หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 1 ทศวรรษก็ทำให้เกิดอาการเอียนกับคอมมิคแนวนี้ และนำมาสู่คอมมิคที่โด่งดังมากในวงการแม้แต่สมัยนี้ นั่นก็คือ Kingdom Come คอมมิคซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC ในปี 1996
Kingdom Come คอมมิคซุปเปอร์แมนที่ไม่มีชื่อซุปเปอร์แมน
Kingdom Come เป็นชื่อคอมมิคซีรีย์ของ DC ตีพิมพ์ในปี 1996 เขียนโดย Mark Waid และ Alex Ross เคยมีฉบับแปลไทยลิขสิทธิ์โดย บงกช พับลิชชิ่ง ในช่วงทศวรรษที่ 2000 เนื้อเรื่องกล่าวถึงโลกที่ซุปเปอร์แมนตัดสินใจวางมือจากการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มากว่า 10 ปี แต่ด้วยเหตุบางอย่างทำให้ซุปเปอร์แมนต้องกลับมาสวมผ้าคลุมอีกครั้ง
ทว่าแม้จะมีเรื่องย่อที่ผูกพันกับซุปเปอร์แมน แต่ตัวเอกจริง ๆ ของ Kingdom Come นั่นไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ผู้อ่าน Kingdom Come จะติดตาม Kingdom Come ผ่านสายตาของ Norman McCay บาทหลวงคนหนึ่งที่มีความรู้สึกสิ้นหวังกับสังคมภายหลังจากที่ซุปเปอร์แมนแขวนผ้าคลุม
หากแต่เราก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า Kingdom Come นั้นโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคอมมิคซุปเปอร์แมน แม้ว่าจะไม่ได้มีตัวละครดำเนินเรื่องเป็นซุปเปอร์แมน แม้แต่ชื่อก็ยังสื่อนัยยะถึงซุปเปอร์แมน โดยที่ไม่ต้องแปะป้ายว่าเป็นคอมมิคซุปเปอร์แมนแม้แต่น้อย
การหายไปของซุปเปอร์แมน ทำให้โลกของ Kingdom Come เป็นโลกที่เต็มไปด้วยศาลเตี้ย ขณะที่ชาวบ้านทั้งหมดต้องคอยหลบกระสุนหรือคลื่นพลัง ของฮีโร่ที่พร้อมจัดการเหล่าร้ายโดยไม่เหลือวิธีการ (รวมไปถึงตีกันเองหากมีเรื่องไม่ถูกใจขึ้น)
ทีมผู้เขียนได้ให้ภาพว่าสังคมที่ฮีโร่เป็นแอนตี้ฮีโร่กันหมด ทำให้สังคมนั้นเต็มไปด้วยศาลเตี้ย ที่ไม่สนใจชาวบ้าน ภาพที่ Mark Waid และ Alex Ross ได้เสนอคือ ภาพของอันธพาลครองเมือง โดยที่อันธพาลแปะป้ายเรียกตัวเองว่าฮีโร่ ขณะที่คนธรรมดาทำอะไรไม่ได้
Mark Waid และ Alex Ross พยายามจะบอกว่า ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษ แต่ไม่มีศีลธรรม ทำให้สังคมสิ้นหวัง และความสิ้นหวังนั่นเองแสดงออกมาผ่านฉากในโบสถ์
โดยในฉากแรกในโบสถ์ของ Norman McCay นั่งเก้าอี้แทบจะว่างเปล่า คนในโบสถ์ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ความหมายนั่นหมายถึงทุกคนสิ้นหวัง จนแม้แต่ศาสนาก็ไม่ตอบโจทย์ ทั้งการที่พระเจ้าในศาสนาคริสต์นั้นมีความหมายที่สามารถแทนถึงความดีได้ การที่โบสถ์โล่งนั่นทำให้อ่านได้ว่าคนไม่เชื่อในความดีอีกแล้ว
