หากคลื่นลูกที่สามนั้นกลับมีเนื้อหาที่ต่างออกไป คำถามได้เปลี่ยนจากเรื่องของความดี กลายเป็นความถูกต้อง (righteousness) ซึ่งเกษมใช้คำที่เขาไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยยังไงให้คงนัยของความหมายได้มากที่สุดนั้นก็คือ well being
“ลูกที่สามอาจจะเรียกได้ว่าร่วมกับเรามากขึ้นก็คือปัญหาของโลกมันซับซ้อนขึ้น ความสัมพันธ์ในเชิงจริยศาสตร์หรือศีลธรรมมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเราคนเดียวเท่านั้น โลกของจริยศาสตร์มันยังสัมพันธ์กับผู้อื่น สัมพันธ์กับมิติต่าง ๆ ที่เราอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ก่อนโจทย์ของจริยศาสตร์มันพุ่งไปสู่สิ่งที่เรียกว่าดี แต่นี่คำถามถูกยกขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่ชีวิตที่ดีคืออะไร? แต่เป็น what is well being
“โดยเวลาที่พูดถึง well being มันได้ย้ายฐานทางจริยศาสตร์สองเรื่องหลัก เรื่องแรกคือการพูดถึงชีวิตและคุณค่าทางจริยศาสตร์ เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอะไรคือ ความดี อะไรคือคุณธรรม แต่เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำนั้นดีหรือเปล่า การทำดีเป็นเรื่องปกติ แต่การถามว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีหรือเปล่ามันไม่เพียงพอต่อการพูดถึง well being และเพราะการพูดถึง well being ของเรา มันจะถามคำถามใหม่ว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือเปล่า จากการที่จริยศาสตร์ก่อนหน้านี้มันเน้นเรื่องความดี มาเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร ซึ่งอะไรที่ถูกที่ควรมันมากกว่าเรื่องที่ดี เราไม่ได้ปฏิเสธว่ามันมีเรื่องความดีอยู่ แต่เรามองว่าการกระทำอันนั้นสามารถดีด้วยที่ถูกที่ควรด้วย”
ทำไมรัฐสวัสดิการจึงตอบโจทย์ทางจริยศาสตร์ เพราะว่าคำถามของจริยศาสตร์ปัจจุบันนั้นผูกอยู่กับเรื่องของความถูกต้องและ well being ด้วยรัฐสวัสดิการที่พยายามจะกระจายทรัพยากร นั้นสามารถตอบโจทย์ของจริยศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับคำถามเรื่องความยุติธรรม และไม่ใช่ตอบคำถามเฉพาะแนวทางแบบฝ่ายซ้ายเท่านั้นด้วย โดยเกษม เพ็ญภินันท์ได้กล่าวถึงจอห์น รอลส์ นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันผู้มีคุณูปการต่อความคิดของเสรีนิยมว่าก็มีอิทธิพลต่อการวางรากฐานความคิดเรื่องสวัสดิการด้วย
“จริง ๆ กำเนิดของรัฐสวัสดิการมันโยงกับปัญหาทางจริยศาสตร์เรื่องความยุติธรรมด้วยในเวลาเดียวกัน เวลาเราพูดถึง well being โจทย์ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง (what is the right thing to do) มันโยงไปกับประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะเรื่องของความยุติธรรม (justice) ด้วย”
ทั้งนี้เกษมยังได้บอกอีกว่าคำถามเกี่ยวกับ well being นี้ทำให้มีความสนใจในเรื่องของบทบาทหน้าที่มากยิ่งขึ้นและมองข้ามบุคลิกส่วนตัวไป ความเป็นคนดีอาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากับความเป็นมืออาชีพอีกแล้ว โดยเกษมได้ยกตัวอย่างความไม่พอใจของคนในกรณีอธิบดีกรมปศุสัตว์ซึ่งไม่ได้ทำการลาออกจากกรณีหมูแพง เพราะว่าถึงตัวอธิบดีกรมปศุสัตว์จะไม่ได้ผิด แต่ในฐานะอธิบดีกรมปศุสัตว์ก็ควรจะมีการแสดงความรับผิดชอบบ้าง
และเพราะเหตุนั้นเองประเด็นเรื่องรัฐสวัสดิการจึงไม่ได้เพียงตอบโจทย์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์ทางจริยศาสตร์เรื่องของ well being ด้วย ซึ่งสำหรับเกษม เพ็ญภินันท์มองว่าตราบใดที่ยังไม่สามารถตอบคำถามเรื่องนี้ได้ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังให้ประชาชนหันมาทำอะไรเพื่อสังคม
“สังคมไม่ทำให้คนเหล่านี้มีโอกาส ตราบใดก็ตามที่คุณไม่สามารถสร้าง well being ให้เขาได้ อย่าคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะขยับหรือทำอะไรให้กับสังคมที่อยู่ให้ดีขึ้นได้มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่”