แอมเบียนต์ชีวิตที่ ‘กลิ่น’ เดินทางไปพานพบ
Reading Time: 2 minutesสูดกลิ่นความจริง บทสนทนาว่าด้วย "แอมเบียนต์ชีวิต" ของคนที่โดดเดี่ยวแห่งยุคสมัยมาเจอกันในจุดนัดพบ(ก่อนราตรี) ณ วิภาวดีรังสิต
หยุดคุกคามประชาชน
ยุบสภา
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
สามข้อเรียกร้องจากคนรุ่นใหม่ในม็อบ #เยาวชนปลดแอก ที่ขยายไปสู่การชุมนุมทั่วประเทศ
ในขณะที่คนรุ่นใหม่กำลังฮึกเหิมสร้างแฮชแท็กใหม่ ๆ และเสนอ #ไอเดียออกม็อบ กันไม่เว้นแต่ละวัน “ผู้ใหญ่” หลายคนกลับรู้สึก “ขัดใจ” และสงสัยว่า โถ มันจะมีคนมาร่วมชุมนุมกันสักกี่ค้นน (เสียงสูง เบ้ปากนิด ๆ ส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ)
กระแสโต้กลับที่ดูแคลนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ว่าเป็นขบวนการของ “เด็ก ๆ” ที่ “ถูกจัดตั้ง” หรือมองว่า “เป็นเด็กมีหน้าที่เรียนก็เรียนไป” คนที่เชื่อแบบนี้นอกจากจะยังไม่เข้าใจแนวคิดของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว อาจจะยังไม่เข้าใจพลวัตการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะหากเข้าใจ เราจะไม่เห็นแค่เด็กนักเรียนใส่ชุดม.ปลายชูป้าย “อตอห” (และไม่งงว่ามันแปลว่าอะไร) แต่เราจะมองเห็นเครือข่ายของคนอีกจำนวนมากที่คิดเหมือนกัน รู้สึกเหมือนกัน เข้าใจมุกตลกเดียวกัน เป็น “เพื่อน” ที่สื่อสารและสนับสนุนกันอยู่ตลอดเวลาในโลกออนไลน์ (แม้ชุมนุมสลายตอนเที่ยงคืนก็ยังทวีตกันต่อยันเช้า)
จากรัฐประหารวันนั้นถึงการชุมนุมวันนี้ คนรุ่นใหม่ไทยใช้ทวิตเตอร์เป็นที่มั่นสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระบายความรู้สึก แชร์ข้อมูลที่สื่อหลักไม่รายงาน ช่วยคนที่ถูกละเมิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ร่วมกันสร้างภาษาเพื่อดันเพดานเสรีภาพในการแสดงออก และแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันผ่านหลากหลายแฮชแท็ก เครือข่ายหลวม ๆ ของ “เพื่อนที่ไม่รู้จัก” ร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในโลกออนไลน์จนสุกงอม พร้อมแสดงพลังในโลกออฟไลน์อย่างที่เรามีโอกาสได้ชื่นชม
ใครที่ตายังพร่า มองเห็นแค่ส่วนที่โผล่พ้นน้ำของภูเขาน้ำแข็งและยังคิดว่า “เด็กพวกนี้ มันต้องมีท่อน้ำเลี้ยงแน่ ๆ”
บทความนี้ชวนทำความเข้าใจการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล และชวนมองฐานอันแข็งแกร่งของภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ใต้กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก

“Well, I’m now in Amsterdam so I can speak about it.”
หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าเกริ่นขำ ๆ เราคุยกันเรื่องเสรีภาพสื่อในประเทศไทยกลางตลาดนัดแห่งหนึ่งในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
“เสรีภาพสื่อในไทยค่อนข้างจำกัด มีกฎหมายที่ทำให้เราแสดงออกอย่างเสรีไม่ได้ แต่ถ้าเราดูในโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มันไวรัลมากเลย”
หญิงสาวตอบพร้อมลงรายละเอียดในเรื่องที่สื่อไทยไม่กล้ารายงาน
อยู่ต่างประเทศพูดได้ อยู่ไทยต้องอยู่เป็น หลักการเอาชีวิตรอดสำคัญที่คนไทยหลายคนคงเข้าใจดี หลักการที่สะท้อนสภาพสังคมไทยได้ชัดเจนที่สุด
ขอบคุณกันเสร็จสรรพ เธอเดินจากไป ไม่มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาขอดูบัตร ไม่มีใครมาขู่ ไม่มีชายหัวเกรียนแอบถ่ายภาพรายงานตามนายสั่งมา มองซ้ายมองขวา ผู้คนเดินผ่านไปมาตามปกติ เสรีภาพในการแสดงออกที่ไม่ต้องเล่นมุกตลกเกี่ยวกับคุกเพื่อกลบความกลัวมันหอมหวานแบบนี้นี่เอง มองย้อนกลับมาที่บ้านเรา พื้นที่สาธารณะและบทสนทนาแบบตรงไปตรงมา คือสิ่งที่ไม่(ถูกอนุญาตให้)มีในประเทศไทย เพราะตั้งแต่คสช. ทำการรัฐประหารในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน เราเห็นประชาชนและนักกิจกรรมถูกข่มขู่และแจ้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด สื่อมวลชนก็ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองจนแทบไม่ได้ทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
เมื่อพื้นที่สาธารณะในโลกออฟไลน์ไม่ใช่พื้นที่แห่งเสรีภาพอีกต่อไป จึงไม่น่าแปลกใจที่บทสนทนาในโซเชียลมีเดียจะร้อนแรงและมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

หากเรามองความเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ยุคที่คนรุ่นใหม่โตมากับการหลอมรวมทางเทคโนโลยีการสื่อสาร (Convergent technologies) Zizi Papacharissi อาจารย์ด้านการสื่อสารจากประเทศสหรัฐอเมริกาอธิบายว่า คนเรารู้สึกไม่พอใจและรู้สึกไร้พลังเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะในโลกออฟไลน์ เรารู้สึกรัฐบาลไม่ฟังเรา รู้สึกว่าเสียงของเราไม่มีอำนาจ เราเลย “ล่าถอย” เข้าสู่โลกออนไลน์ โลกที่เราสามารถแสดงความคิดเห็นและแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเราได้มากกว่า เราสามารถสร้าง “อวตาร” ในโซเชียลมีเดียที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของเราหรือจะใช้มันเพื่อซ่อนความเป็นตัวตนของเราก็ได้ เราใช้ชื่อในทวิตเตอร์ว่า “นิรนาม_BlackPink_Democrazy_III” เป็น “แอกหลุม” แอกเคาท์ที่ไม่มีใครรู้ว่าเราคือใคร แถมเรายังมีมากกว่าหนึ่งแอกเคาน์ ใช้อีกชื่อหนึ่งสำหรับเพื่อนที่โรงเรียน ส่วนเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง เอาไว้เป็นเพื่อนกับพ่อแม่และญาติ ๆ ให้พวกเขาสบายใจ นี่คือสิ่งที่โลกออนไลน์ให้ได้ โซเชียลมีเดียมอบอำนาจการปกครองตัวเอง (autonomy) และความยืดหยุ่นในการแสดงออกให้กับเรา โดยเฉพาะในสังคมที่รัฐกดขี่และคุกคามการแสดงออกของประชาชน
การล่าถอยสู่โลกออนไลน์ของประชาชนเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการปกครองของรัฐบาล ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน ในยุคดิจิทัล เราคือประชาชนที่คอยติดตามตรวจสอบความเป็นไปในสังคมอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งในพื้นที่ส่วนตัวของเรา เราคือประชาชนที่มีความสามารถในการประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการคุกคามของรัฐบาลได้ เราคือประชาชนที่ใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ในการเจรจาต่อรองอำนาจในการแสดงออกที่ถูกจำกัดในโลกออฟไลน์ เราทวีตแสดงความคิดเห็นต่อการประชุมสภาได้ขณะที่นอนอยู่บนเตียง ลงชื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินใน change.org ช่วงพักเบรกขณะทำงาน หรือถกกับ IO และคนที่เห็นต่างจากเราอย่างเข้มข้นตอนนั่งอยู่บนโซฟาที่บ้าน สมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตจึงเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา รวมไปถึงวิถีในการแสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต
Zizi Papacharissi อธิบายว่าเทคโนโลยีการสื่อสารที่หลอมรวมอยู่ในสมาร์ทโฟนเบลอเส้นแบ่งระหว่าง “สาธารณะ” กับ “ส่วนตัว” แม้เราจะทวีตแบบบ่น ๆ สไตล์เรา จากโต๊ะกินข้าวที่บ้านในวันหยุด (และใส่ชุดนอน) เราอาจจะได้เข้าร่วมบทสนทนาบนพื้นที่สาธารณะออนไลน์ทั้งแบบรู้ตัว (ตั้งใจติดแฮชแท็กขณะบ่น) และไม่รู้ตัว (ทวีตเฉย ๆ แต่ดันไวรัล มีคน retweet และ reply เยอะ) ในยุคที่คนไทยออกมาชุมนุมแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องในโลกออฟไลน์ได้ยากขึ้นจากการถูกจำกัดเสรีภาพโดยรัฐ เมื่อเราเปิดแอปทวิตเตอร์ เลื่อนดูข้อความตามแฮชแท็กการเมืองต่าง ๆ บางข้อความตรงและแรงจนต้องกรีดร้องในใจดัง ๆ

หากลองมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านคอนเซปต์หนึ่งที่เรียกว่า “Preference Falsification” ที่อธิบายว่า คนเราแสดงออกในพื้นที่สาธารณะต่างไปจากพื้นที่ส่วนตัว จริง ๆ เราอาจจะไม่ได้ชอบสิ่งหนึ่งที่ค่านิยมทางสังคมบอกว่าเราควรชอบ เวลาอยู่ในพื้นที่สาธารณะเราก็อาจจะเลือกที่จะแสดงออกว่าชอบตามกระแสไป (อยู่เมืองไทยต้องอยู่เป็น) เป็นพฤติกรรมที่นักวิชาการบอกว่ามักจะเกิดในสังคมเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก เทคโนโลยีการสื่อสารที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างสาธารณะกับส่วนตัว ทำให้บางคนรู้สึกว่าโลกออนไลน์คือพื้นที่ปลอดภัยที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด และแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงได้มากที่สุด การหลอมรวมของเทคโนโลยีที่หลอมรวม “สาธารณะ” กับ “ส่วนตัว” ช่วยเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกในใจของคนรุ่นใหม่ในทวิตเตอร์เป็นความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะออนไลน์ที่ไม่ถูกอนุญาตให้แสดงออกได้หน้าทำเนียบรัฐบาล
ในยุคดิจิทัล หากเรายังมองการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนในศตวรรษที่ 21 ผ่านแว่นตาเก่าที่ใช้มาจนร้าว เราอาจจะมองไม่เห็นคุณค่าและนัยยะต่าง ๆ ของเหตุการณ์ที่กำลังเป็นไป
งานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ไม่นานของ Adel Iskandar นักวิชาการชาวอียิปต์ ศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในอียิปต์ในปัจจุบัน ครั้งหนึ่งในปรากฏการณ์อาหรับสปริง พวกเขาคือเจเนอเรชั่นที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกโดยมีโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เมื่อเรามองอียิปต์ในวันนี้ คนรุ่นใหม่เหล่านั้นกลับต้องเผชิญกับการคุกคามจากรัฐ บ้างติดคุก บ้างต้องลี้ภัย ที่เหลืออยู่ในประเทศต้องอดทนอดกลั้น ระมัดระวังในการแสดงออก อียิปต์ในวันที่ไม่มีใครกล้าลงถนน หลายคนอาจจะมองว่า คนรุ่นใหม่แพ้แล้ว แต่ Adel บอกว่า ไม่จริง พวกเขาไม่ได้แพ้ คนรุ่นใหม่ในอียิปต์ทุกวันนี้ใช้พื้นที่ออนไลน์ในการสร้างมีม สร้างมุกตลกเสียดสีเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา Adel ถกเถียงว่า รูปแบบการแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่บนพื้นที่ออนไลน์ภายใต้บริบทการกดขี่ของรัฐแบบนี้ มีนัยยะสำคัญและมีความหมายเท่ากันกับการลงถนนประท้วงในยุคอาหรับสปริง!

จำ “นิรนาม_BlackPink_Democrazy_III” แอกเคาน์ของเราในทวิตเตอร์ (ที่เพิ่งยกตัวอย่างไป) ได้ไหม?
ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ทวิตเตอร์ค่อย ๆ กลายเป็นสนามความคิดเห็นสำคัญของคนรุ่นใหม่เมื่อลองดูการสื่อสารของผู้ใช้ที่คุยกันเรื่องการเมืองและเรื่องที่แทบคุยไม่ได้ในสังคมออฟไลน์ เราจะพบว่าคนส่วนใหญ่ใช้ “แอกหลุม” หรือแอกเคาท์นิรนาม ไม่เปิดเผยชื่อ-นามสกุล และตัวตนที่แท้จริง จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมการใช้แอกหลุมในทวิตเตอร์มีที่มาจากวัฒนธรรมเคป๊อปของเกาหลีใต้ที่มีการวัดความนิยมของศิลปินผ่านแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ ทำให้แฟนคลับสร้างแอกเคาน์ปลอมขึ้นมาเอาไว้ปั่นโหวตหรือปั่นแฮชแท็กเกี่ยวกับศิลปินที่ตนชื่นชอบให้ติดท็อปเทรนด์
แต่ในบริบทสังคมไทยที่ไร้เสรีภาพในการแสดงออก แอกหลุมที่เริ่มต้นมาจากวัฒนธรรมเคป๊อปกลับมีฟังก์ชันในการช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เจ้าหน้าที่รัฐขยันใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ที่สำคัญเมื่อไม่รู้ว่า “ใครเป็นใคร” ทวิตเตอร์จึงเป็นพื้นที่ที่ “เราเท่ากัน” มากกว่าแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กที่เต็มไปด้วยเพื่อน ญาติ พ่อแม่ ครู จะโพสต์อะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีก บนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ มันไม่สำคัญว่าคนที่เราเมนชัน (@) ไปคุยด้วยคือใคร สำคัญที่ว่า ภายใต้แฮชแท็ก (#) ที่ใช้ร่วมกันนี้ เราต่างสนใจในประเด็นเดียวกัน
บนพื้นที่ที่เราเท่ากันซึ่งหาได้ยากในโลกออฟไลน์ไทยแลนด์ คนรุ่นใหม่ในทวิตเตอร์ “แชท” กันเรื่องการเมืองในแบบที่นักวิชาการด้าน Political Communication เรียกว่า “everyday political talk” คือแชทกับเพื่อนทุกเรื่องรวมถึงเรื่องการเมืองด้วย (เพราะคนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเมืองอยู่ในทุกเรื่องของชีวิต ในขณะเป็นเด็กนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนพวกเขาก็เป็นประชาชนที่มีสิทธิ์มีเสียงด้วย เรื่องง่าย ๆ ที่ “ผู้ใหญ่” จำนวนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เข้าใจ) หากเราอ่านข้อความในทวิตเตอร์ตามแฮชแท็กการเมืองต่าง ๆ เราจะเห็นนัยยะของ “เพื่อน” ในบทสนทนาของคนรุ่นใหม่อยู่ตลอด
เราเข้าใจกันนะ เรารู้กันนะ มันคืออนาคตของพวกเรานะ เราโกรธและอึดอัดเหมือนกันนะ เราก็กลัวเหมือนกันนะ เราจะติดคุกด้วยกันนะ *tearsofjoyemoji* ทั้งหมดนี้ทำให้ Twitter Thailand เป็นพื้นที่ของ “เครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จัก” ที่วาดฝันและร่วมกันผลักดันให้สังคมออฟไลน์กลายเป็นพื้นที่ที่เราเท่ากัน
อย่าลืมว่าตั้งแต่คสช.