‘ข้าราชการไทยอยู่ยาก’ รื้อรัฐราชการสธ. เหนือจรรยาบรรณแพทย์
Reading Time: 3 minutesการรวมศูนย์อำนาจของระบบสาธารณสุขที่เป็นระเบียบแบบแผนการทำงานควบคุมโครงสร้างของรัฐ โดยใช้ระบบ Unity of Command กำลังเผชิญวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รศ. ดร. ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
เมื่อปี 2531 ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง มีเรื่องราวหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น จงกล ศรีกาญจนา สมาชิกพรรคพลังธรรมซึ่งเป็นลูกพรรคของจำลอง ศรีเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเพื่อโฆษณาสรรพคุณของตนว่ามีประวัติทางการเมืองโชกโชน โดยกล่าวอ้างว่า เป็นผู้นำชมรมแม่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มฝ่ายขวาที่มีบทบาทก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และที่สำคัญคือ การยกย่องตนเองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มนำการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันนั้น แล้วเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปลดรัฐมนตรีคอมมิวนิสต์ออกจากคณะรัฐบาล
การให้สัมภาษณ์นี้กลายเป็นประเด็นปวดหัวสำหรับจำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและหัวหน้าพรรคพลังธรรมในขณะนั้น เพราะเป็นการยกย่องการมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังติดอาวุธประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างตำรวจตระเวนชายแดนและลูกเสือชาวบ้านได้ใช้กำลังเข้าทารุณกรรมและสังหารหมู่นักศึกษาอย่างไร้ปราณี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 46 ราย บางแหล่งอ้างว่าอาจมากกว่าหนึ่งร้อยราย
ที่น่าสนใจคือ หลังจากผ่านไปเกือบสิบสองปี การยกย่องว่าตนเองมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวกลับกลายเป็นปัญหา ไม่ใช่เกียรติยศ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงของบรรทัดฐานทางศีลธรรม สิ่งที่เคยถูกยกย่องในวงการตนเองว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญและถูกต้อง กลับกลายเป็นภาระที่ต้องปกปิดหรืออธิบายแก้ตัว ความย้อนแย้งนี้ทำให้ผมนึกไปถึงห้องประชุมในอาคารสำนักงานประกันสังคม ที่ผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวชื่นชมข้อเสนอที่ทำให้นโยบายสิทธิประโยชน์ล่าช้าออกไปว่ามีประสบการณ์สูง จนกระทั่งฝ่ายที่คัดค้านสิทธิประโยชน์ต้องแก้ตัวว่าผู้ทรงคุณวุฒิท่านนั้นคิดเองเออเอง
นี่คือรูปแบบที่ซ้ำกัน รูปแบบที่เราพบเจอบ่อยครั้งในสังคมไทย การกระทำที่รู้อยู่เต็มอกว่าไร้ศีลธรรม แต่เมื่อยังอยู่ในวงการตัวเอง ยังคงกล้ายกย่องสรรเสริญ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง เมื่อบรรทัดฐานเคลื่อนไป สิ่งที่เคยเป็นวีรกรรมก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด ปฏิเสธ หรือแกล้งทำเป็นลืมไปเสีย บทความนี้พยายามวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่ผมเรียกว่า “ศีลธรรมแบบเลือกจำ” ซึ่งเป็นกลไกทางอุดมการณ์ที่ทำให้กลุ่มอำนาจสามารถหลบเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำในอดีตได้
คำถามพื้นฐานที่เราควรตั้งขึ้นคือ ถ้าสิ่งที่กระทำนั้นถูกต้องและเป็นธรรมจริง เหตุใดเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้กระทำจึงต้องปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือต้องเงียบหายไป หรือต้องออกมาบอกว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของยุคสมัย การตอบคำถามนี้จำเป็นต้องเข้าใจกลไกของวาทกรรมที่ใช้ในการอำพรางศีลธรรม
ในวงการของผู้มีอำนาจ ศีลธรรมไม่ได้ถูกตัดสินจากการกระทำ แต่ถูกตัดสินจากเป้าหมาย การใช้ความรุนแรงกับผู้ไม่มีอาวุธอาจเป็นบาป แต่ถ้ากระทำเพื่อชาติ ศาสนา และสถาบัน มันก็กลายเป็นความชอบธรรม การขัดขวางสิทธิของคนธรรมดาอาจเป็นสิ่งผิด แต่ถ้าทำเพื่อความมั่นคงทางการเงิน มันก็กลายเป็นการมีประสบการณ์สูง วาทกรรมนี้ทำหน้าที่อำพรางความขัดแย้งทางศีลธรรมโดยการสร้างกรอบความหมายใหม่ที่ทำให้การกระทำที่ไร้ศีลธรรมดูเหมือนมีเหตุผลและจำเป็น
กลไกของการอำพรางนี้ทำงานผ่านการสร้างลำดับชั้นของคุณค่า โดยวางเป้าหมายที่เป็นนามธรรมไว้เหนือคุณค่าที่เป็นรูปธรรม เมื่อเป้าหมายที่เป็นนามธรรมถูกยกขึ้นมาเป็นคุณค่าสูงสุด การกระทำใด ๆ ที่อ้างว่าเพื่อเป้าหมายนั้นก็ย่อมได้รับการชอบธรรม สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ใช้วาทกรรมนี้มิได้ขาดความรู้ หรือความเข้าใจในศีลธรรม พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาทำอยู่ดี เพราะในโลกของพวกเขา การขัดต่อศีลธรรมพื้นฐานไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่การกระทำนั้นสามารถถูกกรอบด้วยเป้าหมายที่สูงส่งได้
แต่สิ่งที่น่าศึกษายิ่งกว่าคือ เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง เมื่อบรรทัดฐานทางศีลธรรมเคลื่อนไป สิ่งที่เคยถูกสรรเสริญก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด นี่ไม่ใช่ความลืมตามธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่มีรูปแบบชัดเจน การลืมนี้เป็นการลืมอย่างมีเลือกสรร มีทิศทาง และมีจุดประสงค์ มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้โครงสร้างอำนาจสามารถปรับตัวเข้ากับบรรทัดฐานใหม่ได้โดยไม่ต้องยอมรับความรับผิดชอบต่อการกระทำในอดีต
การตอบสนองทั้งสองแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การลืมที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียวกัน กลยุทธ์แรกคือการหลีกเลี่ยง ไม่พูดถึง ไม่ยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เวลาผ่านไปและความทรงจำเลือนลาง กลยุทธ์ที่สองคือการแก้ต่าง การสร้างเรื่องเล่าใหม่ที่ทำให้ตนเองอยู่ในฐานะที่ดีกว่า ทั้งสองกลยุทธ์ต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบทางศีลธรรมต่อการกระทำในอดีต การใช้บริบททางประวัติศาสตร์เป็นข้อแก้ตัวนี้เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด มันทำให้การกระทำในอดีตดูเหมือนเป็นผลของสถานการณ์ที่บังคับ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยนั้น โดยปราศจากการยอมรับว่าผู้กระทำมีส่วนในการสร้างสถานการณ์นั้นขึ้นมา สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จคือ การที่สังคมไทยไม่มีกลไกในการบังคับให้ผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่มีกระบวนการความจริง และความสมานฉันท์ ไม่มีการชดเชย หรือฟื้นฟูเกียรติให้กับผู้เสียหาย สิ่งที่เราได้เห็นคือการปล่อยให้เวลาผ่านไป ปล่อยให้ความทรงจำเลือนราง
ประสบการณ์ของผมในบอร์ดประกันสังคมช่วยให้เห็นว่า รูปแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง แต่แทรกซึมอยู่ในกระบวนการทำงานของระบบราชการ และการเมืองในทุกระดับ เมื่อมีข้อเสนอที่จะขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้แรงงาน การที่ผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวชื่นชมผู้ที่เสนอวิธีการทำให้นโยบายล่าช้านั้น สะท้อนให้เห็นว่าในวงการนโยบาย ความสามารถในการขัดขวางสิทธิของคนธรรมดาถูกมองว่าเป็นทักษะที่ควรยกย่อง ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม
นี่ไม่ใช่เรื่องของบุคคลคนเดียว ไม่ใช่เรื่องของเหตุการณ์ครั้งเดียว แต่เป็นรูปแบบทางโครงสร้างที่แทรกซึมอยู่ในวิธีการทำงานของกลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมในสังคมไทย รูปแบบนี้มีขั้นตอนที่ชัดเจน ในขณะที่การกระทำเกิดขึ้น มันถูกกรอบด้วยวาทกรรมของความจำเป็น ความสูงส่ง หรือความชำนาญ เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงและบรรทัดฐานเคลื่อนไป การกระทำนั้นก็ถูกลืม ถูกปฏิเสธ หรือถูกอ้างว่าเป็นผลของบริบททางประวัติศาสตร์ และเมื่อพูดถึงความรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการหลีกเลี่ยง เพราะไม่เคยถูกบังคับให้รับผิดชอบ รูปแบบนี้จึงสามารถดำเนินต่อไปได้ คนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในระบบนี้ก็เรียนรู้ว่า ถ้ามีอำนาจ ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ
การไม่รับผิดชอบต่อการกระทำในอดีตเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราทำผิดซ้ำในอนาคต การไม่บังคับให้ผู้ที่กระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมต้องรับผิดชอบ มันส่งสัญญาณไปยังคนรุ่นต่อไปว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นที่ยอมรับได้ ตราบใดที่มีอำนาจพอ และสามารถรอให้เวลาผ่านไปได้ นี่ไม่ใช่เพียงคำถามเรื่องความยุติธรรม แต่เป็นคำถามเรื่องสังคมที่เราต้องการอยู่ด้วย
การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องเริ่มจากการเรียกร้องความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพื่อการแก้แค้น แต่เพื่อบังคับให้ผู้กระทำยอมรับว่าพวกเขากระทำสิ่งที่ผิด เพื่อสร้างความเข้าใจว่าทำไมสิ่งที่พวกเขากระทำจึงขัดต่อศีลธรรมพื้นฐาน ที่สำคัญที่สุด เราต้องหยุดปล่อยให้วาทกรรมเรื่องเป้าหมายที่สูงส่งกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการกระทำที่ไร้ศีลธรรม การกระทำเพื่อสิ่งใดก็ตาม ไม่ได้ทำให้การละเมิดศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เราจำเป็นต้องสร้างสังคมที่ตัดสินการกระทำจากผลกระทบต่อศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ ไม่ใช่จากอำนาจของผู้กระทำหรือเป้าหมายที่อ้าง สังคมที่ผู้คนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่ว่าจะมีอำนาจมากเพียงใด สังคมที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ลืมเมื่อไม่สะดวก เพราะถ้าเราปล่อยให้รูปแบบนี้ดำเนินต่อไป วันหนึ่งคนรุ่นหลังจะมองย้อนกลับมาที่เรา และตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเราถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้น ทำไมพวกเราถึงไม่ทำอะไรเลย และตอนนั้น เราจะตอบพวกเขาอย่างไร