ปลดเครื่องพันธนาการ และอภินิหาร 'ข้อยกเว้น' ความหวังแห่งยุคสมัยของ 'ธงชัย วินิจจะกูล' - Decode

ปลดเครื่องพันธนาการ และอภินิหาร ‘ข้อยกเว้น’ ความหวังแห่งยุคสมัยของ ‘ธงชัย วินิจจะกูล’

Human RightsJustice
Reading Time: 3 minutes

“การเป็นผู้ต้องขังต้องตีตรวนสิ ต้องปฏิบัติกับผู้ต้องขังอย่างเท่าเทียม นี่อาจเป็นมุมมองทั่วไปในการใส่เครื่องพันธนาการให้กับผู้ต้องขังทุกคน”

แต่กฎหมายกลับระบุให้การใส่เครื่องพันธนาการเป็นข้อยกเว้น เมื่อมีเหตุจำเป็น

พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 21 มีเนื้อหาห้ามใส่เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่มีเหตุที่ว่า … 

ผู้ต้องขังมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีการควบคุมผู้ต้องขังมีพฤติกรรมหรืออาการส่อว่าเป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตไม่สมประกอบซึ่งอาจทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น เมื่ออธิบดีผู้และมีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ

ข้อยกเว้นที่กลายเป็นหลักปฏิบัติตามปกติ? เป็นเหตุแห่งคำร้องที่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์รับเชิญวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้มีการไต่สวน พิจารณากระบวนการของกรมราชทัณฑ์ให้การใส่เครื่องพันธนาการเป็นไปตามที่ถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ว่าการใส่เครื่องพันธนาการถือเป็นข้อยกเว้นในกรณีพิเศษเท่านั้น

แม้ศาลชั้นต้นจะยกคำร้องด้วยเหตุผลว่า การไต่สวนยังไม่ปรากฏชี้ชัดถึงการกระทำที่เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามที่พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ได้บัญญัติไว้

De/code สัมภาษณ์เจาะลึกถึงฉากทัศน์ต่อไปของกระบวนการยุติธรรมกับ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล เพื่อสะท้อนความเป็นไปของระบบราชทัณฑ์ผ่านความหวังจากการยื่นอุทธรณ์ให้ศาลอาญาพิจารณาพิพากษากลับคำสั่ง ทบทวนการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังให้เป็นตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

มรดกตกยุคจากจารีตนครบาล ระบบราชทัณฑ์ที่มองผู้ต้องขังต่ำกว่า ‘คน’

ผมแถลงในประโยกแรก ๆ ว่าทำไมจึงต้องยื่นคำร้องให้ปลดโซ่ตรวนจากกรณีของ อานนท์ นำภา เพราะเราใช้วิธีการร้องเรียนทางศาล ที่ต้องทำเป็นคดีและเป็นรายกรณี ซึ่งไม่ใช่คดีแรก ก่อนหน้านี้ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) เคยยื่นคำร้องให้กับผู้ต้องขังมากกว่า 10 คดีโดยไม่เคยเป็นข่าว ไม่ได้เป็นที่สนใจของสังคม ถูกศาลตีตกคำร้องมาโดยตลอด แต่การไต่สวนคำร้องในกรณีของทนายอานนท์นี้ (21 กรกฎาคม 2568) เป็นครั้งแรกที่ศาลเรียกพยานไต่สวนก่อนจะถูกยกคำร้อง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเราต้องการให้เรื่องนี้เป็นที่สนใจในสังคม ว่าถ้าเรื่องการปลดเครื่องพันธนาการจะเกิดการแก้ไขหลักปฏิบัติ จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเฉพาะกรณีเดียวเท่านั้น

การขออุทธรณ์ไม่ได้ทำเพียงเพื่อเป็นข้อยกเว้นกับอานนท์ แต่ต้องการให้ศาลมีคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งจากพ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พันธกรณี ICCPR ตามกติกาสิทธิมนุษยชนพลเมือง และหลักปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง MANDELA RULES ที่เป็นข้อกำหนดมาตรฐานของสหประชาชาติ ระบุว่าการใส่เครื่องพันธนาการเป็นข้อยกเว้น ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้วิธีการอื่นได้