มาจนถึงรัฐบาลที่นำโดยทหารในปัจจุบัน เราอยู่กันมาแล้วตั้งกี่ปี แต่ละปี มีกี่ประเด็นที่ชวนให้แสดงอารมณ์ในโลกออนไลน์? (เพราะแสดงออฟไลน์แล้วถูกจับ) ใช่ไหม! มันนับไม่ไหว! แม้เราจะไม่เห็นการเคลื่อนไหวในโลกออฟไลน์มากนัก แต่เครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักเขา tweet, retweet และ reply (รวมถึง DM ในแชทส่วนตัว) เพื่อแลกเปลี่ยนถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นไปของสังคมมาโดยตลอด หากย้อนกลับไปช่วงทวิตเตอร์ร้อนแรงสุด ๆ ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งปี 2562 จนถึงช่วงเวลาก่อนที่เจ้าไวรัสโควิด-19 จะเข้ามา เราเห็นเลยว่า เครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักของคนรุ่นใหม่ไม่ได้มาเล่น ๆ นอกจากการใช้แฮชแท็ก #ประชุมสภา และอีกหลายชื่อในการร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง แฮชแท็กอย่าง #saveนิรนาม และการรวมตัวกันแบบแฟลชม็อบของนักศึกษาหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียมีพลังในการขับเคลื่อนทางการเมืองและสังคม

ชายหนุ่มอายุ 20 ปีในจังหวัดชลบุรี ผู้ใช้ทวิตเตอร์แอกเคาน์ “นิรนาม_” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นห้องพัก และพาตัวไปยังสถานีตำรวจโดยไม่มีหมายจับ และถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ระบุสาเหตุจากการทวีตภาพและข้อความที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาถูกนำตัวฝากขังต่อศาลโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว กรณีนี้คือที่มาของ #saveนิรนาม แม้แทบไม่มีสื่อกระแสหลักรายงาน แต่ผู้ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กแชร์ข้อมูลข่าวสารเรื่องนี้ผ่านแฮชแท็ก #saveนิรนาม จนสามารถระดมทุนได้เกือบสองล้านบาท หลายคนเปลี่ยนชื่อแอกเคาน์ตัวเองเป็น “นิรนาม” เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หลายคนเรียกชายหนุ่มที่ถูกกักขังว่า “เพื่อน” ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บางคนทวีตข้อความแจกหนังสือและของฟรีอื่น ๆ ให้กับคนที่ช่วยสมทบทุน บางคนเมนชันสื่อต่างประเทศไปจนถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนพร้อมแปลเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ พวกเขาช่วยกัน “ระดมพล” และ “กำหนดวาระทางสังคม” ผ่านการ “ดันแฮชแท็ก” #saveนิรนาม จนทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งของ Twitter Thailand ณ ช่วงเวลานั้น จนกระทั่งนิรนามได้รับการประกันตัว
เพียงแค่วันเดียวหลังจากที่ชาวทวิตภพช่วยกัน #saveนิรนาม ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เสียงวิพากษ์วิจารณ์และความไม่พอใจผ่านเครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักถูกทวีตและรีทวีตเป็นรายวินาที หากเราศึกษาพลวัตการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ในทวิตเตอร์ช่วงนั้น ความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ทวีคูณนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนำไปสู่ “แฟลชม็อบ” ตามสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยแต่ละม็อบมีชื่อแฮชแท็กของตัวเอง นี่คือการออกสู่พื้นที่ออฟไลน์ครั้งแรกของเครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จัก เราเห็นการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันผ่านการใช้แฮชแท็ก คนที่ไปร่วมได้ทวีตมาจากสถานที่ชุมนุม คนที่ไปร่วมไม่ได้ทวีตรูปชูสามนิ้วของตัวเอง ทวีตเนื้อเพลง Do You Hear The People Sing? ที่คนในชุมนุมร่วมกันร้อง การเคลื่อนไหวทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ดำเนินควบคู่ไปด้วยกัน

