ฉากหลังในราตรี เพื่อ 'สักวันยามวิกาลจะวาววับไม่อับแสง' - Decode

ฉากหลังในราตรี เพื่อ ‘สักวันยามวิกาลจะวาววับไม่อับแสง’

Play Read
Reading Time: 3 minutes

ทุกคืนที่มืดมิดมักมีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใน ความหวัง ความสูญเสีย ความโดดเดี่ยว หรือแม้แต่ประกายไฟเล็ก ๆ ที่รอวันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ตลอดความยาว 184 หน้าไม่ใช่แค่การบอกเล่าถึงความวูบวาบของแสงไฟนีออน หรือดวงดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้า หากแต่เป็นความพยายามจะเงี่ยหูฟังเสียงสะท้อนในเงามืด น้ำเสียงของคนตัวเล็ก ผู้แพ้ หรือแม้แต่เรื่องราวของคนที่เสียเปรียบในสังคม ไปจนถึงความทรงจำที่พร่ามัวแม้ในยามสว่าง

บางเรื่องสั้นที่ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงในการเขียน หรือบางบทกวีที่ใช้เวลาทั้งชีวิตของนักเขียนในการกลั่นกรองออกมา

ผลงาน 21 เรื่อง จาก 19 นักเขียน ที่ใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกับคนกลางคืนที่หลากหลาย ทั้งสำรวจย่านที่ไม่เคยหลับใหล พูดคุยกับคนที่ชีวิตเริ่มต้นเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับ หรือบันทึกความเงียบงันในห้องเล็ก ๆ ที่ความคิดยังไม่หยุดไหว ความจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกจดเพียงลงในสมุดบันทึก หากยังซึมซับเข้าสู่โครงเรื่อง ตัวละคร และฉากหลังที่ดำเนินต่อไปใน ราตรีลุกไหม้ ได้กลายเป็นวรรณกรรมที่มีชีวิต เป็นทั้งสถานที่ ผู้คนและบางสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกคน

เบื้องหลังการเขียนที่ไม่ได้โรยด้วยแรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียว หากยังเต็มไปด้วยความท้าทายในการเลือกแง่มุมและความจริงตรงหน้า แม้ในคืนที่หดหู่ สิ้นหวังที่สุด ก็ยังอยากฝันแม้ในยามตื่น

การทำงานกับเรื่องสั้นแต่ละเรื่องเปรียบเสมือนการจุดไฟขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า นักเขียนพาตัวเองกลับไปสำรวจสิ่งที่เรามักหลบเลี่ยง ความเจ็บปวด ความเปราะบาง และความเงียบงันที่กรีดร้องอยู่ภายใน ความตั้งใจไม่ใช่แค่การเขียนเรื่องให้จบ แต่คือการสร้างพื้นที่ให้ผู้อ่านได้เผชิญหน้ากับกลางคืนในตัวเอง และอาจค้นพบแสงเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในนั้น

Decode สำรวจเบื้องลึก เบื้องหลังของนักเขียนบางท่านในหนังสือราตรีลุกไหม้ที่ทำให้เห็นว่า ราตรีลุกไหม้มิได้เป็นเพียงชื่อหนังสือ หากคือการเดินทางของนักเขียน นักอ่าน กองบรรณาธิการ ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหนังสือเล่มนี้ ตั้งใจเชื้อเชิญให้ทุกคนเผชิญหน้ากับความมืด เพื่อพบว่า ราตรีไม่ได้อยู่ตลอดกาล

เรื่องสั้นที่บอกเล่า เรื่องราวของผู้คนที่เลือนหาย ใน’ชีวิตยามวิกาล’ ในชื่อเรื่อง หาค่ำกินเช้า เล่าถึงชายต่างด้าวคนหนึ่ง ยามที่แสงอาทิตย์ตกต้อง เขากลับไร้ตัวตน รูปร่างหน้าตาของเขา จำกัดและผลักไสให้เขาต้องใช้แรงกายอย่างเหน็ดเหนื่อยในไซส์ก่อสร้าง เพียงแต่เมื่อค่ำคืนปกห่ม รูปร่างหน้าตาเดียวกันนั้น กลับเป็นที่ต้องการอย่างสูง ในมุมมืด มุมลับ ที่ความถวิลหาเร่าร้อน ดังเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินผ่านเสียงคราง กระเส่ากระซิบผ่านสายฝน ในซอกหลืบลึกลับรอการระบาย ในเมืองอับชื้นขึ้นตะไคร่เมืองนี้

ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด – หาค่ำกินเช้า

ชีวิตต่างเจ็บปวดและมีบาดแผล

ฉันเคยเกลียดยามวิกาลไร้สุ้มเสียง​ สงบ สงัด มันเป็นความมืดชนิดพิเศษที่ทำให้คนเราเลือกทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำได้ เป็นแม้กระทั่งวินาทีของใครสักคนหรือใครต่อใครอีกหลายคนเลือกที่จะมีชีวิต…อยู่ต่อหรือพอแค่นี้ 

ฉันเกลียดราตรีพลัดพรากนั้น

จะเป็นไปได้ไหมที่คนเรามียามวิกาลสว่างไสวเช่นกลางวัน หรือแปรเปลี่ยนโลกให้เป็นโลกไร้กลางวันกลางคืนดังโลกแห่งความรัก ทุกค่ำคืนจะได้มีพลังราวใครสัก​คน​มาเสกเวทมนตร์​ไว้ให้สู้ต่อ – ความหวังหนึ่งจะเป็นเพียงแสงเล็ก ๆ อันไกลโพ้นเหมือนประกายของดวงดาว 

ไม่อยากให้พญามัจจุราชมาเคลื่อนไหวในแสงแห่งความมืดใคร ฉันอยากเปลี่ยนยามอันชั่วร้าย น่ากลัว หดหู่ เป็นราตรีเริงร่าและมีเพื่อน

นั่นแหละเหตุผลที่ฉันเขียนบทกวีชิ้นนี้ขึ้น ถนอมไว้ภายใต้ความรู้​สึกที่อยากส่งต่อหัวใจแห่งมิตรภาพ เผื่อใครสักคนได้มาอ่าน จะได้ใช้ชีวิตดังคนมีความรัก และกลับมาสู้ชีวิต

ถนอมไว้ให้ดี ๆ นะชีวิต ขอให้รักชีวิต และใช้ชีวิตทุกวัน

ดั่งคนมีความรัก

สิริวตี – ความทรงจำก่อนหน้า

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย มนุษย์ต่างกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง 

พวกเขาสับสน หลงทาง กรีดร้องในความมืดมน กระเสือกกระสนเอาตัวรอดในแต่ละวัน แต่ยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังว่ามีแสงที่ปลายอุโมงค์รออยู่

แต่วันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง 

พวกเขาได้แต่กอดเศษซากปรักหักพังของคำสัญญาที่ใครบางคนให้ไว้ ก่อนจะส่งต่อสิ่งชำรุดให้คนในรุ่นถัดไป เพราะพวกเขาเองก็ไม่สามารถวาดฝันโลกแบบอื่นได้เช่นกัน

มนุษย์จึงได้แต่เดินวนอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าในยามวิกาล ทุกครั้งที่หลับตาลง พวกเขาสามารถจินตนาการโลกที่อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า ทุกครั้งที่ความมืดมาเยือน พวกเขาสามารถฝันใฝ่ในสังคมที่แตกต่างออกไป

นั่นคือที่มาของเรื่องสั้น “มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นที่ร่วงหล่นจากระบบการศึกษา ในช่วงรอยต่อของชีวิต เขาได้พบเจอสถานที่ที่บ่มเพาะเสรีภาพทางความคิด

นั่นคือเป้าหมายของมหาวิทยาลัยมิใช่หรือ?

