Reading Time: 2 minutes
ในความเคลื่อนไหว
รศ. ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ
การประท้วงที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียในเดือนสิงหาคม ตามมาด้วยการประท้วงที่คล้ายคลึงกันในเดือนกันยายนที่เนปาล กลายเป็นข่าวที่จุดกระแสความสนใจไปทั่วโลก
มีคนวิเคราะห์มากมายแล้วในประเด็นเรื่องการนำแบบไร้การจัดตั้งของคนหนุ่มสาว และบทบาทของโซเชียลมีเดียในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในทั้งสองประเทศ (ซึ่งพบเห็นในการประท้วงในศรีลังกา บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ ไทย และประเทศอื่น ๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน) ผมจึงจะขอข้ามประเด็นนี้ไป แต่อยากกล่าวถึงอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญและสะท้อนสภาวะที่กำลังท้าทายประเทศจำนวนมากในปัจจุบัน นั่นก็คือ ช่องว่างระหว่างชนชั้นนำที่ปกครองและบริหารประเทศ กับประชาชนและคนหนุ่มสาว
ทุกคนคงทราบจากรายงานข่าวกันแล้วว่า ชนวนที่จุดให้ประชาชนโดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาวออกมาประท้วงในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียมาจากการผ่านกฎหมายให้เงินช่วยเหลือค่าที่อยู่อาศัยรายเดือนแก่สมาชิกรัฐสภา ซึ่งสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำเกือบ 10 เท่า ในขณะที่ชนวนการประท้วงในเนปาลเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจนทำให้เจนซีไม่พอใจและออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนนอย่างฉับพลันทันทีอย่างเป็นไปเองโดยไม่ได้มีองค์กรจัดตั้ง แต่ทั้งการผ่านกฎหมายที่มีปัญหาและการแบนสื่อเป็นแค่ฟางเส้นสุดท้าย หรือหากจะพูดในทางวิชาการก็เรียกได้ว่าเป็นเพียงปัจจัยกระตุ้น (triggering factor) หรือสาเหตุเฉพาะหน้า (immediate cause) เท่านั้น
ลำพังชนวนเหตุเหล่านี้ไม่สามารถก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และรุนแรงอย่างที่ปรากฏได้เลย หากสังคมนั้นไม่มีปัญหาพื้นฐานที่ร้ายแรงและสะสมมาอย่างยาวนานดำรงอยู่ก่อน การจะเข้าใจปรากฏการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องค้นหาให้ลึกลงไปถึงสาเหตุเชิงโครงสร้าง (structural factor) ที่รองรับให้ความปั่นป่วนสั่นสะเทือนทางการเมืองเกิดขึ้นได้
ภายใต้แผ่นดินไหวที่เขย่าสังคมอินโดนีเซียและเนปาล มีรอยแยกใต้พื้นดินดำรงอยู่และรอยแยกนั้นกำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
บทวิเคราะห์เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองในอินโดนีเซียที่ดีมากที่สุดชิ้นหนึ่ง คือบทความของศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด แอสพินอล (Edward Aspinall) ผู้เชี่ยวชาญการเมืองอินโดนีเซียแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เขาตั้งข้อสังเกตที่ชวนให้คิดและฉายให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ในสังคมการเมืองอินโดนีเซียในปัจจุบันมีลักษณะของ “โลกสองใบทางการเมือง” ใบหนึ่งคือ โลกของนักการเมือง ข้าราชการและชนชั้นนำทางเศรษฐกิจที่ถือครองอำนาจ ความมั่งคั่ง และทรัพยากร ส่วนโลกอีกใบหนึ่งคือ โลกของประชาชนคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำและคนหนุ่มสาวที่ดิ้นรนหาเช้ากินค่ำในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แอสพินอลมองว่าการประท้วงครั้งล่าสุดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของระลอกคลื่นแห่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แสดงออกมาอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ชนวนเหตุที่นำมาสู่การชุมนุมบนท้องถนนเปลี่ยนไปเรื่อย (เช่น ความพยายามของรัฐสภาที่จะลดทอนอำนาจขององค์กรปราบปรามคอร์รัปชันที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน การผ่านกฎหมายที่กระทบต่อความมั่นคงและสิทธิของแรงงาน ความพยายามของรัฐบาลที่จะรื้อฟื้นอำนาจของกองทัพ มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ฯลฯ) แต่สาเหตุรากฐานคือ เรื่องเดียวกัน นั่นคือ ความไม่พอใจต่อชนชั้นนำที่ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลและไม่แยแสความเดือดร้อนของประชาชน
การประท้วงครั้งล่าสุด คือรูปธรรมอีกครั้งหนึ่งของการปะทะกันระหว่างโลกสองใบนี้ที่นับวันช่องว่างจะถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และยากที่จะหาจุดบรรจบ โดยช่องว่างดังกล่าวไม่ใช่เพียงช่องว่างของอำนาจและทรัพย์สินที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ยังหมายรวมถึงช่องว่างของการรับรู้และความเข้าใจ
ในฝั่งประชาชนนั้น พวกเขารับรู้และติดตามข้อมูลข่าวสารความเป็นไปเกี่ยวกับพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของนักการเมืองและลูกหลานของพวกเขาอย่างใกล้ชิด ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่ทำให้คำพูด การกระทำ และไลฟ์สไตล์ของชนชั้นนำอยู่ในสายตาประชาชนตลอดเวลา และนั่นคือที่มาที่ทำให้คนอินโดนีเซียขุ่นข้องหมองใจกระทั่งไม่พอใจที่นักการเมืองอวดภาพการใช้ชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยของพวกเขาและเครือญาติ ในขณะที่ประชาชนมีชีวิตที่ลำบาก โดยเฉพาะแรงงานที่มีความมั่นคงน้อยในอาชีพ ถูกเลิกจ้างจากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า บวกกับความจริงที่ว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงติดอันดับโลกประเทศหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่การประท้วงครั้งนี้มีแรงงานเข้าร่วมจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานในภาคเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (บรรดาไรเดอร์ทั้งหลาย ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐก็ซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้มีคนเสียชีวิต ซึ่งยิ่งเพิ่มความโกรธของผู้ชุมนุมมากยิ่งขึ้น) หากเปรียบเทียบกับการชุมนุมที่ปะทุขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1998 อันนำไปสู่การล้มลงของระบอบการปกครองของนายพลซูฮาร์โตที่ปกครองประเทศยาวนานถึงกว่าสามทศวรรษ พบความแตกต่างที่สำคัญคือ ในปี 1998 มีแง่มุมของการเมืองเรื่องเชื้อชาติอยู่มาก ผู้ประท้วงในตอนนั้นพุ่งเป้าความโกรธแค้นไปที่นายทุนพ่อค้าเชื้อสายจีนที่พวกเขามองว่ามั่งคั่งร่ำรวย มีการบุกโจมตีทำลายร้านค้าและธุรกิจของคนเชื้อสายจีนทั่วประเทศ ในขณะที่การประท้วงครั้งล่าสุดนี้ไม่มีมิติของเชื้อชาติแต่อย่างใด ความโกรธแค้นพุ่งเป้าไปที่ชนชั้นนำทางการเมือง (ดังที่มีการเผาอาคารของรัฐที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมืองที่เป็นทางการ และการบุกไปยังบ้านของนักการเมือง) มิติทางชนชั้นเผยตัวอย่างชัดเจนในการประท้วงครั้งนี้
