‘ฟ้องปิดปาก’ ไม่แผ่ว! หายนะทางสิ่งแวดล้อมที่ป้องกันได้ด้วยกม.และเจตจำนงทางการเมือง – Decode
Reading Time: 3 minutes

“เขาไม่ต้องการชนะหรอก เขาแค่ต้องการให้เราเงียบ และมันเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะปิดปากไม่ให้ใครพูดถึงผลกระทบต่อสาธารณะ”

เสียงสะท้อนจาก เบญจา แสงจันทร์ คณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีปิดปากจากภาคธุรกิจ เหตุจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กล่าวอ้างเอื้อผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในขณะปฏิบัติหน้าที่สส. รูปแบบการฟ้องคดีปิดปากหรือคดี SLAPP (Strategic Lawsuit against Public Participation) กลายเป็นเครื่องมือของทุนและรัฐใช้เพื่อหวังผลให้เสียงของการเรียกร้องสิทธิอ่อนแรงและเงียบลง ไม่เว้นแม้แต่นักปกป้องสิทธิ หรือผู้แทนทางการเมืองที่ถูกเลือกมาจากประชาชนก็ล้วนถูกฟ้องดำเนินคดีทั้งสิ้น โดยผู้ฟ้องไม่ได้มุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยกระบวนการยุติธรรม ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง SLAPP จึงไม่เพียงตีแผ่ความอยุติธรรมที่นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญ แต่ยังสื่อถึงพลัง ความกล้าหาญ และความหวังของผู้คนที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และเรียกร้องให้มีการจัดทำกลไกทางกฎหมายที่เป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งยังเปิดเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักกิจกรรม นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อร่วมกันหาทางออกจากปัญหา SLAPP

‘ฟ้องปิดปาก’ มรดกตกทอดจากรัฐประหาร 

ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2557 ที่สังคมไทยอยู่ภายใต้ระบบรัฐประหาร เกิดพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 พ.ร.บ. นี้ถูกใช้บังคับควบคุมการแสดงออกด้วยการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิของประชาชน และเป็นหนึ่งเหตุผลที่รัฐใช้ในการดำเนินคดีกับผู้ออกมาเรียกร้องปกป้องสิทธิของตนเอง เช่นในกรณี ‘เทใจให้เทพา’ ชาวบ้านในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ ด้วยการจับกุมและดำเนินคดีแกนนำทั้ง 17 คน ข้อหาขัดขวางการจับกุม ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 

แต่กรณีของเบญจา แสงจันทร์ และสมาชิก ส.ส. ที่ถูกฟ้องร้องจากการเปิดเผยข้อมูลการเอื้อผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มทุนพลังงานในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า นับเป็นธุรกิจที่ภาคเอกชนทำการฟ้องปิดปากผู้แทนประชาชน ด้วยค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ในฐานะจำเลยของคดีฟ้องปิดปาก เบญจาอธิบายผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้วยคำว่าสภาวะชะงักงัน (Chilling Effect) ที่ต้องหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามถึงสิทธิของประชาชนที่หายไปในสังคม ทำให้การถูกพูดถึงปัญหาก็เงียบงันลงไปเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะในฐานะที่ผ่านการทำงานผู้แทนราษฎร ที่มีอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลตามหลักรัฐธรรมนูญ เมื่อกลไกตามปกตินี้ถูกปิดปาก พื้นที่พึ่งพิงของประชาชนในการพูดถึงผลกระทบต่อสาธารณะก็ถูกทำลายให้หายไป ส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติเองก็ไม่สามารถทำงานตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับภาวะทางสังคมที่กำลังถูกสั่นคลอนด้วยการถูกห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็น  ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เครื่องมือที่นักปกป้องสิทธิกำลังถูกเซาะกร่อนโดยรัฐและเอกชน 

