“โห ถ้าถามว่า (ต้นมะแขว่น) อายุมากสุดกี่ปี เกือบ 50-60 ปีก็มีนะ”
“ของพ่อใหญ่แก้วอะ ตั้งแต่ภรรยาพ่อใหญ่เป็นสาวอะ ปัจจุบันก็ยังอยู่” ชายชราพูดขึ้น
บนดอยไร้ชื่อ ถ้าไม่มีชาวบ้านนำทาง ก็คงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ดินทำกินของชาวบ้าน ถ้าไม่มีคนบอก ก็คงไม่รู้ว่าต้นกล้าพืชเล็กจิ๋วที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ตรงหน้า คือพืชเศรษฐกิจสำคัญของชาวบ้าน เป็นสัญลักษณ์และจิตวิญญาณในการ ‘ปกปักษ์รักษาป่า’ ของเหล่าผู้คนในชุดผ้าฝ้ายหลากสีนี้
“ไม่มีมะแขว่น ป่าไม้ก็อาจจะไม่มีเลย สมมุติว่ามะแขว่นอยู่ตรงนี้ ก็ต้องมีต้นไม้อยู่ตรงนี้ ทุกปีเวลาไฟนอกเข้ามาก็ต้องดิ้นรนกันไป แต่นาน ๆ เข้าก็ไม่ไหว ต้นมะแขว่นจะตายหมด ก็เลยต้องทำแนวกันไฟไว้ เพราะเรามีต้นมะแขว่น เพราะมันคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่ข้างล่างไฟไหม้ ก็อาจเป็นเพราะว่าไม่มีต้นมะแขว่นนั่นแหละ” ชายชราพูดพลางหุ้มต้นกล้ามะแขว่นด้วยกาบกล้วย
ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ว่าด้วยแนวทางการฟื้นฟูวิถีชาวกะเหรี่ยง โดยมีพื้นที่นำร่อง ‘พื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ’ ทั้งหมด 4 แห่ง คือ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย บ้านมอวาคี อ.แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเลตองคุ อ.อุ้มผาง จังหวัดตาก และตำบลไล่โว้ อ.สังขละบุรี จังหวัดราชบุรี
พื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ เกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม เพราะความไม่มั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐ จนนำไปสู่การกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรกับกลุ่มชาติพันธุ์
ทว่าความเสี่ยงนี้หาได้เกิดขึ้นกับ 4 พื้นที่ข้างต้นเพียงเท่านั้น แต่กระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ชาติพันธ์ุ หนึ่งในนั้นคือ ชุมชนบ้านแม่ส้าน ที่แม้ไม่ได้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามนิยามของรัฐ แต่ชุมชนยืนยันว่าความพิเศษไม่ได้เกิดขึ้นจากรัฐเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาในการบริหารจัดการพื้นที่ วิถีชีวิต ไร่หมุนเวียน และต้นมะแขว่น ที่นอกจากจะสร้างรายได้แล้ว ยังสร้างความมั่นคงทางอาหารและทางเศรษฐกิจอีกด้วย
“ปัจจัยหนึ่งที่เราดูแลป่าก็เพราะมีต้นมะแขว่นในการหล่อเลี้ยงชุมชน เป็นรายได้หลักของชุมชน เราเลยอนุรักษ์ป่าอย่างจริงจัง ดูแลทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ให้เกิดความชุ่มเย็น เพราะว่าถ้าไม่มีต้นไม้ ไม่มีต้นมะแขว่น เราก็ตายเหมือนกัน” ชายร่างเล็กพูดขึ้นระหว่างเดินอยู่ตามแนวกันไฟของไร่หมุนเวียน

บ้านแม่ส้านเป็นชุมชนของกะเหรี่ยงโปว์ ตั้งอยู่ในอำเภอแม่เมาะ ตำบลบ้านดง จังหวัดลำปาง ตามประวัติศาสตร์ชุมชนพบว่าชุมชนตั้งถิ่นฐานมายาวนานถึง 300 ปี ปัจจุบันมีพื้นที่ที่ดูแลรักษาอยู่ 18,102 ไร่ และประชากรจำนวน 443 คน ใน 127 ครัวเรือน
ในรายงาน “ไฟและมะแขว่นในวิถีไร่หมุนเวียน พื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษบ้านแม่ส้าน” ที่จัดทำโดยศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าชุมชนบ้านแม่ส้านทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนมาอย่างยาวนาน โดยภาพวาดพื้นที่จากทีมวิจัยท้องถิ่นบ้านแม่ส้านแสดงให้เห็นว่า ช่วงก่อนปีพ.ศ. 2530 ชุมชนบ้านแม่ส้านยังมีการทำไร่หมุนเวียนเป็นแปลงขนาดใหญ่ ผสมผสานกับพื้นที่สวนกาแฟ หน่อไม้ มะม่วง ส้มโอ ขนุน และมะแขว่นที่ขณะนั้นยังมีจำนวนไม่มาก และยังไม่ได้เป็นพืชที่สำคัญของชุมชน
ราวปีพ.ศ. 2514 หน่วยงานรัฐมีความพยายามส่งเสริมให้ชาวแม่ส้านปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต โดยส่งเสริมให้มีการปลูกกาแฟและทำนา พร้อมทั้งเงินสนับสนุนเพื่อปรับพื้นที่ทำนาไร่ละ 500 บาท อีกทั้งในปีพ.ศ. 2527 มีการตัดถนนเข้าหมู่บ้านจากถนนพหลโยธิน (ลำปาง-งาว-พะเยา) ทำให้เริ่มมีพ่อค้าคนกลางเข้ามาซื้อมะแขว่นจากบ้านแม่ส้าน รวมถึงชาวบ้านก็นำมะแขว่นออกไปขายเองด้วย
ทำให้ภายหลังปีพ.ศ. 2530 มะแขว่นกลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น กลายเป็นพืชเศษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนบ้านแม่ส้านอย่างมหาศาล ชาวแม่ส้านจึงปรับขนาดของไร่หมุนเวียน เริ่มปลูกต้นมะแขว่นมากขึ้น และกลายมาเป็น ‘สัญลักษณ์’ ในการดูแลป่าของชุมชนบ้านแม่ส้านในที่สุด