“จุดใหญ่ คือเราต้องการให้เห็นผู้ต้องขังเป็นคน หยุดการปฏิบัติที่ป่าเถื่อน”

ผมพูดถึงกรณีนี้ครั้งแรกในช่วงที่มีการจัดงานรำลึกถึง บุ้ง – เนติพร เสน่ห์สังคม ที่มีการเรียกร้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งผมเห็นด้วย แต่สำหรับผมกรณีการเสียชีวิตของบุ้ง เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าการจัดการกับนักโทษเป็นปัญหาวงกว้างกว่าเรื่องของตรวน แต่เป็นเรื่องของการรักษาพยาบาล ที่จนถึงปัจจุบันยังไม่กระจ่างเรื่องสาเหตุการเสียชีวิต มันก็สะท้อนและเป็นประจักษ์พยานแล้วว่าราชทัณฑ์มีปัญหา ผมพยายามย้ำกับคนที่รณรงค์การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ว่าต้องจับปัญหาเรือนจำ และการดูแลผู้ต้องขัง

ผมว่าเรื่องนี้ไม่ผิดวัตถุประสงค์ของคนที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่เรามักเน้นไปที่ ศาล ตำรวจ สองจุดที่มักจะมองข้าม คืออัยการ และราชทัณฑ์ กรณีบุ้งฟ้องเรื่องการรักษาพยาบาลที่ไม่เข้าท่า เห็นได้ว่ามีปัญหาบางอย่างอยู่ ยิ่งบวกรวมกับคดีชั้น 14 (เป็นการไต่สวนว่าการบังคับโทษจำเลย เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้หรือไม่ จากกรณีของทักษิณ ชินวัตร รักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ระหว่างการรับโทษคดีทุจริต) พูดได้กว้าง ๆ ว่า มันมีปัญหา ผู้ต้องขังบางคนกว่าจะได้รับการรักษามันยากเย็นเหลือเกิน

เรื่องนี้ผมรู้ในสมัยที่ผมโดนเอง ในตอนอยู่ในเรือนจำหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2 ปี ผมไม่ได้บาดเจ็บหรือมีเรื่อง แต่เพื่อนผมมี กว่าจะได้ไปโรงพยาบาล ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มันแสนยาก ในคดีนี้ต้องรอให้ปล่อยตัวออกมาถึงจะมีอิสระในการไปรักษาตัวจนหาย พูดได้ว่าถ้าติดคุกต่อไปนาน มีสิทธิปฏิเสธการส่งตัว

ผมรู้อีกเช่นกันว่า โซ่และตรวนมีขนาดเล็กลงกว่าในช่วงที่ผมเป็นผู้ต้องขัง ผมเห็นก่อนหน้านั้นจนมาถึงการใส่ตรวนในปัจจุบัน ผมเห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควร

“เรื่องใส่ตรวนเป็นเรื่องที่เล็กกว่า แก้ง่ายกว่าในระบบราชทัณฑ์ ไม่ต้องถึงขนาดรัฐมนตรีด้วยซ้ำไป แต่อีท่าไหนทำไมกลายเป็นเรื่องยากเย็นขนาดนี้”

เรื่องระบบการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบ งบประมาณและบุคคลมากกว่า แก้ไขได้ยากเมื่อเทียบกับเรื่องการปลดตรวน ถ้าให้ว่ากันอย่างตรงไปตรงมานี่คือด้านเสียที่คนมองเรื่องตรวนเป็นเรื่องเล็ก แต่ผมเห็นว่ามันสะท้อนเรื่องใหญ่กว่านั้นมาก เรื่องการรักษาพยาบาลก็เช่นกัน คือเราปฏิบัติกับผู้ต้องขังต่ำกว่าคน ราวกับไม่เป็นคน เรื่องนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นมรดกตกทอดจากยุคจารีตนครบาล แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่สิ่งที่ยังตกทอดมาคือมุมมองทัศคติที่มีต่อผู้ต้องขังยังแย่มาก 

‘ข้อยกเว้น’ กลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’

