‘อาหารเชิงนิเวศ’ โอกาสสุดท้ายของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม
Reading Time: 2 minutesการบริโภคโปรตีนในทุกวันนี้กำลังกลืนกินความหลากหลาย ทำลายทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เราอาจจะต้องคิดถึงอาหารเชิงนิเวศเพิ่มขึ้นในวันที่โลกรวนและพลิกผัน
เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วศาสตราจารย์ Daniel Pauly แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในแคนาดา ได้ตีพิมพ์งานวิชาการด้านการประมงที่ทรงอิทธิพลที่สุดชิ้นหนึ่งในวารสาร Science ชื่อว่า Fishing down Marine food webs งานวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ Pauly สังเกตเห็นแนวโน้มที่น่ากังวลในอุตสาหกรรมประมงทั่วโลกนั่น คือรูปแบบการประมงที่เปลี่ยนจากการจับปลาผู้ล่าขนาดใหญ่มาสู่การจับปลา และสัตว์น้ำขนาดเล็กที่อยู่ต่ำลงไปเรื่อย ๆ ในห่วงโซ่อาหาร
ทฤษฎีการประมงที่ถดถอยลงตามห่วงโซ่อาหาร หรือ Fishing Down the Food Web คือกระบวนการที่การประมงในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ ทำการประมงเกินขนาดและเมื่อจับปลาผู้ล่าขนาดใหญ่ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เช่น ปลาทูน่า ปลาค็อด ปลาอินทรี จนร่อยหรอแล้ว จึงหันไปจับสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ อย่างปลาเบญจพรรณ และปลากะตัก จนในที่สุดลงเอยด้วยการจับลูกปลาขนาดเล็กและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังซึ่งแต่ก่อนไม่มีใครคิดจะจับ
แนวคิด Fishing Down the Food Web อาจนำมาอธิบายสถานการณ์การประมงปลากะตักในประเทศไทยได้ โดยเฉพาะในบริบทของข้อถกเถียงเกี่ยวกับการแก้ไขพ.ร.ก.ประมงฉบับใหม่ที่อาจเปิดโอกาสให้มีการทำประมงอวนล้อมจับปลากะตักประกอบแสงไฟด้วยอวนตาถี่นอกเขต 12 ไมล์ทะเล
ปรากฏการณ์ไล่ล่าปลาตัวเล็กกำลังสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่าของทะเลไทย และความไม่ยั่งยืนของการประมง

ในธรรมชาติปลาขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนซึ่งอยู่บนสุดหรือใกล้จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ มักจะลดจำนวนลงเร็วกว่าปลาขนาดเล็กที่มีอายุสั้นและอยู่ในระดับชั้นของห่วงโซ่อาหาร (trophic level) ต่ำกว่า เมื่อถูกจับโดยการเครื่องมือประมงที่ไม่เลือกชนิดอย่างเครื่องมืออวนลาก เบ็ดราว หรืออวนล้อมจับด้วยการปั่นไฟ ผลที่ตามมาคือขนาดและค่าเฉลี่ยระดับห่วงโซ่อาหารของกลุ่มปลาที่ถูกจับจะค่อย ๆ ลดลง
Daniel Pauly และคณะวิเคราะห์ข้อมูลการจับสัตว์น้ำจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1950 ถึงปี 1994 และพบว่าระดับห่วงโซ่อาหาร (trophic level) เฉลี่ยของสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังเกิดปรากฏการณ์ “fishing down” นี้ในมหาสมุทรทั่วโลก