“ตั้งแต่ผมเกิดมาก็เห็นพ่อแม่ทำแนวกันไฟแล้ว เพราะว่าต้นมะแขว่นมันเป็นพืชไม้อ่อน มันโดนไฟไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าไฟจะไม่ถึงต้นก็ตาม แค่ประมาณ 4-5 เมตร มันก็ตายแล้ว”
สมคิด ทิศตา ชายร่างเล็กและพ่อหลวงแห่งชุมชนบ้านแม่ส้านพูดขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางหุบเขาที่เริ่มเตียนโล่งจากการตัดฟันต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับเผา ความชื้นจากฤดูฝนยังมาไม่ถึง แสงแดดแผดเผาเป็นสัญญาณจากท้องฟ้าว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการเตรียมดินก่อนจะหยอดข้าวและเมล็ดพันธุ์
มะแขว่นเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 10-25 เมตร ต้นเรียวเล็กไม่ใหญ่มาก และมีหนามแหลมตามลำต้น แม้มะแขว่นจะไม่ชอบไฟ แต่มะแขว่นจะเติบโตได้ดีถ้ามีการใช้ไฟ พ่อหลวงสมคิดอธิบายว่ามะแขว่นเป็นพืชที่ชอบความชื้นในต้นฤดูฝน และเมื่อทำการเผาไร่หมุนเวียนที่เต็มไปด้วยซากพืชนานาพันธุ์ จะทำให้ดินอุดมไปด้วยสารอาหารสำหรับมะแขว่นที่จะเจริญเติบโตขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน “ต้นมะแขว่นจะเกิดมาก็ต้องมีการเผาก่อน ต้นมะแขว่นจะอยู่ได้ ก็ต้องมีป่าด้วย ถ้าไม่มีป่า มันก็อยู่ไม่ได้ ก็ตาย” พ่อหลวงย้ำ