หากเราขยายภาพออกมา เครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในปรากฏการณ์การมีส่วนร่วมทางการเมืองในศตวรรษที่ 21
การศึกษาของ Lance Bennett อาจารย์ด้านการสื่อสารคนสำคัญคนหนึ่งในวงการ Political Science พบว่า เทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อการรวมตัวกันของผู้คน ทุกวันนี้การจะรวมตัวทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ได้เรียกร้องการเป็นสมาชิกแบบเป็นทางการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป เทคโนโลยีการสื่อสารทำให้เราสร้างเครือข่ายแบบหลวม ๆ ของคนที่คิดเห็นตรงกัน เจอกันผ่านทางโลกออนไลน์ อาจจะลงถนนหรือไม่ลงก็ได้ แต่มีเป้าหมายบางอย่างร่วมกัน และใช้การ “แชร์” บนพื้นที่ออนไลน์เป็นหัวใจสำคัญของการร่วมกิจกรรม เราเห็น Global movements อย่าง #Metoo และ #BlackLivesMatters ที่คนสนใจประเด็นเดียวกันรวมในโลกออนไลน์เพื่อขับเคลื่อนสังคม และมีพลังมากพอที่จะลงถนนร่วมกันในแต่ละประเทศทั่วโลก Bennett บอกว่า การรวมตัวกันของเครือข่ายหลวม ๆ แบบนี้ก็มีพลังในการบรรลุจุดประสงค์ทางการเมืองและสังคมร่วมกันได้
การแชร์ข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ยังถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Participatory Politics การเมืองแห่งการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านการแชทกันเรื่องการเมืองในชีวิตประจำวัน แชร์ข่าวที่สื่อกระแสหลักไม่รายงาน หาข้อมูลว่าที่รัฐบาลพูดมันจริงไหม สร้างมีมขึ้นมาล้อรัฐบาลและนักการเมือง ทั้งหมดนี้คือการมีส่วนร่วมทางการเมืองบนโลกออนไลน์ที่ท้าทายสถาบันเดิม ๆ ทางการเมืองที่เคยผูกขาดข้อมูลข่าวสาร สถาบันเดิม ๆ ที่เคยเป็นผู้กำหนดวาระทางสังคม (agenda setter) เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคดิจิตัลปรับโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนกับรัฐให้เท่ากันมากขึ้น อย่างในบริบทของไทย หากใครอยู่ในโลกทวิตเตอร์ก็จะเห็นนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลสื่อสารกับประชาชนโดยตรงเป็นประจำ ที่สำคัญในประเทศที่การไปชูป้ายหน้าทำเนียบมันเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางเสี่ยงต่อการถูกข่มขู่ เราสามารถเมนชั่น @prayutofficial พร้อมแสดงความคิดเห็นได้เลย และถึงแม้ @prayutofficial จะไม่ตอบเรากลับมา แต่ยังมีส.ส.จำนวนหนึ่งที่นำประเด็นจากแฮชแท็กเข้าไปถกเถียงในการ #ประชุมสภา ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เลือกพวกเขาเข้าไปทำหน้าที่
พลวัตที่กำลังเกิดขึ้นนี้อาจสะท้อนได้ว่าการทวีตบ่น ๆ ระบายความรู้สึก และแชร์ความคิดเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสังคมที่ไร้เสรีภาพในการแสดงออก ทรงพลังและมีคุณค่าในฐานะความคิดเห็นสาธารณะมากกว่าโพลทางการของภาครัฐหรือการรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักที่หวาดกลัวอำนาจผู้ปกครอง

อตอห.
Do you hear the people sing?
PARASITE
ศิลปะยืนยาว CROP TOP สั้น
อะหรือ อะหรือ อะหรือว่ามีคนสั่ง?
ละแมะ ละแมะ ละไม่ออกสักที
ไม่น่ารักหรือเปล่า
คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร
We are hamster who will not be slave again 🙂
IOใช้ภาษีประชาชน?