เจ็บปวดที่สุดตรงจุดที่ ‘รัฐ’ ใช้เงินภาษีประชาชน ‘ฟ้อง’ ประชาชน

เสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ นักวิชาการอิสระที่ติดตามสถานการณ์ฟ้องปิดปาก ขยายความแตกต่างระหว่างการถูกฟ้องร้องโดยภาครัฐและเอกชน ว่าแม้รูปแบบคดีความจะมีรายละเอียดที่คล้ายคลึงกัน แต่เป็นความเจ็บปวดอย่างมากที่สุดในฐานะประชาชน เมื่อรัฐเลือกที่จะใช้เครื่องมือทางกฎหมายปิดปากเสียเอง ด้วยการนำภาษีที่ประชาชนเป็นผู้จ่าย ไปแก้ไขปัญหาที่ประชาชนต่างพยายามคัดค้านด้วยผลกระทบในวงกว้าง 

“มันเจ็บปวดที่สุดในตอนที่รัฐเป็นผู้ฟ้อง การออกมาแสดงความคิดเห็นของประชาชน ไม่ควรเป็นอาชญากรและความผิด ผู้ออกมาปกป้องสิทธิไม่ควรจะถูกฟ้องดำเนินคดีด้วยซ้ำไป”

ตามกฎหมายอาญา มาตรา 161/1 ที่เนื้อความเป็นการป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นอีก แต่จากการสู้คดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากมากกว่า 595 คดี ตามรายงานขององค์กร Protection International ยังไม่เคยมีคดีใดที่ศาลอาญาใช้บทบัญญัติข้างต้นในการมีคำสั่งยกฟ้อง เสาวณีย์เปรียบเทียบถึงสหรัฐอเมริกา หนึ่งในประเทศที่มีพัฒนาการด้านกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP) ที่ถูกระบุไว้ในคดีแพ่ง เพราะไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญา ในประเทศที่ยึดหลักปฏิบัติสิทธิเสรีภาพทางการพูด

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ กรีนพีซ ประเทศไทย นำเสนอกรณีที่สะท้อนถึงความเสี่ยงขององค์กรที่ทำงานรณรงค์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมในระดับสากล ซึ่งต้องเผชิญกับการถูกฟ้องร้องจากบริษัทพลังงานฟอสซิลรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แม้ในสหรัฐฯ จะมีกฎหมายที่ใช้ป้องกันการฟ้องร้องเพื่อปิดปาก แต่คณะลูกขุนกลับตัดสินให้กรีนพีซต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 20,000 ล้านบาทให้แก่บริษัทดังกล่าว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของจำนวนเงินตามคำพิพากษาเท่านั้น ระยะเวลาการตัดสินคดีก็เป็นต้นทุนหนึ่งที่ผู้ต่อสู้ต้องจ่าย เช่นกรณีที่ปรากฏในสารคดี SLAPP เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย แต่แกนนำคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่สู้คดี พ.ร.บ. ชุมนุมที่ออกมากว่า 10 ปี จนถึงวันนี้การฟ้องปิดปากก็ยังเป็นเครื่องมือที่ทำลายเสรีภาพ สิทธิในการแสดงออกของพี่น้องประชาชน กระทั่งได้รับความยุติธรรมจากการรอคอยการตัดสินของศาลมายาวนานกว่า 5 ปี จึงจะได้รับความเป็นธรรม เสมือนข้อพิสูจน์ว่าเราต้องเดินตามหาความยุติธรรม จนกว่าที่ศาลจะวางหลักการไว้ถึง พ.ร.บ.ชุมนุม ที่โจทก์ต้องเป็นฝ่ายนำหลักฐานมาพิสูจน์ในชั้นศาล และหากภาครัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลฐานทรัพยากร การออกมาปกป้องสิ่งแวดล้อมของชุมชนเป็นสิ่งที่ประชาชนทำได้อย่างถูกต้องตามหลักการรัฐธรรมนูญด้านสิทธิเสรีภาพ