การจัดการไฟในพื้นที่ไร่หมุนเวียนและบริเวณต้นมะแขว่นของบ้านแม่ส้านมีอยู่ 2 รูปแบบ
รูปแบบแรก คือ การจัดการแบบไม่มีมะแขว่นในไร่หมุนเวียนมากนัก โดยตามปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านแม่ส้าน ชาวแม่ส้านจะเริ่มเลือกพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ จากกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมจะเริ่มตัดฟันต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่ทำไร่ เพื่อที่เดือนมีนาคมถึงเมษายนจะทำการเผาไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ของชาวกะเหรี่ยงที่ทำไร่หมุนเวียน เพราะการเผาเท่ากับความมั่นคงทางอาหารที่จะทำให้พวกเขาจะมีพืชพันธุ์และอาหารกินไปตลอดทั้งปี
“หลัง ๆ เราหารือและมีแนวทางใหม่ คือช่วยกันทำให้แนวกันไฟมันคลุมทั้งหมู่บ้านดีกว่า ไม่ให้ไฟจากที่อื่นเข้ามาเลย เพราะสาเหตุหลักที่เกิดไฟขึ้นในหมู่บ้าน คือไฟจากที่อื่นเกือบ 100%” พ่อหลวงเปรย
หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแต่ละขั้นตอน จะพบว่าไร่หมุนเวียนนั้นเป็นภูมิปัญญาที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ อาทิ การตัดฟันต้นไม้โดยเหลือตอไม้ไว้ เพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นอีกครั้งหลังช่วงเผา หลังตัดฟันต้นไม้จะต้องทิ้งไว้ 30 วัน เพื่อให้ต้นไม้เหล่านั้นแห้งสนิท ทำให้เมื่อเผาไร่ไฟจะมอดดับอย่างรวดเร็ว หรือการทำแนวกันไฟที่มีลักษณะเฉพาะตัวไปตามแต่ละพื้นที่
พ่อหลวงสมคิดเล่าว่า เมื่อก่อนชุมชนบ้านแม่ส้านจะทำแนวกันไฟเฉพาะบริเวณแปลงที่เผากับตรงต้นมะแขว่น โดยแปลงหลังหนึ่งอาจใช้คนประมาณ 20 คนขึ้นไปเพื่อคุมไฟให้อยู่ แต่ถึงแม้จะคุมไฟภายในได้สำเร็จ ชาวแม่ส้านก็ต้องเผชิญไฟจากภายนอกในบางครั้ง ซึ่งไฟนอกในที่นี่ หมายถึงไฟที่มีแหล่งกำเนิดจากนอกพื้นที่ แต่ลุกลามเข้าสู่พื้นที่ป่าและพื้นที่ใช้ประโยชน์ของชุมชน เช่น ไฟป่าที่ถูกความแปรปรวนของสภาพอากาศพัดมาติดป่าชุมชน หรือไฟที่ลักลอบจุดโดยคนภายนอกหมู่บ้าน
ซึ่งพ่อหลวงบอกว่า ไฟที่ควบคุมไม่ได้ที่เกิดขึ้นในบ้านแม่ส้านคือไฟจากภายนอกทั้งสิ้น จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ภายหลังชาวบ้านแม่ส้านปรับวิธีการทำแนวกันไฟ โดยหันมาทำ ‘แนวกันไฟรอบหมู่บ้าน’ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟจากภายนอกย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้าน โดยแนวกันไฟฉบับปรับปรุงนี้ มีความยาวทั้งหมด 36 กิโลเมตรรอบหมู่บ้าน ใช้เวลาทำราว 1-2 เดือน อย่างไรก็ดี ชาวแม่ส้านก็ยังคงทำแนวกันไฟรอบแปลงที่เผาอยู่เช่นเดิม และเพิ่มแนวกันไฟชั้นที่ 2 รอบนอกแนวกันไฟชั้นแรกอีกทีหนึ่ง โดยห่างกันราว 3-4 เมตร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการคุมไฟนั่นเอง
“ต้องทำแนวกันไฟไว้ไม่ให้เข้ามาเด็ดขาดเลย ทุกปีที่เวลาไฟนอกเข้ามา ก็ต้องดิ้นรนกันไป ไม่ว่าตอนกลางวัน กลางคืน เวลาไหน ผู้ใหญ่บ้านประกาศต้องไปอย่างเดียว ไปเด็ดขาดเลย ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายนะ ไปกันหมดบ้านนั่นแหละ” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นระหว่างตัดฟันต้นไม้

อีกหนึ่งรูปแบบในการจัดการไฟของชาวแม่ส้าน คือ การจัดการแบบปลูกมะแขว่นพร้อมไร่หมุนเวียน ที่พ่อหลวงสมคิดกล่าวไว้ว่าเมื่อเผาไร่หมุนเวียน มะแขว่นก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเอง นั่นก็เพราะว่ามะแขว่นมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่แข็งและหนา แต่ไฟจะทำเปลือกของมะแขว่นหลุดออก ซึ่งช่วยให้มะแขว่นเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น
และเมื่อแขว่นเติบโตจนขึ้นเป็นกล้าอ่อน ภายในลำต้นนั้นจะมีน้ำมันที่ไวต่อไฟมาก ทำให้ชาวแม่ส้านจำเป็นต้องทำ ‘แนวกันไฟต้นมะแขว่น’ เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง โดยจะเว้นพื้นที่ว่างรอบต้นมะแขว่นเท่ากับรัศมีของใบมะแขว่น และนำกาบกล้วยเข้าห่อหุ้มบริเวณลำต้น ซึ่งจะช่วยป้องกันต้นมะแขว่นจากไฟที่มาจากการเผาไร่หมุนเวียนนั่นเอง
ในรายงานไฟและมะแขว่นในวิถีไร่หมุนเวียนฯ ระบุว่า พืชพันธุ์ในไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านแม่ส้านได้สร้างความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ชุมชนอย่างมหาศาล โดยรายงานระบุว่า ปัจจุบันชุมชนบ้านแม่ส้านคงเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ 27 ชนิด ข้าวนา 16 ชนิด และพืชผัก 50 ชนิด และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น หน่อไม้ กาแฟ ข้าวบางชนิด ผลผลิตอื่น ๆ รวมถึงมะแขว่น ซึ่งตีเป็นมูลค่าสูงเกือบ 6,000,000 บาท

ซึ่งพ่อหลวงเคยให้สัมภาษณ์กับทาง Green news ว่า การเปลี่ยนช่วงเวลาเผาไร่หมุนเวียน ทำให้ปริมาณผลผลิตและคุณภาพต่ำลง เพราะหลังสิ้นสุดมาตรการห้ามเผาก็จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว (กลางเดือนพฤษภาคม) ความชื้นจากฝนทำให้การเผาในไร่หมุนเวียนไม่สมบูรณ์ กล่าวคือป่ายิ่งชื้น ยิ่งเผาไหม้ช้า ยิ่งเกิดควันนาน อีกทั้งความชื้นยังทำให้วัชพืชเจริญเติบโตได้เร็ว ซึ่งทำให้ต้องใช้แรงผลิตเยอะขึ้นแต่ผลผลิตกลับต่ำลง ซึ่งส่งกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนที่พึ่งพิงทรัพยากรของตนในการใช้ชีวิต
“เราคงต้องเอาวัชพืชออกอีกหลายครั้ง ต้องใช้แรงเยอะขึ้น ในขณะที่ผลผลิตจะน้อยลง จริง ๆ บรรพบุรุษของเราเขาออกแบบไว้หมดแล้ว แต่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนแปลงหมด อาหารอื่น ๆ ในไร่หมุนเวียน เช่น แตง พริก มัน เผือก ก็จะน้อยลงด้วย ผลผลิตพวกนี้จะได้น้อยลง แคระแกร็น สารพัดอาหารในไร่หมุนเวียนจะไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม” พ่อหลวงให้สัมภาษณ์กับ Green news

