เครือข่ายประกันสังคม ม.40 : ลงทุนเล็ก สร้างผลกระทบใหญ่ - Decode

เครือข่ายประกันสังคม ม.40 : ลงทุนเล็ก สร้างผลกระทบใหญ่

Welfare state
Reading Time: 2 minutes

ประกายไฟลามทุ่ง

รศ.ดร. ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

เมื่อพูดถึงประกันสังคม คนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึงมาตรา 33 สำหรับลูกจ้าง หรือมาตรา 39 สำหรับผู้ว่างงาน แต่มักมองข้ามมาตรา 40 ซึ่งเป็นประกันสังคมภาคสมัครใจที่เริ่มมาแล้วกว่าสิบปี ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองกลุ่มแรงงานที่ไม่มีผู้จ้าง เช่น แรงงานนอกระบบ เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการรายย่อย

ประกันสังคม ม.40 ถือเป็น “ประกัน” ที่เข้าถึงได้ที่สุดในประเทศไทย ด้วยอัตราเบี้ยเริ่มต้นเพียง 70 บาทต่อเดือน รับสมัครตั้งแต่อายุ 15-65 ปี และที่สำคัญ คือคุ้มครองทุกโรคประจำตัว หากมองเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ได้รับเทียบกับเบี้ยที่จ่าย ถือว่าคุ้มค่ามากกว่าประกันเอกชนหลายตัว

ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ประกันตน ม.40 มีประมาณหนึ่งล้านกว่าคน แต่เมื่อรัฐบาลผูกการเยียวยาโควิดเข้ากับการสมัคร ม.40 ทำให้ยอดผู้สมัครพุ่งสูงขึ้นเป็นสิบกว่าล้านคน อย่างไรก็ตาม ส่วนมากของผู้สมัครใหม่เหล่านี้ไม่ได้สมทบเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และก็ไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ต่อเนื่องได้

ปัญหาใหญ่ที่มองข้ามไปคือ ทรัพยากรของสำนักงานประกันสังคมส่วนมากถูกใช้สำหรับการดูแลผู้ประกันตน ม.33 ส่วนการบริหารจัดการ ม.40 ไม่ได้รับการจัดสรรที่เหมาะสม ในขณะที่งบประมาณหลายพันล้านบาทถูกใช้ไปกับกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อผู้ประกันตนโดยตรง อย่างเช่น การจัดงาน event ต่าง ๆ ที่ใช้งบหลายสิบล้านบาท การผลิตปฏิทิน และสื่อประชาสัมพันธ์ที่มักจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือการดูงานต่างประเทศที่ใช้งบหลายล้านบาทต่อครั้งแต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ในช่วงที่ผ่านมา คนที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนภาคสมัครใจในสัดส่วนสูงที่สุดคือ “เครือข่ายประกันสังคม ม.40” ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่อาสาทำงานช่วยเหลือผู้ประกันตนในชุมชน พวกเขาทำหน้าที่การช่วยเหลือเรื่องการสมทบเบี้ย การอธิบายสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การติดตามปัญหาและแก้ไข และการให้คำปรึกษาเบื้องต้น สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ เครือข่ายเหล่านี้ได้รับค่าตอบแทนเพียง 13 บาทต่อครั้งในการนำผู้ประกันตนรายใหม่เข้ามาสมัคร และหลังจากนั้นก็ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ อีก ทั้งที่ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง

การเปรียบเทียบงบประมาณที่ใช้ไปกับการจัดงาน event หนึ่งครั้งที่อาจใช้งบประมาณหลายล้านบาท กับงบที่ใช้ในการจ่ายค่าตอบแทนเครือข่ายทั้งปีที่เพียง 3.5 ล้านบาท นับเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญที่ผิดเพี้ยน การจัดงานใหญ่โตอาจสร้างการรับรู้ในระยะสั้น แต่เครือข่ายเหล่านี้สร้างผลกระทบที่แท้จริงต่อความยั่งยืนของระบบประกันสังคม ข้อมูลปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเครือข่ายอย่างชัดเจน ผู้ประกันตนที่อยู่ใต้การดูแลของเครือข่ายจำนวน 417,000 คน มีผู้สมทบต่อเนื่องถึง 132,565 คน คิดเป็น 31.76% ซึ่งสูงกว่าอัตราการสมทบปกติที่ 14% เป็นสองเท่า ตัวเลขนี้พิสูจน์ได้ว่า การมีเครือข่ายที่ดูแลอย่างใกล้ชิดส่งผลให้ผู้ประกันตนมีการสมทบต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของกองทุน

คณะกรรมการประกันสังคมได้อนุมัติการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับเครือข่ายเป็น 3.50 บาทต่อเดือนต่อผู้ประกันตนที่สมทบต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเล็กน้อย แต่ผลกระทบที่คาดการณ์ได้นั้นมหาศาล จากการศึกษาคาดการณ์ว่าการเพิ่มค่าตอบแทนนี้จะทำให้อัตราการสมทบต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็น 50% ส่งผลให้ผู้สมทบเพิ่มขึ้น 83,300 คน สร้างรายรับเพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพียง 3.5 ล้านบาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุนสูงถึง 28.5 เท่า

ข้อมูลปัจจุบันแสดงว่า สิทธิประโยชน์ ม.40 จ่ายไปเพียง 30% ของเงินสมทบที่เก็บได้ หมายความว่ากองทุนยังมีเงินเหลือเก็บอยู่ 70% การเพิ่มจำนวนผู้สมทบจะช่วยสร้างความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว และช่วยให้ระบบประกันสังคมโดยรวมแข็งแกร่งขึ้น ภายใต้ระบบใหม่ เครือข่ายระดับประเทศที่ดูแลผู้ประกันตนจำนวนมากอาจได้รับค่าตอบแทนประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน

ขณะที่เครือข่ายทั่วไปจะได้รับในระดับหลักร้อยถึงหลักสิบบาท สิ่งที่น่าคิดคือ ในเมื่อสำนักงานประกันสังคมสามารถใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทในการจัดงานแสดงสินค้าหรือ event ต่าง ๆ ที่ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน ทำไมการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับเครือข่ายที่สร้างผลกระทบจริงกลับต้องใช้เวลาหลายปีในการพิจารณา การผลิตปฏิทินที่ใช้งบหลายล้านบาทแต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือการส่งคณะผู้บริหารไปดูงานต่างประเทศที่ใช้งบหลายล้านบาทต่อครั้ง แต่ไม่เห็นการนำความรู้มาปรับปรุงระบบ เหล่านี้คือตัวอย่างของการใช้งบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ

โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่านั้น โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความสำคัญของ “คนกลาง” ในระบบประกันสังคม การมีเครือข่ายที่เข้าใจระบบและใกล้ชิดกับผู้ประกันตนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เครือข่ายประกันสังคม ม.40 คือ “ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่ทำงานเบื้องหลัง เพื่อให้ระบบประกันสังคมภาคสมัครใจดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเพิ่มค่าตอบแทนให้กับพวกเขาไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรม แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสังคมไทย โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการตัดสินใจที่ดูเล็กน้อย แต่ถูกต้องและเป็นธรรม สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงมหาศาลได้ หากหน่วยงานรัฐสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในการทบทวนการจัดสรรงบประมาณ โดยลดการใช้จ่ายในกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อประชาชนโดยตรง และเพิ่มการลงทุนในสิ่งที่สร้างผลกระทบจริง ประเทศไทยจะพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น

การอนุมัติค่าตอบแทนเครือข่ายประกันสังคม ม.40 จึงไม่ใช่เพียงแค่ การจ่ายเงินเล็กน้อยให้กับคนที่ทำงาน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการใช้งบประมาณของรัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น