ผมเห็นคำตัดสินของศาลที่ยกคำร้องเรื่องการปลดเครื่องพันธนาการ ถ้าค้นกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้แลกเปลี่ยนวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงประวัติราชทัณฑ์กับ ผศ. ดร. ศรัญญู เทพสงเคราะห์ สุดท้ายผมมองเห็นประเด็นที่เกี่ยวข้อง ที่ต่อให้ราชทัณฑ์จะทำถูกกฎหมาย แต่เราก็ยังมองเห็นอยู่ดีเพราะวิธีการ ‘ใช้ข้อยกเว้นเป็นปกติ’ (Normalization of exception) เห็นได้จากประวัติศาสตร์กฎหมายโดยเฉพาะในกรณีความมั่นคง ที่มักอ้างความมั่นคงอยู่เสมอ เวลาที่เราไปอยู่ในเวทีสิทธิมนุษยชนสากลจึงสามารถบอกได้ว่ากฎหมายเราดี แต่สิ่งที่เขียนไว้ว่า ‘เว้นแต่’ คือสิ่งที่ถูกใช้ในการขยายความ เป็นบทเรียนในหลายกรณีเช่นการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง กฎหมายการปกครองพิเศษในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้อำนาจพ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 

“ตัวกฎหมายเองเป็นหลักฐานของการนำข้อยกเว้นมาทำให้เป็นปกติ”

ทั้งหมดมาจากการขยายความ ‘เว้นแต่’ ให้มีผลบังคับใช้ขึ้นมา นี่คือเหตุผลการถูกยกคำร้องของทนาย ผู้ต้องขังถูกใส่ตรวนมาตลอด แม้จะมีกฎหมายให้ยกเว้น ทำให้สิ่งที่ควรจะเป็นข้อยกเว้นกลายเป็นเรื่องปกติ

เขาอาจจะอ้างว่า เหตุผลที่แท้จริงเป็นเรื่องของงบประมาณ แต่ผมคิดว่าเหตุผลที่คนเราจะไม่ยอมตัดจริง ๆ มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก (Subconscious) เป็นส่วนที่คุณไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจที่จะปรับเรื่องราชทัณฑ์อย่างจริงจัง แม้กระทั่งเรื่องการใส่รองเท้า ที่ศาลและราชทัณฑ์ไม่ได้ห้าม แต่ทุกวันนี้ผู้ถูกคุมขังก็ไม่ได้ใส่รองเท้าเวลาขึ้นศาล เพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ในขณะที่วิญญูชนคนปกติหากไม่ใส่รองเท้ากลับถูกลงโทษฐานหมิ่นศาล

เก็บกวาดฝุ่นใต้พรมในระบบยุติธรรม – ระบบการปกครอง (regime)

ราชทัณฑ์กำลังเหมารวมว่า ผู้ต้องขังทุกคนจะหลบหนีเมื่อเดินทางมาศาล ดูได้จากเอกสารการเบิกตัวที่ระบุไว้ว่าผู้ต้องขังจะหลบหนีทั้งนั้นจึงต้องตีตรวน แต่ไม่มีใครทราบเลยว่าเอกสารชุดนี้มาอย่างไร ใช้มาเป็นระยะเวลานานขนาดไหนก็อาจไม่มีผู้คุมท่านใดสนใจ

“แม้กระทั่งแบบฟอร์มการเบิกตัวยังไม่ปรับเลยทั้งที่ขัดกับกฎหมาย เรื่องตีตรวนกลายเป็นเรื่องทั่วไป การจะขออนุญาตไม่ตีตรวนกลายเป็นข้อยกเว้น มันกลับกันหมดเลย”

แต่ถามว่า ทำไมกฎหมายถึงเขียนให้เป็นข้อยกเว้น เพราะต้องมีกฎหมายระหว่างประเทศกำกับ แต่หลักปฏิบัติกลับขัดแย้งกัน การแก้ปัญหาไม่ใช่การแก้แบบฟอร์ม ย้อนกลับไปว่าเป็นเรื่องของบุคคลหรือเรื่องระบบ เป็นเรื่องการปฏิบัติหรือเป็นเรื่องของสถาบัน ผมว่าทั้งหมดเกี่ยวพันกันและแสดงออกมาในระดับบุคคล ผมไม่ได้ต้องการเอาโทษผู้คุม เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพราะผมเชื่อว่าเขาปฏิบัติโดยไม่ได้ตระหนักว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