: เคยมีปีไหนที่เราไม่ได้เผาไหม ?
“ไม่มีนะครับ สำหรับไร่หมุนเวียน เราต้องเผาตลอด” เด็กหนุ่มตอบ
ท่ามกลางข้อครหาว่าชุมชนบนพื้นที่สูงเป็นต้นตอของปัญหาป่าไม้และฝุ่นควัน ชุมชนบ้านแม่ส้านเป็นหนึ่งในชุมชนที่ยืนหยัดต่อสู้กับมายาคติดังกล่าว พัฒนาวิทยาศาสตร์ชุมชนและวิจัยชาวบ้านเพื่อยืนยืนว่าพวกเขาไม่ใช่ปัญหา แต่พวกเขาเป็นผู้ที่กำลังปกปักษ์รักษาป่าต่างหาก
ศุภสิทธิ์ เสนะ หนึ่งในทีมวิจัยเยาวชนของชุมชนบ้านแม่ส้านได้ยืนยันกับเราเรื่องนี้

เมื่อราว ๆ 3 ปีก่อน ศุภสิทธิ์ ทีมวิจัยเยาวชน และชาวบ้านแม่ส้านได้ร่วมมือกับ อ.ดร. จตุพร เทียนมา จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในการศึกษา ‘การชะล้างพังทลายของดินและการไหล่บ่าน้ำผิวดินในพื้นที่เกษตรกรรมระบบไร่หมุนเวียน’
โดยผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลจากพื้นที่ 4 รูปแบบ คือ ไร่เกษตรเชิงเดี่ยว (เช่น ข้าวโพด) ไร่ข้าว ไร่เหล่า 3 ปี (ไร่ที่ถูกพักฟื้นหลังการทำเกษตร) และพื้นที่ป่าธรรมชาติ เพื่อพิสูจน์ว่าการเผาไร่หมุนเวียนมีส่วนช่วยให้ดินมีโครงสร้างที่แข็งแรง สมบูรณ์ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับพื้นที่ได้
“ตั้งแต่โตมาผมก็เชื่อบรรพบุรุษปู่ย่าตายายเลยว่าต้องเผา เผาเวลานี้นะ เวลานั้นนะ เพื่อผลผลิตที่ดี” ศุภสิทธิ์กล่าวอย่างหนักแน่นระหว่างพูดคุยกัน เขาอธิบายว่าแม้เยาวชนจะมีความเชื่อว่าจำเป็นต้องเผา แต่สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือ ‘ความเข้าใจในระบบการจัดการไฟ’
“อย่างเยาวชนเขาก็จะไปดูเนอะ ไปดูว่าผู้ใหญ่เขาทํากันยังไง เขาทําแบบนี้นะ เพื่อที่ต่อ ๆ ไป พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เราก็จะได้รู้ว่าการจัดการเชื้อเพลิงมันเป็นยังไง” ศุภสิทธิ์บอก

อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นตามเข็มนาฬิกาที่ตีสาม ไฟจุดเล็ก ๆ เริ่มขยายตัวปกคลุมที่ดินเตียนโล่ง และต้นกล้ามะแขว่นที่ถูกห่อหุ้มด้วยกาบกล้วย ไอร้อนจากไฟเริ่มสัมผัสใบหน้าของผู้เขียนและชาวบ้านละแวกนั้น เพื่อยืนยันว่าการเผาไร่ช่วงบ่ายโมงเป็นเวลาที่ดีที่สุด
ตามปกติแล้วชาวบ้านจะเผาไร่ในวันเดียวกันกับวันที่ทำแนวกันไฟ โดยเริ่มต้นเผาตั้งแต่ช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป ถึงแม้วันนั้นเวลาจะล่วงเลยไปถึงบ่ายสามโมง แต่การเผาก็ยังสมบูรณ์ เพราะหยดน้ำจากฤดูฝนยังมาไม่ถึง และเปลวไฟก็สลายหายไปเมื่อสัมผัสกับเส้นแนวกันไฟราวกับปาฏิหาริย์
ชาวบ้านคนหนึ่งที่เป็นหน่วยปฏิบัติการจุดไฟเล่าให้ฟังว่า การจุดเผาไร่หมุนเวียนจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มด้านบนกับด้านล่างและกลุ่มด้านซ้ายกับด้านขวา โดยจะเริ่มจุดจากด้านบนลงด้านล่าง และจากด้านล่างขึ้นข้างบนพร้อม ๆ กัน จากนั้นจะจุดจากด้านซ้ายและด้านขวา เพื่อให้ไฟทั้งหมดมาบรรจบกันตรงกลางพื้นที่ หรือที่เรียกว่า ‘การเผาชน’ ระหว่างนั้นชาวบ้านก็จะคอยตรวจตราและฉีดน้ำ ในบางจุดเพื่อไม่ให้ไฟลามออกไปจากพื้นที่ โดยปกติจะใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง ไฟก็จะมอดดับลง
การเผาในวันนั้นกินระยะเวลาราว 30-45 นาทีเท่านั้น (ในขนาดพื้นที่ประมาณ 1-2 ไร่) โดยไฟทั้งหมดมอดดับลงตั้งแต่เขตแนวกันไฟชั้นแรก และไม่มีวี่แววว่าไฟเหล่านั้นจะหลุดออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด
“ผมว่าการจัดการแบบใช้ไฟมันง่ายที่สุด เพราะเวลาเราเผา มันมีสารอาหารต่าง ๆ ตกลงไปในดิน และผลผลิตจากป่า ไม่ว่าจะเป็นต้นข้าว หรืออะไรต่าง ๆ ในไร่หมุนเวียนมันจะสวยงามที่สุดครับ” ศุภสิทธิ์ยืนยัน

เมื่อไฟมีหัวใจ หาใช่เพียงควัน
‘อวสานระบบไร่หมุนเวียน’ ภายใต้การเผาที่กำกับโดยรัฐ
ลำปางเป็นจังหวัดหนึ่งที่มาตรการห้ามเผาเป็นไปอย่างเข้มข้น สำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) ได้ออกมาตรการห้ามเผาป่าในพื้นที่โล่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 พฤษภาคม 2568 โดยครอบคลุมทั้งพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ริมทางหลวง พื้นที่ชุมชน และพื้นที่เมือง ทั้ง 13 อำเภอของ จ.ลำปาง โดยยกเว้นเฉพาะพื้นที่ที่มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามหลักการวิชาการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตามมาตรา 19 (พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ) มาตรา 18 (พ.ร.บ. อุทยานฯ) และมาตรา 52 (พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองฯ)
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้กล่าวในการประชุมกองบัญชาการฯ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ว่าการบรรเทาสาธารณภัยด้วยการจ่ายเงินเยียวยาเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือใช้ความกล้าหาญ ดำเนินการบังคับใช้กติกาตามประกาศเขตพื้นที่ห้ามเผาอย่างจริงจัง เข้มข้น และต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายของปัญหาฝุ่นควันและไฟป่า ขณะที่ อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยยังยืนยันอีกว่า สามารถใช้ระเบียบข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกฎหมายทุกฉบับในการเอาผิดกับผู้ฝ่าฝืน เพื่อ ประโยชน์ของประชาชนโดยรวม
โดยสาเหตุหลักของมาตรการห้ามเผาอย่างเข้มข้นครั้งนี้ ประกาศจากจังหวัดลำปางระบุว่า ในช่วงฤดูแล้งของเดือน ’กุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปีมักเกิดไฟป่า’ ขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนฯ ป่าชุมชน เขตพื้นที่ ส.ป.ก. พื้นที่ราชพัสดุ พื้นที่การเกษตร พื้นที่ริมทาง และพื้นที่ชุมชน ซึ่งเป็น ‘สาเหตุทำให้เกิดค่าปริมาณ PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน’ และส่งผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ อันมีเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผากำจัดวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตรโดยไม่มีแนวกันไฟ หรือการลักลอบเผาพื้นที่ป่าเพื่อการเก็บของป่า ล่าสัตว์ และบุกรุกพื้นที่
ทว่าสำหรับปฏิทินของชาวบ้านแม่ส้าน เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนนั้นเป็นเดือนแห่งการเตรียมพื้นที่ไร่หมุนเวียน โดยจะเริ่มตัดฟันต้นไม้และเตรียมที่ทำไร่หมุนเวียนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม และระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนจะเป็นช่วงเวลาของการเผาไร่หมุนเวียนและเก็บซากไม้ออกจากพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านมองว่า มาตรการดังกล่าวไม่สอดรับกับพื้นที่จนทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ และเป็น ‘มาตรการเหมารวม’ ที่เอาผิดกับชาวบ้านและไร่หมุนเวียน ที่อาจมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในรายชื่อของผู้สร้างมลพิษ

