือกต่าง ๆ ทำให้น่าห่วงว่า เมื่อเวลาผ่านไปความขัดแย้งที่ชายแดนไทยกัมพูชาอาจกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เป็นเรื่องเรื้อรังเหมือนเช่นปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

สำหรับสื่อ ที่หนักกว่าปัญหาการเข้าไม่ถึงข้อมูลในพื้นที่ปฏิบัติการก็คือเรื่องของการมีระยะห่างทางความคิด สื่ออาจนำเสนอด้วยท่วงทำนองที่ลำเอียงเพราะความเห็นอกเห็นใจ รวมไปถึงความเคยชินและความสะดวกในการนำเสนอ ดังนั้นจนบัดนี้ในการรายงานข่าวปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางครั้งเรายังเห็นการพาดหัวข่าวที่ใช้คำว่าจนท.จับกุม “แนวร่วม” เท่ากับว่าสื่อยังไม่ตระหนักว่าข้อมูลที่เป็นวัตถุดิบที่ได้มานั้นมีความอ่อนไหวอย่างไรและการรายงานเช่นนี้ส่งผลเสียต่อสถานการณ์และปัญหาขนาดไหน และก็ไม่แปลกด้วยที่เราจะได้เห็นผู้ประกาศข่าวบางรายออกความเห็นในระหว่างการอ่านข่าว “แซะ” ฝ่ายกัมพูชาจนเกินเนื้อข่าวที่อ่าน แม้แต่ประเด็นข่าวที่เลือกทำก็แสดงออกซึ่งอารมณ์เกลียดชังหรือรำคาญคนเขมรอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ไม่จำเป็น ผู้อ่านตัดสินใจได้เองว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร เมื่อเห็นสาระของข่าว ทำไปก็มีแต่จะเสียรังวัดในฐานะสื่อ 

ผู้เขียนอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกวันนี้เรามี “อินฟลู” ที่ออกมาให้ข้อมูลในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ในส่วนที่กลายเป็นประเด็นการช่วงชิงระหว่างไทยและกัมพูชาหลายเรื่อง ข้อมูลมีทั้งจริงและเท็จผสมผสานกัน บ้างที่ได้รับการปรุงแต่งใหม่ หลายคนเชื่อข้อมูลที่บรรดาแหล่งข้อมูลเหล่านี้นำมาเผยแพร่และเชื่อได้ว่าเรื่องนี้มีผลต่อความเข้าใจของคนที่เสพสื่อโซเชียลทั้งหลายว่ารากฐานของปัญหาความสัมพันธ์นี้มาจากที่ใด ทุกวันนี้หลายคนโจมตีคนเขมรว่าเชื่อไม่ได้เพราะทั้งหลอกลวง คดโกงมาตั้งแต่ในอดีต นี่เป็นผลของการเสพข้อมูลเหล่านี้

อันที่จริงแล้วสังคมไทยอ่อนในเรื่องความรู้เรื่องเพื่อนบ้านและประวัติศาสตร์ในภูมิภาคโดยเฉพาะในช่วงอาณานิคมอย่างมากทั้ง ๆ ที่เป็นยุคที่ส่งผลกระทบระยะยาวอย่างลึกซึ้ง ปัญหาเขตแดนและความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านหลายเรื่องเป็นผลพวงของการจัดการสมัยอาณานิคม แต่สังคมไทยเราที่รู้จักอเมริกาและยุโรปดียิ่งกว่าเพื่อนบ้านในอินโดจีนหรือคาบสมุทรมลายูมาวันนี้กำลังถูกกระหน่ำด้วยข้อมูลมากมายที่ไม่แน่ว่าถูกต้อง ก็จะยิ่งทำให้การทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อหาทางออกยากยิ่งขึ้นไปอีก ผู้เขียนเห็นว่า สื่อควรจะช่วยทำหน้าที่ให้การศึกษากับสังคมในเรื่องเหล่านี้ อย่างน้อยก็จะช่วยทำให้ไม่เกิดการผูกขาดในคำอธิบายเรื่องราวในอดีตที่ขณะนี้ถูกตัดแบ่งมาใช้เป็นท่อน ๆ ตามความสะดวกของผู้พูดแต่ละราย สังคมไทยต้องรู้ว่าเพื่อนบ้านและอดีตเจ้าอาณานิคมคิดอย่างไร และในอดีตมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ นอกจากนั้นเราต้องการคำอธิบายเรื่องพื้นที่ชายแดนและผู้คนที่อยู่ที่นั่นมากขึ้นรวมทั้งจากทั้งสองฝั่งของพรมแดน และจนถึงขณะนี้เราได้เห็นแผนที่และภาพดินแดนที่ช่วงชิงกัน แต่เรายังไม่ “เห็น” ชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มากนัก และโดยหลักแล้วพวกเขาก็ควรมีเสียงเช่นเดียวกันในการทำความเข้าใจกับภาพรวมของปัญหาและการแก้ปัญหานี้ 

ภาพประกอบ: จันจิรา ทาใบยา