ในบทความ Fishing Down Marine Food Webs Daniel อธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้น ดังนี้
หลังจากงานวิจัยของ Daniel ในปี 1998 นักวิจัยหลายกลุ่มได้ทำการศึกษาและพบหลักฐานชัดเจนของการ “fishing down” ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ อ่าวไทย และพื้นที่ชายฝั่งของจีน โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากการจับปลาขนาดใหญ่มาเป็นปลาเบญจพรรณ และสัตว์น้ำขนาดเล็ก
มีข้อสันนิษฐานว่าเทคโนโลยีการประมงที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ปรากฏการณ์ “fishing down” หรือประมงแบบไล่ล่าจึงเกิดขึ้นเร็วกว่าในอดีต เพราะมีทั้งการใช้ระบบโซนาร์ (sonar) และซาวน์เดอร์ (sounder) ที่อาศัยหลักการสะท้อนของคลื่นเพื่อระบุตำแหน่งของฝูงปลา ร่วมกับ GPS รวมทั้งเครื่องมือประมงขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งการใช้แสงไฟล่อ ทำให้เรือประมงสามารถจับสัตว์น้ำได้มากขึ้นและลึกขึ้น
การประมงถดถอยลงตามห่วงโซ่อาหารส่งผลกระทบสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลมากมาย ทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบนิเวศ เพราะเมื่อผู้ล่าระดับบนถูกกำจัดออกไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความสมดุลของระบบนิเวศ เช่น การเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมดุลของประชากรปลาเล็กและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ปรากฏการณ์ปะการังเสื่อมโทรมในบางพื้นที่ เช่น ทะเลแคริบเบียน การสูญเสียปลากินพืช ทำให้ปะการังที่เสียหายจากพายุและโรคปะการังไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ และนำไปสู่การทำลายแนวปะการัง ความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร ในหลายประเทศที่กำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา การพึ่งพาการประมงเพื่อโปรตีนและการดำรงชีพมีความสำคัญ การลดลงของปลาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของชุมชนชายฝั่ง






ปรากฏการณ์ “fishing down” ยังมีมิติทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เช่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการตลาด เมื่อปลาขนาดใหญ่หายาก ราคาของปลาเหล่านี้พุ่งสูงขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมพยายามสร้างตลาดสำหรับชนิดพันธุ์ที่เคยถูกมองข้าม ตัวอย่างเช่น ในอเมริกาเหนือ ปลา “Chilean sea bass” (ชื่อการตลาดของปลา Patagonian toothfish) กลายเป็นที่นิยมหลังจากปลาค็อดลดจำนวนลง หรือในประเทศไทยเองก็มีความพยายามนำปลานกแก้ว (Parrotfish) มาบริโภคในเชิงพาณิชย์
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีการขยายตัวขึ้นทั่วโลกเนื่องจากการลดลงของปลาธรรมชาติ จนทำให้ในปัจจุบันมีการผลิตสัตว์น้ำด้วยการเพาะเลี้ยงมากกว่าการจับจากธรรมชาติในหลายประเทศ แต่การเลี้ยงปลากินเนื้อ (เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาแซลมอน) ยังคงต้องใช้ปลาเล็กจากธรรมชาติเป็นอาหาร ซึ่งอาจเร่งปรากฏการณ์ “fishing down” ให้รุนแรงยิ่งขึ้น
งานวิจัยของ Daniel Pauly มีอิทธิพลอย่างมากต่อการจัดการประมงทั่วโลก หลายประเทศได้นำแนวคิดนี้ไปใช้ในการกำหนดโควตาการจับปลาที่คำนึงถึงบทบาทของแต่ละชนิดในระบบนิเวศ และจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas) เพื่อฟื้นฟูประชากรสัตว์น้ำ และยังสนับสนุนแนวคิดการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ (Ecosystem-Based Fisheries Management – EBFM) แทนที่จะมุ่งเน้นการจัดการชนิดพันธุ์แต่ละชนิดแยกกัน นักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายกำลังเปลี่ยนไปใช้วิธีการที่พิจารณาระบบนิเวศทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความตื่นตัวในการต่อสู้กับการประมงผิดกฎหมาย ,การไม่รายงานและไร้การควบคุม (IUU – Illegal, Unreported and Unregulated) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เร่งปรากฏการณ์ “fishing down” เนื่องจากเป็นการประมงที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดทางกฎหมาย และไม่มีการควบคุม ไม่มีการรายงานว่าจับอะไร อย่างไร เท่าไหร่


หลังจากงานวิจัย Fishing Down Marine Food Webs ที่เผยแพร่ในปี 1998 Daniel Pauly และทีมวิจัยได้พัฒนาแนวคิดนี้ต่อเนื่อง และนับเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวิทยาศาสตร์การประมงสมัยใหม่ ผลงานสำคัญที่ Daniel ได้มีส่วนพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้แก่
เราอาจนำแนวคิด “Fishing Down the Food Web” หรือ ประมงถดถอยลงตามห่วงโซ่อาหาร ของ Daniel Pauly มาอธิบายสถานการณ์ประมงปลากะตักในประเทศไทยได้ดีพอสมควร ปลากะตักจัดเป็นปลาที่อยู่ในห่วงโซ่อาหาร (trophic level) ค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 2.5-3.0) เนื่องจากเป็นปลาขนาดเล็กที่กินแพลงก์ตอนเป็นหลัก
ตามทฤษฎีของ Pauly การที่การประมงไทยมุ่งเน้นการจับปลากะตักในปริมาณมากอาจเป็นสัญญาณของปรากฏการณ์ “fishing down” ที่กำลังเกิดขึ้นในน่านน้ำไทย ด้วยเหตุผล ดังนี้

ความต้องการจับปลากะตักให้ได้มากขึ้น จนนำไปสู่ความพยายามการแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับปลากะตักร่วมกับแสงไฟล่อนอกเขต 12 ไมล์ทะเล สามารถวิเคราะห์ผ่านแนวคิด Fishing down the food web ของ Daniel Pauly ได้เช่นกันคือ
1. การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือประมง
การใช้อวนล้อมร่วมกับแสงไฟล่อเป็นเทคโนโลยีประมงที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการจับปลากะตัก ปลากะตักถูกดึงดูดด้วยแสงไฟ ทำให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มหนาแน่นและถูกจับได้ง่าย แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการจับสัตว์น้ำพลอยได้ (bycatch) ในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน เพราะตัวอ่อนสัตว์น้ำก็ถูกแสงไฟดึงดูด การใช้เครื่องมือประสิทธิภาพสูงมากจนถึงขั้นทำลายล้างสำหรับชนิดที่อยู่ต่ำในห่วงโซ่อาหารเช่นนี้ อาจเร่งปรากฏการณ์ “fishing down” และอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อระบบนิเวศที่รุนแรงยิ่งขึ้น
2. ผลกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อาหาร
การจับปลากะตักในปริมาณมาก มีผลกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อาหารหลายประการ:


3. ข้อพิจารณาเรื่องพื้นที่การทำประมง
การขยายเขตการทำประมงออกไปนอก 12 ไมล์ทะเลมีนัยสำคัญ:


ข้อเสนอแนะทางวิชาการ กรณีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 69 แห่งพ.ร.ก.ประมง พ.ศ. 2558 ของสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทยระบุว่า “การลดลงของสัตว์น้ำทางการประมงขนาดใหญ่เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1) การถูกจับในระยะตัวเต็มวัยมากเกินไป (Recruitment overfishing) ทำให้สัตว์น้ำรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนมีจำนวนลดลง สัตว์น้ำขนาดใหญ่ก็จะลดลง และ 2) การสูญเสียช่วงก่อนวัยเจริญพันธุ์ (Growth overfishing) ซึ่งเกิดจากการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กมากเกินไป ทั้งจากการทำประมงด้วยตาอวนที่ขนาดเล็กลงจากเครื่องมือประมงประเภทอื่น เช่น การใช้ตาอวนต่ำกว่า 2.5 ซม. ซึ่งส่งผลต่อการติดสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ”
ดังนั้น การส่งเสริมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กซึ่งอยู่ในฐานพีรามิดต่ำอย่างปลากะตัก ด้วยเครื่องมือประมงและวิธีการทำการประมงที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำอื่น ๆ จะยิ่งทำให้สัตว์น้ำขนาดใหญ่ลดจำนวนลงเร็วยิ่งขึ้น
“สถานการณ์การประมงของประเทศไทยกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางทะเล และการประมงที่ไม่ยั่งยืน และประเด็นทางวิชาการด้านนี้ยังไม่เคยมีการนำมาพิจารณาถึงความเหมาะสมของการกำหนดทิศทาง เป้าหมายสัตว์น้ำ และรูปแบบการทำการประมงของประเทศไทยในปัจจุบัน” ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทยให้ความเห็น และทิ้งท้ายว่า
“กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาหาวิธีการฟื้นฟู ระบบนิเวศทางทะเลและแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนหลักคิดของการทำประมงที่คำนึงถึงระบบนิเวศ และการมีเป้าหมายในการฟื้นฟูสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ลดการประมงที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ และสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางนิเวศ ในประเทศไทยเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการทำการประมงไปควบคู่กับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล”