“จริง ๆ แม่ส้านจะเผาเฉพาะเดือนมีนาคม เมษายนจะไม่ได้เผาแล้ว” พ่อหลวงสมคิดเปรยขึ้น
“เพราะว่าเดือนเมษายนไฟมันจะแรง แล้วก็เราจะเอาไฟไม่อยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่เมื่อก่อนก็จะบอกว่า
ถ้าถึงเดือนเมษายน มันเหมือนกับว่าไฟมีขามีมือแล้ว มันสามารถไปติดต้นไม้ ติดอะไรได้”
พ่อหลวงอธิบายว่าแม้ตามปฏิทินของชุมชนจะเขียนว่าเผาไร่หมุนเวียนช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน แต่ตามหลักปฏิบัติจริง ๆ การเผาจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และยาวไปจนถึงเดือนมีนาคม เพราะหากเผาในช่วงเดือนเมษายนที่อากาศร้อนจัด อาจทำให้ไฟรุนแรงเกินการควบคุมของชาวบ้าน ไฟอาจหลุดรอดออกจากพื้นที่ หรืออาจส่งผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจอย่างมะแขว่นนั่นเอง
พ่อหลวงสมคิดเล่าว่า ชาวบ้านแม่ส้านขออนุญาตเผาไปทั้งหมด 300 กว่าไร่ 133 แปลง จากทั้งหมด 18,102 ไร่ เฉลี่ยแปลงละ 3-4 ไร่ ซึ่งสำหรับชาวบ้านมองว่าเป็นจำนวนที่ไม่ได้เยอะนัก “เขาไม่ได้ทำหวังรวย หวังค้าขาย หวังเป็นกำไร ขอแค่มีข้าวกินก็สบายใจแล้ว” พ่อหลวงบอก

ทว่าแม้ชาวบ้านแม่ส้านจะยืนยันแนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของตนเองเพียงใด
ก็ไม่อาจต้านทานนโยบายจากเบื้องบน ที่มักไม่สอดรับกับวิถีดั้งเดิมและแนวปฏิบัติของชาวบ้านเท่าไหร่นัก
“ทางชุมชนก็มีการขออนุญาตขอกำจัดเชื้อเพลิงไป จริง ๆ แล้วการห้ามเผามันก็มีข้อที่บอกอยู่ว่า ถ้าคุณจะเผา ก็ให้มีการขออนุญาตกำจัดเชื้อเพลิงในพื้นที่นั้น ๆ ทีนี้เราขออนุญาตไปตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับเลยจากทางผู้ว่าหรือจากทางหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้”
พ่อหลวงสมคิดเล่าว่า ปี 2568 น่าจะเป็นปีที่มีมาตรการห้ามเผายาวนานที่สุดแล้ว เพราะปกติชาวบ้านแม่ส้านจะได้รับการอนุญาต ‘ชิงเผา’ ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อทยอยเผาไร่หมุนเวียนและลดเชื้อเพลิงที่เป็นความเสี่ยงในการเกิดไฟป่า
นอกจากระบบ FireD หรือ ‘ไฟดี’ ที่เป็นกลไกที่กรมป่าไม้พัฒนาขึ้นเพื่อบริหารจัดการการขออนุญาตเผา ประชาชนก็สามารถขออนุญาตเผาผ่านกลไกและช่องทางรัฐอื่น ๆ ได้ เช่น การขออนุญาตผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรือขออนุญาตผ่านศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด/อำเภอ ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองคำขออนุญาตเผาโดยตรงในช่วงที่มีมาตรการควบคุมเข้มข้น โดยการขออนุญาตจำเป็นต้องมีแผนบริหารเชื้อเพลิงและเหตุผลที่จำเป็น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพื้นที่
แต่จวบจนกลางเดือนมีนาคมของปี 2568 ชาวบ้านแม่ส้านกลับยังไม่ได้เผาไร่หมุนเวียนแม้แต่แปลงเดียว
ซึ่งสะท้อนความเข้มข้นของมาตรการห้ามเผาและการบริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยรัฐ

พ่อหลวงอธิบายว่ามาตรการห้ามเผามีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่หากินกับป่า เริ่มตั้งแต่การไม่สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงได้ตามภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งนั่นจะทำให้รายได้กว่า 6 ล้านที่จะได้จากป่าสาบสูญในทันที เพราะไม่อาจเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกได้
อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อผลผลิตนานาชนิดจากไร่หมุนเวียน ที่ถือว่าเป็นความมั่นคงทางอาหารของชุมชนแม่ส้าน พ่อหลวงยืนยันว่ามาตรการห้ามเผาคือการจำกัดสิทธิของชุมชน และทำให้ชาวบ้านไม่อาจใช้ทรัพยากรที่ตนเป็นผู้ดูแลได้ กลายเป็นคนในชุมชนที่มีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต สุดท้ายชุมชนก็จะกลายเป็นภาระของรัฐ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้
“วันนั้นประชุมกันถึงเรื่องที่จะมีการลงพื้นที่ของปลัด และจะมีการเผาไร่หนึ่งหลัง คนทั้งหมด 20-30 คน ยกมือกันหมดเลยว่าเผาของผมได้ไหม เพราะทุกคนอยากเผา เพราะเป็นความยั่งยืนทางอาหาร ซึ่งพอได้เผามันก็สบายใจ แต่ถ้าไม่ได้เผาก็เครียดกันหมด ซึ่งความเครียดพวกนี้มันประเมินค่าไม่ได้” พ่อหลวงบอก