คดีโซ่ตรวนไม่ใช่คดีเดียวที่สะท้อนหลักปฏิบัติต่อผู้ต้องขังเมื่อนับรวมกับคดีอาหาร การรักษาพยาบาล เพียงแต่ความสะดวกของการปฏิบัติงานของราชทัณฑ์ จึงปฏิบัติแบบเดิมแต่แต่งเติมด้วยการเขียนเป็นข้อยกเว้น เป็นไปได้ว่าศาลก็ไม่เคยสนใจประเด็นนี้ โดยธรรมเนียมที่ศาลไทยเข้าข้างอำนาจรัฐ ก็มีผู้พิพากษาพูดคุยกับผมซึ่งมีความเป็นไปได้มาก ด้วยเหตุผลว่าไม่มีกำลังคนพอ ขาดงบประมาณ สรุปแล้วปัญหาทางการบริหาร ก็ถูกแก้ปัญหาด้วยการปฏิบัติกับผู้ถูกคุมขังอย่างไม่เต็มคนทั้งระบบ

ผมว่าข้อเรียกร้องของเรามันเป็นเหตุเป็นผล มีทางออกทางปฏิบัติให้ด้วยคือการใส่ตรวนเฉพาะไม่กี่คน ทำตามกฎหมายให้การใส่ตรวนเป็นรายกรณี ซึ่งทำได้ง่ายมาก หรืออย่างน้อยที่สุดตามหลักปฏิบัติของหลายประเทศคือการใส่กุญแจมือเพื่อให้ผู้ถูกคุมขังเดินได้ปกติ ใส่เฉพาะตอนที่อยู่ในรถ เมื่อลงจากรถเพื่อเดินมาศาลจึงจะถอด ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะตั้งข้อสังเกตว่าผู้ต้องขังทุกคนจะหลบหนี หรือใช้งบประมาณกับบุคลากรของราชทัณฑ์มากกว่าในตอนนี้

ผมเชื่อว่าผู้ถูกคุมขังหลายรายก็ได้รับบาดแผลจากการใส่โซ่ตรวนเช่นเดียวกันกับที่ทนายอานนท์เบิกความต่อศาล แต่ไม่เคยมีอำนาจในการที่จะให้ใครมาฟังเขา กับอีกกรณีหนึ่งคือไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาผิดกฎหมาย เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป เขาก็ไม่เคยคิดที่จะร้องเรียน

“สังคมเคยชินโดยที่ไม่ได้ตั้งคำถาม เคยชินกับหลักปฏิบัติโดยที่ไม่ได้ตระหนักหรือตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลง”

ผมไม่มั่นใจว่า ศาลจะตีความการไม่ให้ใส่เครื่องพันธนาการในศาลอย่างไร แต่ตามหลักสากลจะถือว่าศาลเป็นสถานที่ทรงเกียรติ ไม่ควรปฏิบัติกับมนุษย์อย่างป่าเถื่อน การใส่ตรวนต่อหน้าบัลลังก์ถือเป็นการดูหมิ่นผู้พิพากษา นั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีการยกเลิกการใส่เครื่องพันธนาการในหลายประเทศ ในขณะเดียวกันเรากำลังคุ้นชินและยอมรับกับหลักการปฏิบัติอย่างโหดร้าย

คดีนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่เราหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง มีความหวังว่าจะมีการสืบพยานจากราชทัณฑ์มาชี้แจงหลักปฏิบัติต่อผู้คุมขัง เพื่อเป็นแนวทางว่าได้ปฏิบัติมายาวนานมาเท่าใด เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องให้มีการปลดตรวนโดยทันที ไม่ได้ต้องการเอาผิดราชทัณฑ์ แต่เป็นการสะท้อนหลักปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย ซึ่งการได้รับเอกสารการเบิกตัวจากทางราชทัณฑ์ ก็เป็นหนึ่งในเครื่องยืนยันหลักปฏิบัติที่เป็นมายาวนานจนไม่เกิดการตั้งคำถาม เพราะก่อนหน้าที่จะมีการยื่นคำร้อง เราไม่เคยได้รับแบบฟอร์มเอกสารการเบิกตัวจากทางราชทัณฑ์

