Reading Time: 4 minutes
… เราอาจเรียกการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ว่าเป็นการออกแบบบ้าน
แต่เรารู้สึกว่าบ้านหลังนี้เพดานมันถูกดันให้เตี้ย คานมันถูกกดให้ต่ำ
ที่สำคัญคือเราไม่ใช่เจ้าของบ้าน เราไม่ใช่แม้แต่ผู้เช่าบ้าน เราเป็นเพียงผู้อาศัย
ซึ่งเราคิดว่านี่น่าจะเป็นความรู้สึกของประชาชนไทยต่อกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้น
เสียงสะท้อนของ จีรนุช เปรมชัยพร จากกลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ConForAll คงพอบอกได้ว่า ทิศทาง ‘การร่างรัฐธรรมนูญไทยฉบับใหม่’ ยังคงไม่ชัดเจน ขณะเดียวกับที่สูตรการได้มาซึ่ง ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ หรือ สสร. ที่ภาคประชาชนยืนยันว่า สสร.ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100% ก็เกือบถูกปิดประตูโอกาสจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
31 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) ร่วมกับวุฒิสภา ได้จัดเวทีเสวนา ‘ถอดสูตรที่มา สสร. แบบใด ที่ยึดโยงประชาชน’ และ ‘ฉากทัศน์รัฐธรรมนูญไทย เปิดสูตรภาคประชาชน’ เพื่อร่วมถกเถียงทิศทางของรัฐธรรมนูญ และถักทอหน้าตาของ สสร. ที่ยึดโยงกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
หากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ถูกประทับตราและมอบเยี่ยมว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็คงถูกประทับตราบาปว่าเป็นฉบับที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยกลไกที่วางไว้เพื่อสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร มากกว่าที่จะมีไว้เพื่อสะท้อนเสียงและอำนาจสูงสุดของประชาชน
“มันเป็นความตั้งใจให้ยากตั้งแต่ต้น เป็นการออกแบบของ คสช. ที่ทำให้สถาบันทางการเมืองไม่ยึดโยงกับประชาชน … และสำหรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชัดเจนว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นหนึ่งในกลไกที่ไม่อยากให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
เกริ่นนำของ จีรนุช เปรมชัยพร กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ConForAll ถึงที่มาของความวุ่นวายนี้ เธออธิบายว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ก่อร่างขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้กลายเป็นโครงข่ายความสัมพันธ์เชิงอำนาจหลักในสนามการเมืองไทยในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหาร ประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 ที่เกิดขึ้นในห้องดำ การแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญภายหลังการทำประชามติ กระทั่งองค์กรอิสระที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ที่ในขณะนี้กำลังกุมบังเหียนและความเป็นไปของสังคมไทยอยู่
เส้นทางเจ็ดถึงแปดปีของรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 เต็มไปด้วยเสียงโอดครวญของประชาชน มากกว่าคำสรรเสริญ ขณะเดียวกัน หลายพรรคการเมืองและภาคประชาชนต่างมีความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ อย่างในปี 2564 ไพบูลย์ นิติตะวัน สส. พรรคพลังประชารัฐ และ สมชาย แสวงการ สว. ชุดพิเศษ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256(1) ของรัฐสภา เพื่อตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ แต่ต้องผ่านการประชามติเสียก่อนว่าประชาชนต้องการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนทำประชามติอีกครั้งว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ภายใต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2564 ได้เผยให้ ‘ความต้องการเบื้องลึก’ ของทั้งฝ่ายพรรคการเมืองและภาคประชาชน กล่าวคือฟากฝั่งภาคประชาชนต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% ขณะที่พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าห้ามแตะหมวดหนึ่งและสอง พรรคเพื่อไทยแตะหมวดหนึ่งและสองได้แต่ต้องทำประชามติและไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ส่วนพรรคประชาชนผู้ถือร่างหลักของการแก้ไขรัฐธรรมนูญยืนยันว่า จะเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญให้มากที่สุด โดยมี สสร. เป็นกลไกสำคัญ
จีรนุช เปรมชัยพร
จีรนุชอธิบายว่า ฉันทามติของสังคมที่ว่าต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และ สสร. ต้องมาจากประชาชน 100% นั้นเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เพื่อยืนยันว่าอำนาจสูงสุดในประเทศเป็นของประชาชน และทำให้กลไกทางสังคมกลับมาอยู่ในรูปแบบที่ถูกที่ควร
10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการทำประชามติอีกครั้ง (คำวินิจฉัยที่ 18/2568) แต่คำวินิจฉัยดังกล่าวกลับมีคำตอบที่ไม่ได้ถามติดมาด้วยว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” ซึ่งทำให้หลายพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคประชาชนผู้ถือร่างหลักของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องปรับสูตรขนานใหญ่เพื่อมิให้หลักการ สสร. เดิมขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
“เรารู้ว่าคุณกำลังสู้อยู่กับอะไร แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงทั้งกระบวนของโครงสร้างในระบบ เราเข้าใจดีว่ามีศาลรธน. และกลไกสว. เป็นเงื่อนไขสำคัญในการทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือว่า ถ้าเราประนีประนอมยอม ๆ กันไปแบบนี้ ผลผลิตของมันจะเป็นอะไร? เราจะได้อะไรที่ดีกว่าตอน คสช. ปิดห้องแล้วคุยกัน เราจะได้รัฐธรรมนูญแบบนั้นเหรอ? และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมันถูกประทับตราว่า เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตย” จีรนุชฝากถึงสส. พรรคประชาชน
‘เพดานสูงสุด’ ที่พรรคประชาชนจะทำได้?