ในขณะที่ประชาชนรับรู้และมองเห็นโลกการเมืองของชนชั้น แต่ชนชั้นนำกลับมีความห่างเหินและมองไม่เห็นโลกที่ประชาชนของพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ ช่องว่างดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านการแสดงออกหลายอย่าง เช่น ในวันที่ร่างกฎหมายเพิ่มเงินช่วยเหลือค่าที่อยู่อาศัยผ่านสภา ส.ส. หลายคนลุกขึ้นเต้นและยิ้มแย้มอย่างเปิดเผยโดยไม่รับรู้เลยว่าประชาชนที่ติดตามการประชุมสภาอยู่รู้สึกอย่างไร อีกกรณีหนึ่งคือ ส.ส. รายหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนว่ามั่งคั่งเป็นอย่างมากออกมาเยาะเย้ยและดูถูกผู้ชุมนุมที่กำลังประท้วงว่าเป็น “คนจำพวกที่โง่เง่าที่สุดในโลก” สร้างความเดือดดาลอย่างมากจนพากันบุกไปที่บ้านของนักการเมืองรายนี้ และเอาทรัพย์สินจำนวนมากของเขาออกมาแสดงให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ) อาจารย์แอสพินอลชี้ว่าตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่านักการเมืองอินโดนีเซียในปัจจุบันอยู่ในโลกเสมือนของตัวเอง ที่ไม่มีประชาชนอยู่ในความคิดคำนึง
ตรงนี้ก็บ่งบอกถึงปัญหาพื้นฐานอีกประการที่เป็นสาเหตุของการประท้วงครั้งนี้ คือความถดถอยของประชาธิปไตยในอินโดนีเซีย จากที่เคยประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการเมืองหลังปี 1998 จนทำให้กองทัพออกจากการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตยก้าวหน้าไปได้ด้วยดี แต่ในช่วงทศวรรษหลัง ประชาธิปไตยอินโดนีเซียเริ่มถดถอย การคอร์รัปชัน ธุรกิจการเมือง และการเมืองแบบอุปถัมภ์พวกพ้องและสืบทอดอำนาจให้ลูกหลานกลายเป็นพฤติกรรมที่แพร่หลายสำหรับนักการเมืองทุกพรรค นักการเมืองถูกตรวจสอบพบว่ามีความร่ำรวยผิดปรกติจำนวนมาก ทั้งยังมีการใช้อำนาจเอื้อผลประโยชน์ให้กับนักธุรกิจในเครือข่าย ทำให้ความพยายามต่อสู้กับคอร์รัปชันที่เคยประสบความสำเร็จหลังการล้มระบอบซูฮาร์โตเสื่อมถอยลง ปัจจุบันอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 99 ในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) (ในขณะที่ไทยและเนปาลอยู่อันดับเดียวกันคือ 107) นักวิชาการจำนวนไม่น้อยเรียกการเมืองอินโดนีเซียในระยะหลังว่าเป็น การเมืองแบบคณาธิปไตย (oligarchy) ที่อำนาจถูกผูกขาดในมือของชนชั้นนำที่มั่งคั่งจำนวนน้อย
คนหนุ่มสาวในอินโดนีเซียรู้สึกแปลกแยกกับภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่าคนที่ออกมาชุมนุมจะมีเฉดทางอุดมการณ์แตกต่างหลากหลายกันไป แต่สิ่งที่ร้อยรัดพวกเขาไว้ด้วยกัน คือความไม่พอใจต่อชนชั้นนำที่ปกครองบ้านเมือง ความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูง และประชาธิปไตยที่ไม่ฟังเสียงประชาชน
ข้ามไปที่การประท้วงเนปาล ซึ่งลุกลามกลายเป็นความรุนแรง การจลาจล และการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่รัฐจนมีผู้เสียชีวิตถึง 70 กว่าราย และบาดเจ็บอีกกว่าหนึ่งพันราย จนทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องลาออก และมีการแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการซึ่งจะอยู่ในอำนาจเพียง 6 เดือน และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
สิ่งที่เกิดขึ้นที่เนปาลก็คือ เรื่องราวเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย การแบนโซเชียลมีเดียเป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นและจุดระเบิดคลื่นความโกรธของผู้คน ท่ามกลางปัญหาสารพัดที่ทำให้คนหนุ่มสาวและประชาชนทั่วไปรู้สึกหมดความหวังกับประเทศ นับตั้งแต่ประเทศเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญมาเป็นระบอบสาธารณรัฐในปี 2008 เนปาลเปลี่ยนรัฐบาลมาแล้วถึง 14 ชุดและไม่มีชุดใดเลยที่อยู่จนครบวาระ นักการเมืองต่างพรรคที่ขึ้นสู่อำนาจล้วนล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ และล้วนมาจากกลุ่มการเมืองหน้าเดิม ๆ ที่เล่นการเมืองมาอย่างยาวนาน ซึ่งการเมืองเนปาลคล้ายคลึงกับการเมืองอินโดนีเซีย คือมีลักษณะของการเมืองแบบอุปถัมภ์สูง แต่ละพรรคไม่มีนโยบายหรืออุดมการณ์ที่แตกต่างเป็นทางเลือกให้ประชาชน ทำให้ประชาชนรู้สึกเสื่อมศรัทธาต่อระบบการเมือง และมีความไม่ไว้วางใจต่อนักการเมืองอย่างสูง
นอกจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และการผูกขาดอำนาจของนักการเมือง เนปาลถูกรุมเร้าด้วยปัญหาหลายประการ จากการเป็นประเทศที่ยังมีคนยากจนอยู่จำนวนมากและมีความเหลื่อมล้ำสูง (ตัวเลขในปี 2019 ชี้ว่าคนเนปาลกว่า 8.1 ล้านคนใช้ชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ) บวกกับการคอร์รัปชันที่เรื้อรัง (อันดับเดียวกับไทยและเลวร้ายกว่าอินโดนีเซีย) และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่พัฒนา ทำให้อัตราการว่างงานสูงเกินกว่าร้อยละ 10 (และสูงถึงร้อยละ 20 สำหรับคนหนุ่มสาว) จนเกิดปรากฏการณ์ที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากย้ายออกนอกประเทศเพื่อไปหาชีวิตที่ดีกว่า ในปี 2024 มีรายงานว่าหนุ่มสาวเนปาลราว 839,000 คนทิ้งบ้านเกิดไปหาโอกาสในชีวิตที่ประเทศอื่น
ปรากฏการณ์โลกสองใบที่คู่ขนานกันระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชนคนหนุ่มเมือง (ที่ถูกเรียกว่า nepo kids) อวดความมั่งคั่งและชีวิตที่หรูหราของตนในโซเชียลมีเดียเป็นภาพตัดที่ฉายชัดถึงช่องว่าง และกระตุ้นความไม่พอใจให้ประชาชนให้แผ่กว้างยิ่งขึ้น ซึ่งพฤติกรรมอุปถัมภ์พวกพ้องเครือญาตินี้เกิดขึ้น ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอย ความเหลื่อมล้ำ การคอร์รัปชัน และการผูกขาดอำนาจทางการเมืองที่สะสมมาเป็นเวลายาวนานในสังคมเนปาล ทำให้ประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง และโกรธแค้นที่เสียงของพวกเขาไม่เคยถูกรับฟังอย่างมีความหมาย
การประท้วงที่เกิดขึ้นในทั้งสองประเทศเป็นแรงระเบิดที่ปะทุออกมาในสังคมการเมืองที่เต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้าง หากชนชั้นนำทางการเมืองในอินโดนีเซียและเนปาล (รวมถึงในประเทศอื่น ๆ ที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างแบบเดียวกัน) ไม่เข้าใจ และไม่ใส่ใจรากฐานของปัญหาที่อยู่ลึกลงไป และหาทางลดช่องว่างของโลกคู่ขนานที่ดำรงอยู่ระหว่างตนเองกับประชาชน ภาพที่เราเห็นในวันนี้ก็จะหวนกลับมาอีกครั้งในวันข้างหน้า
Photo by AFP
อ้างอิง
“839,000 Nepalis obtain work permits for foreign employment in one year,” Khabarhub, 18 July
2025, https://english.khabarhub.com/2025/18/486235/
Edward Aspinall, “Mass protest and the two worlds of Indonesian politics,” New Mandala, 2 Sep.
2025.
Oxfam International, Fighting Inequality in Nepal: The Road to Prosperity (Oxfam
International and HAMI, 2019).
Transparency International, Corruption Perceptions Index 2024 (Transparency International, 2025).