ราชทัณฑ์ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของกระบวนการยุติธรรม ผมไม่ปฏิเสธว่าการปรับแก้จุดหนึ่งจะกระเทือนจุดหนึ่ง ฉะนั้นการปฏิรูปราชทัณฑ์จะเกิดการสงสัย ตั้งคำถาม ปรับปรุงในกระบวนการยุติธรรมให้มีความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับที่ผมตั้งคำถามเรื่องที่ศาลไม่รู้สึกสงสัยเลยหรือกับการใส่เครื่องพันธนาการต่อหน้าบัลลังก์ ซึ่งศาลมีอำนาจออกคำสั่งโดยไม่ต้องรอให้ราชทัณฑ์ปรับเปลี่ยนหลักปฏิบัติ ในขณะเดียวกันราชทัณฑ์ก็ปรับเปลี่ยนได้เลยโดยไม่ต้องรอระดับอำนาจสั่งการเพราะเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

ถามว่า กระบวนการยุติธรรมหลังจากนี้จะปิดตายไหม ไม่ปิดตาย โดยเฉพาะปัญหาเยอะ ความรู้สึกที่ว่ามันอัดอั้น แก้ตรงไหนก็ไม่สำเร็จไม่ใช่เพราะระบบปิดตาย แต่เพราะปัญหาอยู่ทั่วไปหมดจนรู้สึกว่าจะไปจับจุดไหนก็พบปัญหา  สภาวะแบบนี้ยิ่งจำเป็นต้องจับปัญหาในแต่ละจุด ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

“ปัญหาในกระบวนการยุติธรรมกำลังลามไปทั้งระบบ ปกป้องตนเอง ปกป้องการใช้อำนาจและหลักปฏิบัติแบบเดิมจนเคยตัว แม้แต่เรื่องที่ดูจะแก้ไขได้ก็กลับกลายเป็นแก้ไขไม่ได้”

ยิ่งถ้าเราจับในกรณีที่เข้าใจง่ายที่สุด และชัดที่สุดในกระบวนการยุติธรรมอย่างเครื่องพันธนาการ สังคมยิ่งตระหนักมากขึ้นว่าหลักกฎหมายและสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ยังดีไม่พอ ต้องปรับปรุง ประเทศไทยเป็นอย่างนั้นมากมาย การใช้กฎหมาย การบังคับกฎหมาย ถูกเขียนไว้ให้การยกเว้นกลายเป็นเรื่องปกติได้ แม้กระทั่งการสืบพยาน ผศ. ดร. รณกรณ์ บุญมี ที่เป็นผู้ร่วมร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน มาเป็นพยานยืนยันการใส่เครื่องพันธนาการการกระทำที่เป็นการทรมานผู้ถูกคุมขัง ศาลก็มีอำนาจในการตีความว่าไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายและไม่ถือเป็นการทรมาน

ข้อถกเถียงหนึ่งในการเขียนกฎหมายกับการบังคับใช้ คือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของไทยเขียนได้ดี นักนิติศาสตร์สามารถหยิบยกการบังคับใช้กฎหมายมาเป็นปัญหามากกว่าการเขียนกฎหมาย

“แต่การบังคับใช้ข้อละเว้นจนกลายเป็นกฎหมายปกติยังไม่เรียกว่าผิดอีกหรือ ซึ่งในความเป็นจริงควรจะต้องเขียนกำกับไม่ให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายในทางที่ผิด”

กฎหมายต่าง ๆ ที่กำลังพันธนาการอยู่ ผมไม่ได้ต้องการโทษอำนาจรัฐอย่างเดียว ผมโทษรัฐในความหมายกว้างที่เกี่ยวไปถึงสถาบันที่เป็นเส้นสายของระบบอำนาจที่มีอยู่ ผมจึงพยายามใช้คำว่าระบบการปกครอง (regime) มากกว่ารัฐในความหมายของ State

“ระบอบอำนาจทางการเมืองต้องเปลี่ยน ระบบกระบวนการยุติธรรมต้องยุติการลอยนวลพ้นผิด”


ในความคาดการณ์เหตุการณ์ทางการเมืองไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องรอคอยให้ระบบการเมืองเปลี่ยนแปลงก่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพราะมันเกี่ยวพันกันไปหมด ไม่ได้ตามกันหรือต้องรอคอยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบอำนาจทางการเมืองก่อน