การรักษาแบบประคับประคอง : ศักดิ์ศรีในวาระสุดท้ายที่การรักษาพยาบาลประกันสังคมควรมี – Decode
Reading Time: 2 minutes

ประกายไฟลามทุ่ง

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) คือการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นการบรรเทาความทุกข์ทรมาน ยกระดับคุณภาพชีวิต และการให้คุณค่าแก่ศักดิ์ศรีของผู้ป่วยและครอบครัว แต่ในประเทศไทยระบบการรักษาพยาบาลประกันสังคมที่ดูแลคนกว่า 15 ล้านคนยังคงมีข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาแบบนี้ได้อย่างเป็นธรรม

การรักษาแบบประคับประคองสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในด้านผู้ป่วย ซึ่งการศึกษา พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น 35% เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยเหล่านี้มีระดับความปวดลดลงและสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นส่งผลให้มีช่วงเวลาที่มีคุณภาพร่วมกับครอบครัวมากขึ้น สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาของตนเอง โดยการศึกษาพบว่าเกือบทั้งหมดของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองรู้สึกได้รับการเคารพในความต้องการและการเลือกของตนเอง

ในส่วนของญาติและครอบครัว การรักษาแบบประคับประคองช่วยลดภาระทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองมีภาวะซึมเศร้าลดลง 40% และมีความวิตกกังวลลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ครอบครัวเหล่านี้ยังมีความพึงพอใจในกระบวนการตายของญาติสูงอย่างมีนัยสำคัญ และมีอาการโศกเศร้าแบบซับซ้อน (Complicated Grief) น้อยลงมาก (ภาวะความเศร้าโศกที่ยืดเยื้อและรุนแรงหลังจากสูญเสียคนรัก โดยไม่คลี่คลายไปตามธรรมชาติ และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ อาการต้องคงอยู่อย่างน้อย 1 ปีสำหรับผู้ใหญ่ และมักมาพร้อมกับความอาลัยอย่างต่อเนื่อง การปฏิเสธความจริง และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เตือนความทรงจำเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต แตกต่างจากโศกเศร้าปกติที่จะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา โศกเศร้าแบบซับซ้อนทำให้ผู้ประสบรู้สึก “ติดกับดัก” ในความเศร้า) นอกจากนี้ครอบครัวยังได้รับการสนับสนุนทางจิตใจและการศึกษาในการดูแลผู้ป่วย ทำให้รู้สึกมีส่วนร่วมและไม่รู้สึกหมดหนทางในการดูแลคนที่รัก

สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ การทำงานในระบบประคับประคองช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้อย่างชัดเจน พยาบาลที่ทำงานในหน่วยประคับประคองมีระดับ Burnout Syndrome ต่ำกว่าพยาบาลทั่วไป 45% และมีความพึงพอใจในการทำงานสูงกว่า เนื่องจากได้เห็นผลลัพธ์ที่มีความหมายต่อผู้ป่วยและครอบครัว แพทย์และพยาบาลได้เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม พัฒนาทักษะการสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัวในสถานการณ์ยากลำบาก และเกิดความภาคภูมิใจในการให้การดูแลที่เน้นความเป็นมนุษย์

ในด้านทรัพยากรของโรงพยาบาล การรักษาแบบประคับประคองสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน การศึกษาว่าการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ 68% การใช้หอผู้ป่วยหนักลดลง 72% การทำหัตถการที่ไม่จำเป็นลดลง 85% และการเข้ารับการรักษาซ้ำลดลง 59% นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยสามารถกลับไปอยู่ที่บ้านได้ ช่วยลดความแออัดของเตียงผู้ป่วยได้ ทำให้โรงพยาบาลสามารถรองรับผู้ป่วยรายใหม่ได้มากขึ้น และใช้ทรัพยากรบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประกันสังคม VS บัตรทอง ย้อนบทเรียนจากต่างประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบสิทธิการรักษาระหว่างประกันสังคมและบัตรทอง ในหลายด้านอาจมีข้อถกเถียงว่าสิทธิใดดีกว่า ขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดที่ใช้ แต่มีประเด็นหนึ่งที่ประกันสังคมแย่กว่าบัตรทองอย่างชัดเจน คือการรักษาแบบประคับประคองในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่มีสิทธิบัตรทองสามารถเลือกรับการรักษาแบบประคับประคองที่บ้านในระยะสุดท้าย โดยได้รับอุปกรณ์การดูแลและการสนับสนุนจากทีมแพทย์เพื่อให้เกิด “การตายอย่างสงบ” ตามแนวทางที่ผู้ป่วยและครอบครัวเลือก ไม่ต้องอยู่ในห้องรวมที่แออัด ไม่ต้องต่อสายน้ำเกลือและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็น หรืออยู่ท่ามกลางผู้ป่วยคนอื่นที่ทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน

ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการรักษาแบบประคับประคองอย่างจริงจัง จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่าประเทศอังกฤษมีระบบการรักษาแบบประคับประคองที่ดีที่สุดในโลก โดยผู้ป่วยระยะสุดท้ายกว่า 60% เสียชีวิตที่บ้านหรือในสถานดูแลพิเศษ ไม่ใช่ในโรงพยาบาล การศึกษาจาก The Economist Intelligence Unit’s Quality of Death Index 2015 ระบุว่าประเทศที่มีคุณภาพการตายดีที่สุด 5 อันดับแรก คือ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไอร์แลนด์ และเบลเยียม ทั้งหมดมีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาแบบประคับประคองที่บ้าน

ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การศึกษาระยะยาวพบว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่บ้านมีคุณภาพชีวิตในช่วงสัปดาห์สุดท้ายดีกว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญ โดยครอบครัวของผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่บ้านมีภาวะซึมเศร้าหลังการสูญเสียน้อยกว่า 40% เมื่อเปรียบเทียบกับครอบครัวของผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล ขณะที่ในประเทศแคนาดา การเปลี่ยนจากการรักษาในโรงพยาบาลเป็นการดูแลที่บ้านสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 70% โดยยังคงรักษาคุณภาพการดูแลไว้ในระดับที่ดี

กำแพงในระบบประกันสังคมไทย

ปัญหาหลักในระบบประกันสังคมไทยเกิดจากเงื่อนไขในสัญญาระหว่างประกันสังคมกับโรงพยาบาล ที่กำหนดให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของประกันสังคมต้องอยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น ข้อกำหนดนี้เกิดจากความคิดแบบระบบราชการที่วางกรอบงบประมาณการรักษาพยาบาลไว้อย่างตายตัว ขณะที่ประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือได้เปลี่ยนมุมมองนี้ไปนานแล้ว โดยมองว่าการรักษาแบบประคับประคองที่บ้านเป็นทั้งการประหยัดค่าใช้จ่ายและการยกระดับคุณภาพชีวิต

ทางออกสุดท้าย ไม่ใช่เรื่อง ‘เงิน’ แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

การแก้ปัญหานี้ไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล แค่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและออกจากขนบธรรมเนียมการหากำไรของโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลต้องเข้าใจว่าการรักษาแบบประคับประคองไม่ใช่การ “สูญเสียรายได้” แต่เป็นการให้บริการที่มีคุณค่าและเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่ดีในการเปลี่ยนแปลงระบบ โดย ได้ออกกฎหมาย “Act on Hospice and Palliative Care” ที่บังคับให้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติครอบคลุมการดูแลแบบประคับประคองทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้าน ส่งผลให้ใน 5 ปี อัตราการใช้บริการประคับประคองเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 35% และค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วยระยะสุดท้ายลดลง 45%

การให้สิทธิในการรักษาแบบประคับประคองแก่ผู้ประกันตนไม่ใช่เพียงเรื่องของค่าใช้จ่าย แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประชาชนคนธรรมดาที่ทำงานหาเลี้ยงชีพและจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาตลอดชีวิต สมควรได้รับสิทธิในการตายอย่างสงบและมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิบัตรทอง ประสบการณ์จากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว แต่ยังช่วยประหยัดงบประมาณของระบบสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้จึงไม่ใช่เพียงการปรับปรุงระบบสุขภาพ แต่เป็นการสร้างความยุติธรรมและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งจะสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางอารยธรรมของสังคมไทยในการดูแลสมาชิกทุกคนอย่างมีศักดิ์ศรีจนถึงลมหายใจสุดท้าย หากเราสามารถนำประสบการณ์จากประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะให้ผู้ประกันตนไทยได้รับการดูแลในวาระสุดท้ายอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความอบอุ่นของครอบครัว และความสงบสุขใจที่บ้านของตนเอง แทนที่จะต้องจากไปท่ามกลางเสียงของเครื่องมือแพทย์และความเหงาในห้องโรงพยาบาล