กับ ทนายแจม – ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน
“แม้เราจะอยากให้ สสร. มีอำนาจโดยตรงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญขนาดไหน แต่ด้วยกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มันทำให้เราไปถึงตรงนั้นไม่ได้ เราเลยพยายามไปแตะขอบที่สุด นั่นก็คืออย่างน้อย ๆ ให้มันมีการเลือกตั้งโดยตรงเข้ามา เพื่อให้มีอำนาจในการไปรับฟังความคิดเห็น สะท้อนความคิดเห็น การจัดทำรายงานเสนอแนะ เพื่อให้เห็นว่าเรารับฟังเสียงของประชาชน”
แม้จะอยากไปให้สุดขอบ แต่ด้วยกติกาที่สร้างขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ ทนายแจม – ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน ก็ยอมรับว่าไม่อาจทะลุเพดานที่ถูกลดลงมาให้ต่ำแบบนี้ได้ เธอบอกว่า ยังคงเชื่อเหลือเกินว่าประชาชนมีอำนาจสูงสุด และที่มาของ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% เพราะแบบนั้นทำให้เธอและพรรคประชาชนต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่า ‘ร่างของพรรคประชาชนจะยึดโยงกับประชาชนได้อย่างไร ภายใต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ’
กลายมาเป็นโมเดล สสร. ใหม่จากพรรคประชาชน คือ ตั้งคณะผู้ทำงาน 2 ส่วน หนึ่งคือคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน โดยที่มาของคณะกรรมการยกร่างฯ จะมาจากการจัดให้การเลือกตั้งทางอ้อมผ่านระบบคล้ายบัญชีรายชื่อ โดยให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมจากเขตเลือกตั้งทั้งประเทศ และคำนวณคะแนนเพื่อหาผู้ชนะการเลือกตั้ง 70 คน จากนั้นส่งให้รัฐสภาคัดเลือกจำนวน 35 คน โดยแบ่งสัดส่วนตามจำนวน สส. และ สว. ในสภาฯ ซึ่งวิธีการเลือกจะใช้สูตรคำนวณว่า สมาชิกรัฐสภา 20 คนเลือกคณะกรรมการยกร่างฯ 1 คน
ส่วนที่สองคือ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงของประชาชน เปิดให้มีการเลือกสมาชิกอย่างน้อยจังหวัด 1 คนแต่ไม่เกิน 5 คนตามสัดส่วนประชากรในแต่ละจังหวัด โดยสภาที่ปรึกษาฯ จะไม่มีส่วนร่วมในการยกร่างหรือเกี่ยวข้องกับการจัดทำเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่จะทำหน้าที่ในการ ‘รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชน’ เพื่อเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์
ศศินันท์อธิบายต่อว่า การเลือกคณะกรรมการยกร่างฯ สูตรนี้จะทำให้สะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลาย อีกทั้งยังป้องกันการฮั้วที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ส่วนการทำงานของสภาที่ปรึกษาฯ ก็ได้มีการกำหนดกรอบของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไว้ 9 ข้อ เพื่อใช้สื่อสารกับประชาชนว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะมีหน้าตาแบบใด เพราะที่ผ่านมาประชาชนแทบไม่รู้เลยว่า เนื้อหาของกฎหมายที่ปกครองพวกเขาอยู่เป็นอย่างไร
ทนายแจมยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้นมีปัญหาในการสะท้อนเสียงและอำนาจของประชาชน อย่างเช่นอำนาจอันล้นเหลือขององค์กรอิสระ หรือการออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน สักฉบับหนึ่งที่ต้องคำนึงว่า สว. จะเห็นด้วยรึเปล่า แม้หลายเสียงสนับสนุนพรรคประชาชนจะบอกว่าให้ ดาหน้าเข้าไปเลย ทุบเพดานทิ้งเสีย แต่หากทำแบบนั้นแล้วเราไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลย ประเทศเราก็จะย่ำอยู่กับที่แบบนี้หรือถอยหลังกลับไปอีก ก็คงไม่มีใครทราบได้
‘การยื่นร่างที่เป็นไปได้’ จึงเป็นสิ่งที่เธอและพรรคประชาชนมองว่าไม่ใช่ประตูบานสุดท้าย แต่เป็นประตูที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ เพื่อให้ประชาชนยังพอมีหวังที่ประเทศจะยังเดินต่อไปข้างหน้าได้
“เวลาลงพื้นที่ยอมรับเลยว่าประชาชนรู้สึกหมดหวังมากกับการเลือกตั้ง หรือทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้น เราจะทำยังไงให้มีประตูแห่งความหวัง ให้คนยังพอมีความหวังที่ประเทศมันจะไปต่อข้างหน้าได้ โดยที่เขาไม่ต้องมานั่งคิดว่าเสียงที่เขาจะไปโหวตในอนาคตมันจะต้องหล่นน้ำหายไป หรือไม่ได้รัฐบาลหน้าตาที่ประชาชนอยากได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรือเปล่า ดังนั้นการแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นชนวนแรกที่คลายพันธนาการ และทำให้การเมืองไทยมันสามารถขยับไปข้างหน้าได้” ทนายแจม-ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน
เส้นทางวิบากของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
‘รอดหรือร่วง’ ในมุมรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
“สังคมไทยเป็นสังคมหมาป่ากับลูกแกะ ถ้าลูกแกะคือประชาชน ประชาชนเดินไปทางไหน หมาป่าก็บอกว่าน้ำขุ่นทั้งนั้นแหละครับ อยากกินลูกแกะเมื่อไหร่ก็กิน”
ตัวอย่างง่าย ๆ ของ รศ. ดร. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ฉายแนวทางของการรัฐธรรมนูญไทย ‘ไม่ให้’ ยึดโยงกับประชาชน
ธำรงศักดิ์เริ่มต้นชี้ให้เห็นว่า ทั้งร่างของพรรคประชาชนและภูมิใจไทยมีลักษณะคล้ายกับของพรรคชาติไทยในปี 2540 อยู่มากทีเดียว ที่ชัดที่สุดคือการตั้งคณะกรรมการ สสร. ปี 2540 ขึ้น โดยวางตัวแทน สสร. เป็น 99 คน และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือตัวแทนจากจังหวัดต่าง ๆ โดยเปิดรับสมาชิกและจัดให้ มีกระบวนการคัดสรรให้เหลือจังหวัดละ 1 คน หรือ 76 คนจากทุกจังหวัด ส่วนอีก 23 คนนั้นเป็นตัวแทนจากฝ่าย ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายบริหารบ้านเมือง ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายการเมือง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านที่เคยมีอำนาจทางการเมือง ซึ่งภายหลังผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้กลายมาเป็น ‘กำลังหลัก’ ในการบริหารบ้านเมืองและร่างรัฐธรรมนูญ และทำลายความหลากหลายที่ควรเกิดขึ้นใน เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ
แม้การดึงหลักการ สสร. ปี 2540 จะถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งโดยพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย อีกทั้งยังเป็นพัฒนาการที่ก้าวไปไกลกว่าปี 2540 แต่ธำรงศักดิ์ก็ยังตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดสรร ที่อาจสูญเสียเวลาและงบประมาณอีกมหาศาล ซึ่งอาจไม่ทันอายุของสภาหนนี้
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามไม่แพ้กัน คือการมีอยู่ขององค์กรอิสระนามว่าศาลรัฐธรรมนูญ ธำรงศักดิ์ฉายโพลให้เห็นว่ากว่า 60% ของประชาชนเห็นว่าควรยุบศาลรัฐธรรมนูญ สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อองค์กร และการขยายขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้การสร้าง ประชาธิปไตยติดขัดตลอด 10 ปีที่ผ่านมา “ขยายไม่พอนะครับ ศาลรัฐธรรมนูญยังใช้ไม้เรียว หวดก้น ส.ส. อีก มันกลายเป็นพฤติกรรมเชิงอำนาจของคนที่อ้างความชอบธรรมทางกฎหมาย” ธำรงศักดิ์บอก
รศ. ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ทำให้ทุกอย่างไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้ อย่างที่ศศินันท์สะท้อนไว้ข้างต้นว่า จำเป็นต้อง Play safe เพื่อให้เดินทางสู่ด่านต่อไปได้ ขณะเดียวกันก็ได้กลายเป็นช่องทางหนึ่งของพรรค การเมืองที่ใช้ธงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นธงหาเสียงของพรรคด้วยเช่นกัน
ด้าน ผศ. ดร. ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสร้างความเสี่ยงหลายอย่างต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่หากจะให้มองถึงทางออก เขามองว่าอำนาจของการทำประชามติไม่ได้อยู่ที่รัฐสภา แต่อยู่ที่ประชาชน ดังนั้นหากออกแบบกระบวนการให้ดี ก็สามารถผ่านคำถามไปโดยไม่ขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
หรืออีกประเด็นคือประชาชนไม่มีอำนาจในการเลือก สสร. แต่หากเราใช้รัฐสภาทำหน้าที่เสนอโมเดล และให้ประชาชนเป็นคนอนุมัติผ่านประชามติ มันก็อาจจะไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะที่มาของ สสร. เกิดจากประชาชนไม่ใช่รัฐสภา แต่เกิดจากประชาชนให้ความยินยอม ดังนั้นนี่อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราจะสามารถสถาปนาอำนาจของประชาชนขึ้นมาได้
“ปัจจุบันเรากำลังคิดว่า เราพยายาม ถ้าทำไม่ได้ก็จบ แต่จริง ๆ ถ้าเรากำลังคิดว่ารัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหา ดังนั้นเมื่อมีการต้องการจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ เราก็สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 ไปด้วยพร้อม ๆ กันได้” ผศ. ดร. ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผศ. ดร.ปูนเทพ ศิรินุพงศ์
ทางแพร่งระหว่าง ‘ความสำเร็จที่เป็นไปได้’ กับ ‘ความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์’
“สิ่งที่คนในสังคมหรือพวกเราอยากได้ บางครั้งมันเป็นสิ่งที่เป็นอุดมคติ เป็นสิ่งที่อาจจะเหมือนกับว่าสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ผมกังวลคือ ความสมบูรณ์แบบดังกล่าว ท้ายสุดจะไม่ได้อะไรเลย”
รศ. สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นว่า ขณะนี้เรายังข้อพิพาทที่ยังคงหาทางลงไม่ได้ก็คือหมวด 1 และ 2 ดังนั้นถ้าเราอยากได้ ‘ความสมบูรณ์แบบที่สุด’ ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็หมายความว่าเราก็ต้องแก้ไขสองหมวดดังกล่าวให้ได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอาจกลายเป็น ‘กับดัก’ ในการลงมติวาระถัด ๆ ไป
ขณะเดียวกัน ในทางหนึ่งการทำประชามติก็สร้างภาระให้กับประชาชนอยู่มากเหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ประชาชนเดินออกจากบ้านและออกเสียง แต่ประชาชนจะต้องมีฐานข้อมูลเพียงพอ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า ‘สาระสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคืออะไร’ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
รศ. สมชัย ศรีสุทธิยากร
ทางด้าน นิกร จำนง ประธานอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยืนยันว่าความต้องการหลักคือไม่ต้องการรัฐธรรมนูญที่มาจากการยึดอำนาจ ต้องมาจากประชาชน และแก้ไขได้ง่าย สามเงื่อนไขง่าย ๆ แต่ไม่เคยเป็นจริงเสียที
นิกรเล่าว่า ยุคสมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 มีหลายโอกาสที่เราสามารถเขียนเนื้อหาให้อำนาจฝ่ายบริหารไม่ ให้ล้นเกิน แต่ก็ไม่ได้ทำจนสุดท้ายถูกฉีกรัฐธรรมนูญไปในปี 2549 โดยเขาเองก็ได้เข้าไปเป็นกรรมาธิการ ศึกษาปัญหาฯ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะนำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนกลับมาในปี 2550 แต่ก็ถูกยึดอำนาจ จนรัฐธรรมนูญปี 2560 คลอดออกมา และแม้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2564 จะให้อำนาจ ประชาชนในการตั้งต้นโหวตรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยมีรัฐสภาเป็นผู้จัดทำ แต่ถึงยังนั้นก็ไม่วายโดนเตะ ตัดขา โดยการไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ฉะนั้นตอนนี้เราอยู่บนทางแยกระหว่าง ‘ความสำเร็จที่เป็นไปได้’ กับ ‘ความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ’ จากความสำเร็จและความล้มเหลวที่ผสมปนเป นิกรเชื่อว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรก็ได้ให้ สสร. มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่เวลาก็กระชั้นชิดขึ้นทุกที