#ถ้าการเมืองดี จะไม่ต้อง #saveใคร
#ม็อบไม่มุ้งมิ้งแต่ตุ้งติ้งค่ะคุณรัฐบาล
ดังขึ้นอีก ดังขึ้นอีก
ข้อความมากมายจากทวิตเตอร์ปรากฏอยู่บนป้ายประท้วงและคำปราศรัยบนท้องถนน ตั้งแต่แฟลชม็อบของนักศึกษาช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงการชุมนุม #เยาวชนปลดแอก ของคนรุ่นใหม่ที่ #ไม่ทน อีกต่อไปในวันนี้ ภาษาและสไตล์ที่ใช้สื่อสารเพื่อต่อต้านเผด็จการอาจทำให้ใครหลายคนที่ไม่ได้ติดตามทวิตเตอร์หรือไม่ได้โตมากับป๊อปคัลเจอร์เดียวกันงงอยู่พักใหญ่
เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคดิจิตัลไม่ได้เบลอเส้นกั้นระหว่างสาธารณะและส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “การเมือง” กับ “บันเทิง” “ทางการ” กับ “ไม่เป็นทางการ” สลายหายไปด้วย เหมือนกันกับเวลาเราเลื่อนดูโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย จากโพสต์ที่เพื่อนบ่นแฟน มาเจอเพจการเมืองที่เราติดตามโพสต์ภาพชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เลื่อนลงมาอีกเราเจอโฆษณาละคร อีกโพสต์เป็นรูปแมว (โคตรน่ารักเลย) คน ๆ หนึ่งใช้แอกหลุมทวีตทั้งเรื่องศิลปิน ละคร เพลง รวมไปถึงความคิดเห็นต่อการประชุมสภา ความคิดเห็นต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และประเด็นทางสังคมอื่น ๆ คนรุ่นใหม่เติบโตมากับเส้นแบ่งเบลอ ๆ สื่อสารแลกเปลี่ยนกันตั้งแต่บ่นเรื่องที่บ้าน แชร์ข้อมูลที่สื่อไม่รายงาน โปรโมทศิลปินเคป๊อปที่ชอบ ระบายความอัดอั้นตันใจเรื่องการศึกษาไทย ไปจนถึงใช้ป๊อปคัลเจอร์เพื่อแสดงออกทางการเมือง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเกือบทุกที่ในยุคดิจิตัล อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา ภาพยนตร์ Star Wars ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการถกเถียงเรื่องการเมืองบนโซเชียลมีเดียจนนักวิชาการต้องศึกษาทำวิจัย
ล่าสุด แฟนคลับศิลปินชาวเกาหลีและผู้ใช้ TikTok ร่วมใจกันแกล้งประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ โดยการสมัครขอรับบัตรเข้าร่วมแคมเปญหาเสียงของเขาเป็นจำนวนกว่าแสนใบ แต่ไม่ไปร่วมงานในวันจริง พร้อมทำคลิปล้อเลียนออกมาอีกมากมาย การศึกษาเรื่องป๊อปคัลเจอร์และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในประเทศอังกฤษพบว่า ป๊อปคัลเจอร์ทำหน้าที่เป็นแหล่งที่มาของความรู้ทางการเมือง รวมทั้งเป็นเครื่องมือช่วยสร้าง “ตัวตนร่วม” ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้สื่อบันเทิงประเภทต่าง ๆ เพื่อสะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศของตัวเอง

ในขณะที่คนรุ่นใหม่ในประเทศประชาธิปไตยสามารถด่ารัฐบาลได้อย่างตรงไปตรงมาขณะแชทกันกับเพื่อน
Twitter Thailand กลับเต็มไปด้วย “โค้ด” ที่เครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักใช้สื่อสารกัน
มีม (meme) มุกตลก ถ้อยคำเสียดสี บางท่อนบางตอนจากหนังและบทเพลง โค้ดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากการรับรู้ข่าวสารเดียวกัน โดยเฉพาะข่าวสารที่คนในสังคมออฟไลน์อาจจะไม่ได้รับรู้เพราะสื่อกระแสหลักไม่รายงานหรือรายงานไม่ได้ หลอมรวมกับป๊อปคัลเจอร์ หนัง ละคร เพลง ดาราศิลปิน ฯลฯ ที่คนรุ่นใหม่รู้จักและชอบเหมือน ๆ กัน ใครที่ไม่ใช่คนในกลุ่ม (in-group audience) จะไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ หากเรามองปรากฏการณ์นี้ผ่านการศึกษาการแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในสังคมเผด็จการ คนรุ่นใหม่ในจีนและรัสเซียก็ใช้มุกตลก ถ้อยคำประชดประชัน และเสียดสีเหน็บแนมเพื่อหลบซ่อนจากการสอดส่องและการลงโทษของรัฐ คนรุ่นใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างเวียดนามและกัมพูชาก็สร้างภาษาที่ต้องอ่านหลายชั้น (multi-layered message) ขึ้นมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและสังคมกระแสหลัก ความขบขัน ความไม่เป็นทางการ และความไม่ตรงไปตรงมาเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้มาอย่างยาวนานในสังคมที่ไร้เสรีภาพในการแสดงออก เพราะมันเป็นภาษาที่ผู้ปกครองไม่ใช้ เป็นภาษาที่ผู้ปกครองอ่านไม่ออกและมองไม่เห็น