สีดำของตัว S บนอกของซุปเปอร์แมนนั่นสะท้อนถึงความสิ้นหวังของซุปเปอร์แมน ภาพของซุปเปอร์แมนที่ถูกเสนอออกมาเลยจะเป็นภาพของเทพมากกว่าที่จะเป็นภาพของมนุษย์ ซุปเปอร์แมนใน Kingdom Come นั้นแทบจะไม่ยิ้มซึ่งผิดกับภาพจำปกติอย่างมาก ทั้งท่าทางการมองก็เหมือนกับพระเจ้าที่มองลงมาพิพากษา
ซึ่งนี่จะนำมาสู่ความขัดแย้งหลักของ Kingdom Come นั่นคือ ความขัดแย้งระหว่างยอดมนุษย์หรือ Metahuman กับมนุษย์
โดยยอดมนุษย์ถูกเปรียบเป็นเทพ (ทั้งตัวเองก็เชื่อว่าตนเป็นเทพ ที่เหนือกว่ามนุษย์) ในแง่นี้การมองโลกผ่านสายตาของ Norman McCay จึงเป็นการมองโลกผ่านสายตาของมนุษย์ที่ดูเหล่าเทพเจ้ากำลังตัดสินชะตากรรมของโลกทั้งใบ หากแต่ในตอนสุดท้ายความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มที่แตกต่างนี้ก็ถูกสรุปว่าไม่เป็นจริง
ความเป็น ‘มนุษย์’ ในตัวของยอด ‘มนุษย์’
ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจยอดมนุษย์ ทำให้ในช่วงสุดท้ายทาง UN ได้ตัดสินใจส่งระเบิดที่ออกแบบเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยอดมนุษย์ให้หมดสิ้นไป ผลของการระเบิดทำให้ยอดมนุษย์จำนวนมากจบชีวิตลง ขณะที่ซุปเปอร์แมนก็โกรธจนบ้าคลั่ง และตรงไปคิดบัญชีกับมนุษย์ที่สั่งสังหารเหล่ายอดมนุษย์ที่ UN
หากแต่วินาทีที่ซุปเปอร์แมนกำลังทำการพิพากษานั้น Norman McCay ได้ทำการพูดคุยดึงสติซุปเปอร์แมนอีกครั้ง โดยการบอกว่าซุปเปอร์แมน นั่นหลงลืมความเป็นมนุษย์ในตัวเอง จนซุปเปอร์แมนมีแต่คำว่า Super แต่ไม่มีคำว่า Man (มนุษย์) คำพูดนั่นดึงสติซุปเปอร์แมนได้สำเร็จ
Kingdom Come ไม่ได้ให้คำตอบว่าโลกหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร แต่จากที่นั่งในโบสถ์ของ Norman McCay ที่แน่นเอี๊ยดในตอนสุดท้าย เราอาจอนุมาน แม้ว่าโลกจะยังเต็มไปด้วยปัญหา แต่โลกใหม่ก็ยังมีความหวังมากกว่ายุคอันธพาลครองเมือง
ฤายุคมืดยังไม่จบ
Kingdom Come ในแง่หนึ่งอาจไม่ใช่คอมมิคที่มีเนื้อหาก้าวหน้าอะไร ที่จริงอาจเรียกได้ว่าเป็นคอมมิคที่มีเนื้อหาแบบอนุรักษ์นิยมด้วยซํ้า เพราะ Kingdom Come พยายามเสนอว่าโลกที่ดีคือ โลกที่คนมีคุณธรรมเหมือนในอดีต และคุณธรรมเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องได้รับการรักษาเอาไว้
หากแต่ความอนุรักษ์นิยมของ Kingdom Come นั่นก็พยายามจะเสนออะไรใหม่ หนึ่งในนั้นคือ การที่มอบความเป็นมนุษย์ให้กับเหล่าฮีโร่รุ่นเดอะอย่างซุปเปอร์แมน