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการประมงที่ยั่งยืน
1. หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Approach)
ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของการประมง ควรเลือกแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดต่อระบบนิเวศ ในกรณีของปลากะตักในไทย ข้อมูลในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมในการกำหนดสัดส่วนการจับ
ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศในแต่ละบริเวณที่มีระดับการพึ่งพาปลากะตักแตกต่างกันไป เช่น บริเวณที่เป็นที่อาศัยของวาฬบรูด้า หรือบริเวณที่ใกล้กับระบบนิเวศใต้น้ำที่สำคัญที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน เช่น กองหินใต้น้ำกลางทะเล หากจะมีการอนุญาตเครื่องมือและรูปแบบการทำประมงปลากะตักด้วยวิธีการที่เคยห้ามใช้มาตลอดอย่างเรืออวนล้อมประกอบแสงไฟ จะต้องมีข้อมูลที่หนักแน่นเพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมไม่ได้
2. การจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ (Ecosystem-Based Fishery Management)
แทนที่จะพิจารณาเฉพาะค่าผลผลิตสูงสุดที่จับได้ (Maximum Sustainable Yield – MSY) ของปลากะตัก ซึ่งยังมีข้อสงสัยในการคำนวณเนื่องจากจะมีการปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพของเครื่องมือและวิธีการประมง ควรพิจารณาบทบาทของปลากะตักในระบบนิเวศโดยรวมมากขึ้น ซึ่งรวมถึง:


3. การจัดการที่ปรับตัวได้และมีความยืดหยุ่น (Resilience-based Adaptive management)
ปัจจุบันมหาสมุทรมีการเปลี่ยนแปลงมากมายและได้รับผลกระทบอย่างสูงจากสภาพแวดล้อมที่เกิดจากมนุษย์ อาทิปัญหามลภาวะขยะทะเลและน้ำเสียจากบนฝั่ง รวมไปถึงอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ภาวะความเป็นกรดที่สูงขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการกระจายตัวและความอุดมสมบูรณ์ของปลากะตักและสัตว์น้ำในน่านน้ำไทย จึงควรมีการศึกษาวิจัยและติดตามอย่างต่อเนื่อง และเน้นการจัดการที่เสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบนิเวศและสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงทีตามสถานการณ์ ในกรณีของปลากะตัก ควรมีการติดตาม



แนวคิด “Fishing Down the Food Web” ของ Daniel Pauly ให้กรอบการวิเคราะห์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการพิจารณาสถานการณ์ประมงปลากะตักในประเทศไทย และการที่ไทยมุ่งเน้นการจับปลากะตักซึ่งอยู่ในระดับต่ำของห่วงโซ่อาหารในปริมาณมาก สอดคล้องกับลักษณะของปรากฏการณ์ “fishing down” ที่ Daniel Pauly ได้อธิบายไว้เกือบ 30 ปีแล้ว
การตัดสินใจเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้อวนล้อมด้วยอวนตาถี่กับแสงไฟล่อนอกเขต 12 ไมล์ทะเลจึงควรพิจารณาในมิติที่กว้างกว่าเพียงปริมาณปลากะตักที่จับได้ แต่ต้องคำนึงถึงบทบาทของปลากะตักในระบบนิเวศทางทะเลโดยรวม ความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นกับความยั่งยืนระยะยาว และผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
การนำแนวคิดการจัดการประมงเชิงระบบนิเวศมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการวิจัยที่ถูกต้องและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน จะช่วยให้เราสามารถพัฒนานโยบายการประมงปลากะตักที่สมดุลและยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงป้องกันการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนชายฝั่งในระยะยาวอีกด้วย
ขอบคุณภาพ: ศุภชัย วีรยุทธานนท์