ชีวิตใต้จุดความร้อน
พิกัดดาวเทียมที่บอกคุณเรื่องควัน…แต่ไม่ได้บอกเรื่องคน
วันที่ 18 มีนาคม 2568 ชุมชนบ้านแม่ส้านและชุมชนบ้านกลาง ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ (มพน.) เครือข่ายชุมชนของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) และเครือข่ายภาควิชาการ จัดเวทีนำเสนอแผนการบริหารเชื้อเพลิงในระบบเกษตรไร่หมุนเวียน ณ ชุมชนบ้านแม่ส้าน โดยภายในวันดังกล่าว จะมีการเผาไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านแม่ส้าน ซึ่งเป็นการเผาแปลงแรกของชุมชนในปี 2568 อีกด้วย
“การเผาในวันนี้นับว่าเป็นการจุดประกายความหวังเลย ความหวังที่จะมีข้าวกินตลอดทั้งปี มีธัญพืชตลอดทั้งปี เพราะชุมชนรอการเผามาสองสามเดือนแล้ว ซึ่งหากได้เผาแปลงที่หนึ่งแล้ว แปลงที่สอง แปลงที่สามน่าจะตามมา” พ่อหลวงบอก

จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เข้าร่วมงานด้วยตนเอง พร้อมทั้งรับข้อเรียกร้องและข้อเสนอในประเด็นดังกล่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์หลายชุมชน ทั้งจากเครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
เขายืนยันว่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิงของชุมชนจำเป็นต้องเดินหน้าไปอย่างเป็นระบบ และไม่ให้ลามเข้าไปยังพื้นที่ป่า อย่างชุมชนบ้านแม่ส้านก็ถือว่าเป็นชุมชนที่มีองค์ความรู้ในการจัดการเชื้อเพลิงที่ดี เช่น การทำแนวกันไฟหลายชั้น หรือการเผาโดยไม่ให้แปลงอยู่ใกล้กันเกินไป
แต่อย่างไรก็ดี จตุพรกล่าวว่าคงไม่ใช่ทุกชุมชนที่มีองค์ความรู้ในการจัดการเชื้อเพลิงแบบบ้านแม่ส้าน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างจิตสำนึกในการดูแลรักษาป่า และการสร้างระบบที่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นควันได้ ดังนั้นหน่วยงานรัฐจึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาดูแลควบคุมนั่นเอง
“สำคัญที่สุดคือทำยังไงอย่าให้มีไฟนะ อย่าให้มีควัน ถ้าเรามีวิธีการไหนที่จะแก้ปัญหา มันก็แก้ทั้งระบบ ช่วยทั้งประเทศ … ซึ่งมันก็ต้องคุยกันหลายพื้นที่ เพราะแต่ละแห่งก็ต่างกัน เราก็เป็นห่วง แต่ยังไงเราก็อยากจะดูแลพื้นที่ป่า ดูแลสุขอนามัย เราต้องช่วยกัน ป่าคือหัวใจของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ป่าของคนใดคนหนึ่ง เป็นป่าของประเทศ เป็นมรดกของโลก”

แม้ทิศทางการพูดคุยในวันนั้นค่อนข้างราบรื่น แต่ความหวังในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยชุมชนเอง ยังคงอยู่ในเครื่องหมายคำถาม ประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) ยอมรับว่าจริงอยู่ที่ไม่ใช่ทั้ง 4,000 ชุมชนที่อาศัยอยู่กับป่าสามารถอนุรักษ์และดูแลป่าได้อย่างชุมชนบ้านแม่ส้าน แต่สังคมและรัฐจำต้องมองย้อนไปว่า มีกฎหมายหรือนโยบายที่จะจูงใจให้ชุมชนเหล่านั้นอยู่แบบยั่งยืนรึเปล่า ?
“ไม่มีนะครับ มีแต่การบังคับและจำกัดการอยู่ เพราะมองว่าชาวบ้านเป็นศัตรูกับป่า” ประยงค์ตอบให้
ประยงค์อธิบายต่อว่า เวลารัฐออกมาตรการใด ๆ สักอย่างหนึ่ง มักเป็นมาตรการที่มองว่าคนเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดไฟป่า แม้หลายที่จะพยายามพิสูจน์ว่าชุมชนสามารถดูแลรักษาป่าได้ดีกว่ารัฐ เพราะเขาอยู่ตรงนั้น อยู่ใกล้ทรัพยากร ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้รักษาป่า ก็คงไม่มีป่าให้ผู้เขียนขึ้นไปดูในวันนั้น