ความกำกวมที่รวมกับความบันเทิงยังเปิดประตูต้อนรับคนรุ่นใหม่อื่น ๆ ที่มีความสนใจทางการเมืองแต่ไม่กล้า มันทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะเข้าร่วมมูฟเมนต์มากขึ้น ป๊อปคัลเจอร์ในสังคมเผด็จการจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่คนรุ่นใหม่หยิบมาใช้เพื่อดันเพดานเสรีภาพในการแสดงออก
หากใครสำรวจบทสนทนาในทวิตเตอร์ล่าสุด จะเห็นว่า พวกเขากำลังถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในประเด็นนี้ ว่าควรไหมที่จะใช้ภาษาเฉพาะกลุ่มให้น้อยลงเพื่อต้อนรับคนกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาร่วมขบวนนี้ด้วย จึงน่าสนใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พลวัตการขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่ไทยจะขยับขยายไปในทิศทางใด
ในโลกดิจิทัลที่เทคโนโลยีการสื่อสารมีอิทธิพลต่อวิถีการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน หากเรายังมองการมีส่วนร่วมทางการเมืองในแบบเมื่อวาน เราอาจกำลังตกขบวนของวันพรุ่งนี้ จากทวิตเตอร์สู่ท้องถนน จากประชาชนที่รู้สึกไร้พลังในพื้นที่ออฟไลน์ กลายมาเป็นประชาชนที่พร้อมแสดงพลังหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อมองดูกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาชุมนุม หากเข้าใจเราจะมองเห็นกลุ่มคนที่โตมากับหนัง เพลง การ์ตูน และสังคมเผด็จการเดียวกัน
หากเข้าใจ เราจะมองเห็น “เพื่อน” ของพวกเขาอีกมากมายที่อาจไม่ได้มาแสดงตัว หากเข้าใจ เราจะมองเห็นเครือข่ายของคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจว่าการเมืองอยู่ในทุกเรื่องของชีวิต หากเข้าใจเราจะเห็นพลเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม
ไม่ว่าขบวนการขับเคลื่อนของเครือข่ายเพื่อนที่ไม่รู้จักจะพาประเทศไทยไปได้ไกลแค่ไหน แต่ทั้งหมดนี้คือ ความพยายามในการดันเพดานเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการอยู่ในสังคมออฟไลน์ที่เป็นประชาธิปไตย สังคมที่เคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน

อ้างอิง
Bay, Morten. (2018). Weaponizing the haters: The Last Jedi and the strategic politicization of pop culture through social media manipulation.
Bennett, W., & Segerberg, A. (2012). THE LOGIC OF CONNECTIVE ACTION: Digital media and the personalization of contentious politics. Information, Communication & Society: A Decade in Internet Time: The Dynamics of the Internet and Society, 15(5), 739–768. https://doi.org/10.1080/1369118X.2012.670661
Iskandar, A. (2019). Egyptian Youth’s Digital Dissent. Journal of Democracy, 30(3), 154–164. Retrieved from https://muse.jhu.edu/article/729176
Kahne, J., Middaugh, E., & Allen, D. (2015). Youth, new media, and the rise of participatory politics. In D. Allen & J. S. Light (Eds.). From voice to influence: Understanding citizenship in a digital age (pp. 35–59). Chicago, IL: University of Chicago Press.
Lee, A. (2018). Invisible networked publics and hidden contention: Youth activism and social media tactics under repression. New Media & Society, 20(11), 4095–4115. https://doi.org/10.1177/1461444818768063
Papacharissi, Z. (2010). A private sphere: Democracy in a digital age. Malden, MA: Polity.
Street, J., Inthorn, S., & Scott, M. (2012). Playing at Politics? Popular Culture as Political Engagement. Parliamentary Affairs, 65(2), 338–358. https://doi.org/10.1093/pa/gsr03