“คำวินิจฉัยของศาลฯ มันเป็นกฎเกณฑ์เหมือนกติกา ที่ถ้าเราไม่ทำตาม มันไม่มีทางจะสำเร็จได้ ถ้าเรายืนยันว่าให้ประชาชนมีส่วนร่วมเต็มที่ ก็เหมือนกับว่าเราดิไซน์เรือลำใหญ่ให้สวยงาม แต่ทางเรือมันเป็นร่องน้ำเล็ก ๆ ที่เราไปชนหินโสโครกจนอับปางลงมาอีกไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
นิกร จำนง
ด้าน รศ. ดร. ธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วม ของประชาชนฯ วุฒิสภา ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า ยังมีผู้เล่นที่อยู่นอกเหนือสถาบันทางการ เมืองอยู่ ซึ่งตัวอย่างหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนคือศาลรัฐธรรมนูญ หรือในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ก็ไปเกี่ยวข้องกับผู้เล่นอื่น ๆ อีกมากมาย หากเราไม่พูดถึงหมวด 1 และ 2 ก็ยังมีหมวดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนา เกี่ยวข้องกับทหารและกองทัพ ฉะนั้นการที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เดินทางมาถึง จุดนี้นับว่ามาไกลมาก ธนพรเสนอว่าให้เราอาจจะต้องกลับมาพูดคุยกันในจุดที่ใกล้ที่สุด คือการทำให้รัฐธรรมนูญมันกินได้ และเกี่ยวพันกับปากท้องของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด
หากตามน้ำไปตามมุกของพิธีกรว่าธนพรชอบฟันธงถึงความเป็นไปได้ เขาก็ยังเชื่อว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะยังเกิดขึ้นตามกำหนดการณ์ที่ระบุไว้ใน Grand Compromise MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย และนี่อาจเป็นเพียง ครั้งเดียวของประวัติศาสตร์ ที่เราจะสามารถเปลี่ยนฉากทัศน์ทางการเมืองใหม่ เพราะมี สว. น้ำดีในสภา ที่จะกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ผมดูการจัดสรรตำแหน่งในกรรมาธิการก็ถือว่ามีความประนีประนอมกันระดับหนึ่ง กรรมาธิการจาก สส. ของทุกพรรค ผมก็ยังไม่เห็นมีกรรมาธิการคนไหนบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ควรแก้นะครับ เพราะฉะนั้นโมเดลของ สสร. ผมเชื่อว่าก็จะเป็นไปตามที่หวัง แต่จะต้องหาจุดประนีประนอมกันกับศาลรัฐธรรมนูญ”
รศ. ดร.ธนพร ศรียากูล
ส่วนทางฟากฝั่งสภาสูง วีรยุทธ สร้อยทอง สมาชิกวุฒิสภา เล่าว่า สว. หลายท่านก็ยังยืนหยัดและยังเชื่อมั่นในเรื่องการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้แต่ในประเด็นหมวด 1 และ หมวด 2 ที่เหล่า สว. ก็มองว่า เป็นเรื่องที่พอคุยกันได้อยู่ หรือหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ก็อยากจะมีบทเฉพาะกาลที่ให้ สว. ชุดนี้ยังคงอยู่เต็มวาระ
แต่สำหรับประเด็น สสร. วีรยุทธมองว่า สสร. ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีต่างหาก เขาอธิบายว่าถ้าเปรียบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เหมือนการออกแบบบ้าน เราก็ต้องให้สถาปนิกมาออกแบบ หาวิศวกรมาดูระบบ หาคนรับเหมามาสร้างบ้าน เพื่อให้บ้านของเราสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นการถกเถียงที่มาของ สสร. อาจทำให้บรรยากาศของการสร้างบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และบ้านที่ชื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้
“อย่างที่ผมบอกว่า สสร. มันไม่ได้เป็นโจทย์สุดท้าย เพราะโจทย์สุดท้ายของเราคือรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราอาจได้ สสร. ดีแล้ว แต่รัฐธรรมนูญจะดีหรือเปล่า เราไม่ได้การันตีนะครับ มันเป็นเรื่องที่ต้องฝากทางสังคมช่วยตกผลึกและช่วยตัดสินใจกันครับ” วีรยุทธทิ้งท้าย
วีรยุทธ สร้อยทอง