หวังว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้จะช่วยจุดไฟแห่งความหวัง เพียงนิดเดียวก็ยังดีในสังคมที่ไม่ปรารถนาให้ตั้งคำถามว่า มนุษย์กำลังตามหาอะไรกันแน่ ขอให้ไฟลุกลามจนยามวิกาลวาววับ

ขอให้ราตรีลุกไหม้

ธนา – มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

Rhythms บนถนนสายหนึ่ง ระหว่างจอดรอไฟเขียว ฉันเห็นจังหวะชีวิตบางมุมซ้ำเดิมเกิดขึ้นทุกค่ำคืน จนความหดหู่และคำถามบางอย่างเริ่มก่อตัว อยากถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นตัวอักษร 

พอ Revert ความคิดกลับไปตามเส้นทางที่ผ่านมา ทุกครั้งที่รถติด สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างทางกลับคล้ายกันเสมอ ผู้คนมากมายกำลังทำอาชีพที่สอง ต่างพยายามหารายได้เสริม เพื่อประทังชีวิตให้รอด ให้ดีขึ้นกว่าวันวาน แม้เพียงน้อยนิด 

ตอนมองภาพเหล่านั้นมันสะท้อน “เส้นตรง” เส้นหนึ่ง ซึ่งควรจะระนาบอยู่บนแกน X แต่ในสังคมไทยกลับตั้งฉากอยู่บนแกน Y มีระดับชั้น รวย ปานกลาง จนความเหลื่อมล้ำกระจุกตัว ท่ามกลางผู้คนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ขาดความเสมอภาค และความสมดุลที่ควรเป็น แต่แล้วจนถึงที่สุด ชโลมจิต ก็ยังเป็นคนที่ดึงดรามาไม่เก่งเช่นเคย ฉันจึงอยากเป็นเพียงสายฝนเม็ดเล็ก ๆ ที่ปลอบประโลมคลุกเคล้าไปกับน้ำตาของใครบางคนในค่ำคืนนี้ 

สุดปลายทางของราตรี ก็ยังคงมี “ฟ้าสาง” รออยู่เสมอ

ชโลธร – ก่อนฟ้าสาง

เขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตตอนกลางคืน เหมาะกับพี่นะ เขียนเลยยังมีเวลา 

นักเขียนหนุ่มรุ่นน้องแต่มากด้วยประสบการณ์ ผู้คุ้นเคยกันในค่ายนักเขียนที่เคยฝึกฝนร่วมกันนานนับปี บอกผม เมื่อพบหน้าในคืนหนึ่ง เขาที่ปรับเวลาชีวิตไปแล้ว เปลี่ยนไปเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ต่างจากผมที่ยังใช้ชีวิตยามวิกาล อยู่ในห้องนอนที่เปิดไฟ และม่านหน้าต่างไว้ทั้งคืน จนฟ้าใกล้สางถึงปิด – ตลอดเวลา  

ผมจะเขียนถึงชีวิตยามวิกาลอย่างไร และเล่าถึงใคร เมื่อผมอยู่กับตัวเองคนเดียว

มีเพียงถ้อยคำว่า ฉันเป็นมิตรกับวิกาล ที่ลอยมาทันทีในห้วงคิด  

ทว่าหลังจากนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเห็นใบหน้าเธอไม่ชัดเจน ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น อยู่ในเงามืดวับวาม คล้ายเธอมาเพื่อรอคอย เฝ้ารอใครบางคนอยู่เสมอทุกค่ำคืน – ผมเริ่มเขียนเรื่องของเธอ ในฉากราตรีท่ามกลางม่านฝนห่มคลุมเมืองใหญ่ เหงา หม่น อย่างเดียวกับแสงจันทร์  

บางคนเรียกเธอว่าโสเภณี บ้างก็เรียก sex worker – ไม่ว่าจะเรียกด้วยถ้อยคำไหน ก็ต้องเอาตัวเข้าแลก ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำ มันยังซื่อสัตย์ กว่าพวกที่เอ่ยอ้างว่าทรงเกียรติ หากเธอคนนั้นทำอย่างสุจริต ไม่ได้คดโกงใคร บางทีความมืด กลับเป็นมิตรไว้ใจได้ และปลอดภัยกว่าผู้คนทั่วไป หรือคนที่จ้องมอง ต่างมาใช้เรือนร่างเธอ ราวกับเป็นสิ่งของสาธารณะ   

เธอเองก็คล้ายเปลี่ยนไปตามคนที่จำต้องรอคอย บางครั้งเธอเป็นแค่เครื่องปลดเปลื้องการผสมพันธุ์ บางทีก็กลายเป็นเครื่องเล่นเพื่อความสนุก อาจมีบ้าง ในบางราตรี ที่เธอกลายเป็นคนรัก หรือแม้แต่เป็นแม่ของสิ่งมีชีวิตเพศผู้ ที่ย้อนกลับไปเป็นทารกแรกเกิด ในอ้อมอกอ่อนโยน  

ฉันเป็นมิตรกับวิกาล เป็นอีกหนึ่งผลงาน ที่ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงขอบเขตใหม่ ๆ ของความรู้สึกขณะเขียน และเมื่อเขียนจบลง ในระหว่างการเดินทางของหนังสือเล่มนี้และมีโอกาสพูดคุยกับกองบรรณาธิการ หลังทอดระยะเวลาทิ้งไปสักพัก ค่อยหยิบขึ้นมาอ่าน ด้วยสายตาใหม่ – ลงมือแก้ไข ขัดเกลา 

อ่านแล้ว หัวใจสั่นไหวมากขึ้นไหม เหมือนเพิ่งเคยอ่านเป็นครั้งแรก คล้ายคำตอบ แว่วมาในรัตติกาลที่พยักหน้าและสบตาผมนิดหนึ่ง   

ผมนึกขอบคุณมิตรคนที่นอนหัวค่ำ แต่คืนนั้นเอ่ยชวนผม ให้เขียนถึงชีวิตยามวิกาลที่ผมไม่คุ้นเคยกับคนอื่น มาวันนี้ รัตติกาลมืดดำ ลุกไหม้ เกิดแสงทั้งราตรี ไม่มอดดับ

สุรัตน์ ฐิตา – ฉันเป็นมิตรกับยามวิกาล

PALACE / ร้านเวทมนตร์ของมินมิน สองเรื่องสั้นจากนักเขียนคนเดียวกัน

เรื่องหนึ่งเล่าเป็นกระแสสำนึกของหญิงสาวผู้ตามหาความรักและกลิ่นเสื้อผ้ามือสองไปถึงปัตตานี ในโค้งสุดท้ายของคดีความกรณีตากใบ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเป็น Slice of life ธรรมดาของชุมชนผู้ใช้กัญชาในเมืองสมมติห่างไกลในโค้งสุดท้ายก่อนจะกลับกลายไปเป็นยาเสพติด สิ่งที่ทั้งสองเรื่องมีร่วมกัน คือความเล็กจ้อยของชีวิตจริงที่ถูกกำหนดด้วยสังคมให้เหลือที่ทางหายใจน้อยลงทุกวัน การเปลี่ยนพวกเขาเป็นฟิกชันก็เป็นเครื่องมือที่ผู้เขียนพอจะทำได้ เมามาย หัวเราะ และร้องไห้กับมัน ก่อนบันทึกเอาไว้ในเรื่องเล่าเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้วาระสุดท้ายของพวกเขาจบลงอย่างว่างเปล่า

ขอบคุณ Decode.plus ที่เป็นพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาจากมุมลับแสง แต่ไม่ลับตา เป็นกำลังใจและยินดีเป็นส่วนเสี้ยวของการสร้างนิเวศ เพราะหากมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเขียน คงไม่รู้ว่ามันจะถูกเอาไปวางบนชั้นรออ่านของทุกคนได้อย่างไร ขอบคุณทุกตัวละครใน Palace และร้านเวทมนตร์ของมินมิน ตัวละครสมมติที่ล้วนมีตัวตนอยู่จริง ๆ

นวพล พิสุทธิวงส์ – PALACE / ร้านเวทมนตร์ของมินมิน