Reading Time: 2 minutes
4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา NDC 3.0 ถูกผลักดันมานโยบายระดับประเทศในการมีส่วนร่วมให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์รวดเร็วมากขึ้นมาเป็นปี 2050 จากเดิมที่กำหนดไห่างไกลออกไปถึง 15 ปี แผนการบรรลุเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมใหม่นี้ อุตสาหกรรมพลังงานยังคงเป็นหนึ่งจุดที่ต้องจับตาการเปลี่ยนผ่านเพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้ามติรับรองการเปลี่ยนผ่านพลังงานหมุนเวียน นายกรัฐมนตรีระหว่างไทยและสหรัฐร่วมลงนามในข้อตกลงยุทธศาตร์ส่งเสริมการลงทุนและความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม กลายเป็นหนึ่งในข้อลงนามที่เรียกว่า ‘MOU แร่สำคัญ’ หนึ่งในนั้นคือแร่แรร์เอิร์ธ จากธาตุสำคัญกว่า 17 ชนิดที่ถูกใช้อย่างมากในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมไปถึงส่วนประกอบของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้ควบคุมห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญมาตลอดหลายทศวรรษคือจีน และเป็นกุญแจสำคัญให้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจจากการลงทุนอุตสาหกรรมแร่ โดยมีแหล่งฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศเมียนมา และไทยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ควบคุมเส้นทางการส่งออกแร่
วันนี้สหรัฐฯ กำลังพยายามมีบทบาทในเศรษฐกิจการค้าแร่ ท่ามกลางสงครามการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจผ่านการช่วงชิงพื้นที่ทรัพยากร สร้างพันธมิตรผ่านข้อตกลงทางการค้า ลงนามการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การศึกษาวิจัยแหล่งการผลิต เพื่อถ่วงดุลอำนาจเศรษฐกิจการค้ากับจีนและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่
การตัดสินใจลงนามกับสหรัฐฯ ของไทย ที่มีมาเลเซียและญี่ปุ่นร่วมข้อตกลงในลักษณะเดียวกัน แม้ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่อาจส่งผลให้ประเทศตกอยู่ในสถานะ ทางแยก ในห้วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ที่ไทยอาจเป็นเพียง ‘จุดแวะพัก’ ของการเป็นแหล่งนำเข้าทรัพยากรแร่สำคัญ เกิดการผลิต ถลุงและแต่งแร่ ก่อนส่งออกไปเป็นวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมให้ประเทศมหาอำนาจซึ่งเป็นปลายทางของผู้ได้รับผลประโยชน์
ในช่วงเวลาที่หากใครเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจของแร่สำคัญ ก็เท่ากับครอบครองสถานะมหาอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ ธารา บัวคำศรี Climate Connectors กล่าวภาพรวมถึงปัญหาการนิยามความหมายคำว่า ‘แร่สำคัญ’ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศถูกระบุไว้แตกต่างกัน และกำลังสร้างมุมมองที่สะท้อนความต้องการใช้งานแร่ในแต่ละประเทศที่ไม่เทียบเท่ากัน รวมถึงบทบาทของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปลุกกระแสมูลค่าการลงทุนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เช่นในประเทศไทยที่เคยมีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุกตามแนวชายฝั่งทะเลอันดามัน ก็มีการประเมินว่าจะเป็นแหล่งที่พบแร่สำคัญอย่างเช่นแรร์เอิร์ธเช่นเดียวกันตามองค์ความรู้ทางธรณีวิทยา
ข้อกังวลถึงผลประโยชน์ของประเทศในการร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมแร่กับสหรัฐฯ ที่ระบุเพียงผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุนทางอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นทางการทั้งในทางการร่วมเจรจาและทางกฎหมายที่จะเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับร่วมกันระหว่างประเทศ คือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการลงทุนศึกษาศักยภาพการลงทุน การรับผิดรับชอบถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ ที่ประเทศไทยวางการประเมินทางสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์หรือ SEA ไว้เป็นเพียงแนวทาง โดยยังไม่ได้มีการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ทางสิ่งแวดล้อมระดับประเทศ
“ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทบอกประชาชนในภาพรวมว่ารัฐจะดำเนินการอุตสาหกรรมแร่อย่างไร แต่ไม่ได้มีแนวทางการใช้ประโยชน์จากแร่ในห่วงโซ่อุปทาน เพราะไทยยังไม่มีแผนการจัดการทรัพยากรรวมถึงแนวทางการป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทำได้แค่คาดการณ์ว่าเป็นการร่วมลงนามก่อนจึงจะกำหนดแผนการรองรับภายหลัง ”
สุทธิเกียรติ คชโส มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ประเมินโอกาสความเป็นไปได้ถึงการที่การลงนามดังกล่าวจะกลับกลายเป็น ‘ข้อบังคับ’ ทางกฎหมายภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี ที่จะถูกบังคับใช้ไปกระทั่งถึงปี 2580 ร่วมไปกับ พ.ร.บ.แร่ 2560 ที่มีแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ที่จะปรับแก้ในทุก 5 ปีควบคู่กันไป แม้แผนแม่บทที่กำหนดถึงปี 2070 ยังไม่ได้มีการระบุแร่แรร์เอิร์ธเป็นแร่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าหลังจากมีการลงนามในข้อตกลง จะมีการปรับแก้นิยามของแร่สำคัญนอกเหนือจากควอส โปแตซ ทองคำและหินปูนอุตสาหกรรมที่ไทยได้กำหนดไว้ รวมไปถึงแผนการศึกษาวิจัยความคุ้มค่าของการลงทุนอุตสาหกรรมทรัพยากรแร่ ที่แม้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี จะมีการกำหนดชี้ชัดว่าประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม แต่ก็เป็นเพียงการรับรู้กระบวนการใช้ประโยชน์แร่ผ่านการค้าของรัฐ ซึ่งแตกต่างจากชุดข้อมูลที่ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนาศักยภาพแร่ร่วมกับประเทศทวิภาคี
รายละเอียดของการลงนามที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างรัดกุมนอกเหนือไปจากการเอื้อประโยชน์ให้เกิดการลงทุนเชิงอุตสาหกรรม นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ข้อตกลงครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงความร่วมมือถึงแนวทางการฟื้นฟูผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการศึกษาอุตสาหกรรม เปิดสัมปทานให้กับผู้เข้ามาลงทุนโดยยังไม่มีแผนการรองรับผลกระทบ และเป็นการตอกย้ำช่องว่างทางกฎหมาย ที่ประเทศไทยมีกรณีตัวอย่างจากการลงทุนอุตสาหกรรมแร่ในอดีต แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบให้ระบบนิเวศกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ และต้องใช้การขับเคลื่อนการรับผิดรับชอบจากผู้ลงทุนและรัฐผ่านเสียงของประชาชนในพื้นที่ เช่นกรณีเหมืองแร่ตะกั่วคลิตี้ กาญจนบุรี และเหมืองทองวังสะพุง จังหวัดเลย
เช่นเดียวกับความคิดเห็นของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ที่มองกระบวนการกรอบของกฎหมายแร่ภายหลังข้อตกลงที่ได้ร่วมลงนามไว้อย่างเปิดกว้าง และยังไม่มีกฎหมายที่รัดกุมเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปกับ พ.ร.บ. มาตรา 20 ของ พ.ร.บ. แร่ ที่วางไว้ว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) สามารถประกาศพื้นที่เขตศึกษาวิจัยและสำรวจแร่หายาก โดยไม่ต้องยื่นขอสัมปทานเพื่อให้บริษัทผู้ลงทุนเข้าไปประเมินศักยภาพความคุ้มค่าของการลงทุน ส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถยื่นขอประทานบัตรประกอบการลงทุนอุตสาหกรรมได้ โดยไม่เสียงบประมาณการศึกษาความคุ้มค่าทางการค้าก่อนการยื่นขอเอกสารประทานบัตรการลงทุนอุตสาหกรรม อีกทั้ง กพร.ยังสามารถประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมผ่านรายงาน EIA ซึ่งหากไม่มีการวางแผนให้มีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ กำกับดูแลการขออนุญาตให้มีความชอบธรรม ก็จะถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ลงทุนอุตสาหกรรมในพื้นที่ศักยภาพแร่จากการลดขั้นตอนความยุ่งยากของการได้รับอนุญาต
“หากการกำหนดพื้นที่ศักยภาพแร่ ขอสัมปทานบัตร ศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสามารถทำได้ภายในการดูแลของ กพร. เพียงหน่วยงานเดียว คำถามที่ตามต่อมาคือหน่วยงานใดจะกำกับดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมเหมือง”