พ่อหลวงสมคิดเสริมว่า มาตรการห้ามเผานั้นเกาไม่ถูกที่คัน เพราะการเผาไม่ใช่ต้นตอของปัญหา เขาอธิบายว่า รัฐไม่สามารถเอาการเผาป่าและการเผาไร่หมุนเวียนมารวมกัน และบอกว่ามันทำให้เกิด PM 2.5 เพราะมีแหล่งกำเนิดอีกมากมาย อาทิ โรงงานอุตสาหกรรม หรือรถยนต์ ซึ่งเขาเองก็ยังไม่เห็นการควบคุมแหล่งกำเนิดเหล่านี้ นอกเสียจากการควบคุมไฟจากไร่หมุนเวียน
“เหมือนกับว่าเราถูกจับตาจากข้างบน (ดาวเทียม) เราน่ะเป็นแพะตลอดเวลา PM 2.5 เกิดมาปุ้บ แน่นอนครับ เขาชี้มาเลยคนบนดอยเผาไร่ คนบนดอยเผาไร่หมุนเวียน นี่คือเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม และเป็นสิ่งที่เรากังวลมาก เราเผาวันนี้ เราไม่รู้ว่าแจ็กพอตรึเปล่า เราเผาวันนี้ จะเจอ Hotspot ไหม”
พ่อหลวงเล่าว่า เมื่อก่อนเขามีความสุขและสบายใจอย่างมากในการทำไร่ทำนา ทว่าพอรัฐบาลเริ่มใช้ จุดความร้อน (Hotspot) ในการตรวจสอบว่ามีไฟเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าหรือไม่ เขาและชาวบ้านกลับไม่มีความสุขในการทำการเกษตรเลย เพราะเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐไม่สนใจเลยว่าไฟเกิดขึ้นอย่างไร แต่หากคุณเผา เท่ากับคุณผิดทั้งหมด
เขาเล่าต่อว่า ช่วงที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านแม่ส้าน ได้มีการนำเครื่องวัดคุณภาพอากาศมาตั้งที่หมู่บ้าน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการเผาไร่หมุนเวียนเกิดขึ้น ทว่าคุณภาพอากาศกลับมีค่าเป็นพิษและเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งก็สามารถพูดได้ว่าฝุ่นควัน PM 2.5 นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเผาไร่หมุนเวียนเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ดี พ่อหลวงเชื่อว่ารัฐบาลยังคงมีความเข้าใจการจัดการเชื้อเพลิงโดยชุมชนอยู่บ้าง เพียงแต่รัฐบาลไม่กล้ากระจายอำนาจให้ชุมชนดูแลทรัพยากรเอง ซึ่งสำหรับพ่อหลวง การกระจายอำนาจให้ชุมชนเป็นแนวทางที่เรียบง่ายที่สุดที่รัฐจะพึงกระทำได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าชุมชนสามารถดูแลรักษาป่าจนสมบูรณ์ โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณใด ๆ เลย “เขาอาจจะกลัวเสียหน้าว่าดูแลดีกว่ารัฐอีก” พ่อหลวงหัวเราะ
ประยงค์ให้ความเห็นคล้าย ๆ กับพ่อหลวงสมคิด เขาอธิบายว่า นอกจากเรื่องการปรับทัศนะที่รัฐมองคนชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในป่า คือการคืนสิทธิ์และความเป็นธรรมให้กับชุมชนเสียก่อน มีหลายชุมชนที่ต้องเผชิญกับการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินนั้น ๆ มาตั้งแต่บรรพบุรุษ นั่นคือความไม่เป็นธรรมที่ทำให้คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องสิทธิทำกิน และไม่สามารถการจัดทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างมั่นคง
พ่อหลวงเปรยว่า ทั้งเขาและชุมชนก็กังวลว่า ‘อวสานระบบไร่หมุนเวียน’ อาจใกล้จะมาถึง เพราะมาตรการต่าง ๆ ทั้งเรื่องสิทธิทำกิน ที่ดิน และการห้ามเผา เหมือนกำลังทำให้ไร่หมุนเวียนตายทั้งเป็น เขายกตัวอย่างว่าปีที่แล้วก็มีมาตรการห้ามเผาเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีการอะลุ่มอล่วยอยู่บ้างในพื้นที่ แต่พอเข้าสู่ปี 2568 ที่มาตรการดังกล่าวออกจากวาจาของรัฐมนตรี ก็ทำให้การห้ามเผาในปีนี้เข้มข้นหนักจนส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่จำเป็นต้องใช้ไฟ
สิ่งที่เขาและชุมชนทำได้ในตอนนี้ คือคาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ เข้าใจระบบเกษตรกรรมแบบไร่หมุนเวียน และเข้ามาทำงานและหาแนวทางร่วมกับชุมชนมากกว่านี้ เพราะพวกเขาก็มีความหวงแหนป่าไม่น้อยไปกว่ารัฐบาล อย่างชุมชนบ้านแม่ส้านที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับไร่หมุนเวียน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่าความต้องการที่จะรักษาผืนดิน ผืนน้ำ และผืนป่าที่พวกเขาเติบโตมา
“ไฟที่ดีของชุมชนชาติพันธุ์ คือไฟในไร่หมุนเวียน คือไฟที่ก่อให้เกิดเป็นปุ๋ย เป็นแหล่งอาหารให้กับเรา คือไฟจะช่วยในการสลายอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ให้เป็นอาหารให้กับพืช คือไฟจะช่วยให้มีความมั่นคงในอาหาร และคือไฟที่ชาวบ้านเรียกร้องให้รัฐเข้าใจในส่วนนี้”
สมคิด ทิศตา พ่อหลวงจากชุมชนบ้านแม่ส้าน