ต้นทุนที่คำนวณเป็นตัวเลขได้มากกว่า 7 ล้านบาท ที่แกนนำ 17 คนสูญเสียไปในระหว่างการตัดสิน โดยไม่ได้มีการชดเชยหลังการตัดสินว่าไม่มีความผิด ในสายตาของตัวแทนที่ทำงานรณรงค์ปกป้องสิ่งแวดล้อม การเคลื่อนไหวในประเด็นความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศที่ต้องเข้มแข็งมากขึ้น จากปัญหาวิกฤติด้านนโยบายพัฒนาของรัฐที่กระทบสิ่งแวดล้อม ที่เห็นได้จากคัดค้านแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

หายนะของอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้น เพราะรัฐไม่เคยวางนโยบายอยู่บนฐานความหลากหลายด้านชีวภาพ สิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน แต่มองอยู่บนฐานที่ว่า กลุ่มอำนาจทุนต้องการสิ่งนี้” 

มากกว่า Anti-SLAPP Law คือเจตจำนงทางการเมือง

ปัญหาเชิงนโยบายของรัฐที่มาจากโครงสร้างการพัฒนาที่ยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชน อยู่เบื้องหลังการตกอยู่ในความเสี่ยงของนักปกป้องสิทธิจำนวนมาก นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ระบุถึงแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ แผนปฏิบัติการระดับชาติ ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights : NAP) ที่ระบุถึงแนวทางการคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชนในภาพรวม โดยมีเป้าหมายหลักคือ การจัดทำกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ลักษณะการทำงานของภาครัฐจึงเป็นการขับเคลื่อนการจัดทำกฎหมาย ด้วยวิธีการเข้าไปปรับแก้รายละเอียดในกฎหมายให้มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมายที่ครอบคลุมเฉพาะประเด็นการดำเนินคดี เพื่อยุติการขับเคลื่อนสิทธิเสรีภาพในอนาคต

เช่นการปรับแก้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา เพื่อคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล แสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กรภาครัฐ รวมไปถึงเอกชนที่เซ็นสัญญาร่วมกับภาครัฐ ว่าจะไม่ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา แม้ความตั้งใจแรกเริ่มของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะเป็นการเสนอกฎหมายภายใต้ชื่อ “พ.ร.ป. ป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก” (Anti-SLAPP Law) เพื่อคุ้มครองการฟ้องร้องคดีปิดปากทั้งจากเอกชนและภาครัฐ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากราชกฤษฎีกา ก่อนจะได้มีการกลับมาศึกษาร่วมกับนักวิชาการ เพื่อยกร่าง พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ (พ.ร.บ. ป้องกันการฟ้องปิดปาก) ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในการเปิดรับฟังความคิดเห็นของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ให้ครอบคลุมการฟ้องร้องคดีปิดปากที่โจทก์เป็นภาครัฐรวมไปถึงเอกชนในกฎหมายแพ่งและอาญา ที่เมื่อการแสดงออกเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาล อัยการ และตำรวจผู้ส่งสำนวนประเมินแล้วว่า เป็นการฟ้องโดยมีเจตนากลั่นแกล้ง ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผู้บังคับใช้กฎหมายสามารถมีอำนาจในการไม่สั่งฟ้อง ปล่อยตัวโดยไม่ต้องมีหลักประกัน รวมไปถึงใช้คำสั่งศาลในการให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ถูกฟ้องร้อง

“กฎหมายบางฉบับเราผลักดันเป็น 10 ปี เจตจำนงทางการเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าผู้นำประเทศเห็นความสำคัญ มติเห็นชอบก็จะผ่านไปได้เร็ว” 

การเปิดช่องทางกฎหมายให้ดุลพินิจของศาลสามารถรับคำฟ้องปิดปากได้โดยไม่ถือเป็นความผิด การรับหลักการสิทธิมนุษยชนสำหรับธุรกิจ” (UN Guiding Principles on Business and Human Rights : UNGP) ของไทย สามารถถูกนำมาเป็นตัวอย่างหนึ่งในการกำหนดกรอบแนวคิดของเอกชน ที่ต้องเคารพประชาชนและสิ่งแวดล้อมตามความเห็นของ มนูญ วงษ์มะเซาะห์ ยอมรับว่าวันนี้ถูกมองเป็นเรื่องความสมัครใจที่ภาคธุรกิจจะเห็นความสำคัญต่อผลกระทบที่มีต่อสาธารณะ และถูกระบุไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) การเลือนหายไปของชีวิตประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากหน้ากระดาษรายงานผลกระทบ สะท้อนให้เห็นว่าเจตจำนงทางการเมืองหนึ่งของที่รัฐบาลควรมองเห็น คือการทำให้สิทธิในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประชาชน ทดแทนแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เปิดทางให้การเติบโตทางธุรกิจของภาคเอกชน แต่กำลังเซาะกร่อนระบบนิเวศของประเทศ ละเว้นคำสัญญาที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกำลังมองไม่เห็นปัญหาการถูกลิดรอนสิทธิของประชาชนจากการลุกขึ้นมาปกป้องสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

เบญจา แสงจันทร์ ยังคงย้ำถึงการย้อนกลับไปมองกฎหมายสูงสุดของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ ที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนถึงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกทางความคิดเห็น ที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริง มีผลกระทบต่อสาธารณะที่ปรากฏอย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงยังมีผู้ทำงานปกป้องสิทธิจำนวนมากที่ถูกปิดปากจากการออกมากล่าวถึงภาครัฐและเอกชน สิ่งที่ใกล้ตัวเบญจาในฐานะผู้ที่ผ่านทำงานทางการเมือง การถูกยกเว้นเอกสิทธิ์คุ้มครองจากการถ่ายทอดการอภิปรายในรัฐสภา ที่ไม่ได้คุ้มครองการกล่าวถึงบุคคลนอกสมาชิกรัฐสภาที่เข้ามามีอิทธิพลต่อกลไกการทำงานของภาครัฐ เป็นหนึ่งในช่องว่างทางกฎหมาย ที่ส่งผลให้ผู้แทนจำนวนหนึ่งถูกฟ้องร้องปิดปากจากการกล่าวถึงกลุ่มเอกชน ที่มีผลเกี่ยวเนื่องไปกับกฎหมายอย่าง พ.ร.บ. คำสั่งเรียก ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (พระราชบัญญัติคำสั่งเรียก) ที่ไม่สามารถบังคับเอกชนในการเข้ามาชี้แจงกับกรรมาธิการและสมาชิกสภาได้ เช่นในกรณีการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ที่หลังการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาถึงความเกี่ยวเนื่องกับการนำเข้าของภาคเอกชน เมื่อรัฐสภาไม่สามารถเรียกให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงได้ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนจึงยังคงดำเนินต่อไป และอาจลงเอยด้วยการฟ้องปิดปากอย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับอีกหลายกรณีในวันนี้

“มีข้อบังคับว่าถ้าเอกชนรู้สึกว่าตนเองถูกกล่าวถึงในสภา ก็สามารถทำหนังสือขอชี้แจงได้ แต่เราไม่เคยเห็นภาคธุรกิจรายใด ทำหนังสือถึงสภาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แต่เลือกที่จะปกปิดข้อเท็จจริงเหล่านั้น”

การเลือกนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้เพื่อปกปิดข้อเท็จจริง แม้จะมีการคุ้มครองที่ถูกระบุไว้ในทางกฎหมาย จากกฎหมายสูงสุดของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญาที่ใช้ประกอบคำพิพากษา รวมไปถึงสิทธิการเปิดโอกาสให้เปิดเผยข้อเท็จจริงของภาครัฐและเอกชนที่ถูกกล่าวถึง สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในเกราะกำบังให้ประชาชนสามารถแสดงออกทางความคิดเห็นได้อย่างเสมอภาค แต่กลับไม่เคยถูกใช้ในกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาสิทธิในฐานะพลเมือง คำถามที่ยังเว้นว่างในวันนี้ ของจำนวนตัวเลขคดีการฟ้องปิดปากที่ยังเพิ่มสูงขึ้น จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า ไทยอยู่ตรงไหนของเส้นทางการผลักดันกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเท่านั้น แต่หากเป็นเจตจำนงทางการเมืองที่จะหยุดหายนะจากอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม

ขอบคุณภาพปก: Panumas Sanguanwong