ผลกระทบหนึ่งที่ชี้ชัดจากอุตสาหกรรมเหมืองที่ไหลผ่านสายน้ำข้ามพรมแดนหลายร้อยกิโลเมตร ดร. สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ขยายความถึงบทบาทในการลงนามข้อตกลงว่าสหรัฐฯ ที่ระบุไว้ว่า ‘ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปของไทย’ ประกอบกับตัวเลขการนำเข้าและส่งออกแร่ โดยเฉพาะแร่สำคัญของสหรัฐอย่างพลวง นิกเกิล ในอนาคตไทยอาจเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมการแปรรูปแร่สำคัญก่อนส่งออกไปยังประเทศอุตสาหกรรมปลายทาง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ก่อมลพิษและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณโดยรอบ และสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้น เนื่องจากแร่ที่ไทยนำเข้าจากเมียนมา มีปลายทางการส่งต่อไปยังประเทศจีน แต่การที่ไทยร่วมลงนามกับสหรัฐ จะส่งผลให้เกิดการเจรจาสัดส่วนของแร่ที่ไทยจะส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมแร่ในเมียนมา จึงต้องเร่งกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับอุปสงค์ความต้องการใช้งานของสองประเทศมหาอำนาจ
สถานการณ์ของพื้นที่ผลกระทบในสายน้ำกกวันนี้ยังไม่ถูกแก้ไข ประชาชนในพื้นที่ต้องอยู่กับผลกระทบ ไม่สามารถใช้ทรัพยากรน้ำจากการปนเปื้อนได้ และจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูเยียวยา ที่มีการคาดการณ์จากคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษามลพิษทางน้ำข้ามแดนว่า 1,200 ล้านบาทคืองบประมาณที่จำเป็นต่อการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ โดยยังไม่นับรวมกับมูลค่าที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมตลอดสายฝั่งน้ำ และอาจถึงช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องประเมินความคุ้มค่าของผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนอุตสาหกรรมแร่สำคัญ เมื่อต้องหักลบกับการเยียวยาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบไปให้กับประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมต่อการพิจารณาการลงทุนด้านอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษ และการเจรจาให้ประเทศต้นทางการผลิตอย่างเมียนมาร่วมกำหนดแนวทางการแก้ไขก็ยังไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจน
การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการเปลี่ยนผ่านแร่ที่เป็นธรรม และจะเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตเพื่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม ที่แร่เป็นทรัพยากรหนึ่งไม่ต่างจากดิน น้ำและป่า ในขณะที่สัญญาณหนึ่งจากสหรัฐ ที่การลงนามในข้อตกลงเพื่อผลโยชน์จากทรัพยากรแร่สำคัญ ส่งผลให้ไทยกำลังกลายเป็นแหล่งทำเหมือง ผลิต ถลุง และแต่งแร่ นั่นหมายถึงตลอดเส้นทางของกระบวนการก่อนถูกนำไปเป็นองค์ประกอบในกระบวนการผลิต และแร่สำคัญกลายเป็นเครื่องกำหนดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยมีไทยเป็นแนวด่านหน้าระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ สมมาตรที่ไทยต้องหาจุดยืนโดยไม่สูญเสียทรัพยากรสำคัญและการมีส่วนร่วมของประชาชน ผ่านการกำหนดพื้นที่สงวนหวงห้ามในกรณีที่ค้นพบทรัพยากรแร่ แต่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการนำศักยภาพแร่มาใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อการลงทุนโดยไม่กระทบถึงสิ่งแวดล้อม และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมต่อการตัดสินใจกำหนดทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศ และสิ่งสำคัญที่ยังไม่เกิดขึ้นของกระบวนการอุตสาหกรรมไทย คือระบบตรวจสอบย้อนกลับเส้นทางของกระบวนการเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทางการค้า ซึ่งจะเป็นจุดตั้งต้นของการพัฒนายุทธศาสตร์แร่เพื่อความยั่งยืน
เนื้อหาในบทความนี้รวบรวมประเด็นและข้อสังเกตุที่สำคัญจาก (1)เสวนา “MOU สหรัฐฯ เหมืองแร่จีน หายนะไทย : ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ (Critical Minerals) ในลุ่มน้ำกก โขง สาละวิน : นโยบายพรรคการเมืองและข้อเสนอภาคประชาสังคม” (2)รายการฟังเสียงประเทศไทย ไทยพีบีเอส : แร่สำคัญและแร่หายาก…ข้อเสนอสู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม