หรือเรากำลังบันทึกวิกฤตสิ่งแวดล้อม ที่ประชาชนต่างต้องต่อสู้ เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วจริง ๆ
ในฐานะคนทำข่าวที่ก้าวเท้าเข้ามาในสายอาชีพยังไม่ครบปี การทำงานสื่อสารประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมไม่เคยเป็นงานง่าย ต้องร้อยเรียงสมการได้ – เสียของคนสองฝ่าย การคัดค้านของชุมชน การพัฒนาของรัฐและนายทุน ที่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ กฎหมาย อำนาจการเมือง รวมถึงต้องเข้าใจกลไกธรรมชาติ ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงความหลากหลายทั้งในมิติชีวิตและวัฒนธรรม
ท่ามกลางโลกที่หมุนด้วยทุนนิยมเป็นแกน การพัฒนาไม่เคยหยุดยั้ง หนังสือ Earth’s Cry ที่เขียนโดยฐิติพันธ์ พัฒนมงคล สื่อมวลชนสายสิ่งแวดล้อมและอดีตประธานชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม กระตุกต่อมความคิดให้เราเชื่อมโยงภาพพิบัติภัยและการพัฒนาที่ไร้หัวใจได้อย่างชัดเจน
งานข่าวสิ่งแวดล้อมในโลกที่ไม่อาจหยุดยั้งการพัฒนาจึงต้องทำการสื่อสารเชิงลึก ชี้เหตุแห่งปัญหา โดยไม่ละทิ้งว่าต้องมีทางออกให้กับทุกผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น แต่หลายครั้งที่พบว่ากว่าจะตั้งต้นเจรจาพูดคุย เข้าใจประเด็นปัญหาและตั้งหลักแก้ไข ก็จวนตัวเกินไปเพราะสิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปแล้วไม่มากก็น้อย
ยิ่งช้า ก็เท่ากับต้องเสียเวลาฟื้นฟู และในเส้นทางของการปกป้องสิ่งแวดล้อมมักมีภาพของประชาชนนักปกป้องสิทธิลุกขึ้นมาต่อสู้ เรียกร้องสิทธิของประชาชน บทสรุปของปัญหาอาจแก้ไขสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง และบ่อยครั้งที่พบว่า ทรัพยากรธรรมชาติจวนสิ้นลมหายใจก่อนจะถึงปลายทาง ก่อนที่เราจะตระหนักได้ว่าสิ่งแวดล้อมมาถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับไปเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว

ยิ่งเมื่อได้แลกเปลี่ยนกับผู้คนที่เติบโตในช่วงยุคทองของสิ่งแวดล้อมเฟื่องฟู ยิ่งนึกภาพไม่ออกว่า อะไรเป็นจุดพลิกผันให้ข่าวสิ่งแวดล้อมกลืนกลายไปเป็นเนื้อหาท้าย ๆ ในหน้าฟีดข่าว แม้กองบรรณาธิการ ‘สายสิ่งแวดล้อม’ จะยังคงมีอยู่ แต่ก็บางเบา เสมือนมีอำนาจบางอย่างถูกบดบัง กดทับให้เงียบงัน ไม่ต่างกับสิทธิของคนที่กำลังลุกขึ้นมาปกป้อง เป็นปากเสียงให้กับสิ่งแวดล้อมที่รัฐและทุนต่างไม่ได้ยิน
เรื่องบางเรื่อง อาจไม่ใช่เพราะการลงโทษของธรรมชาติ หากแต่เป็นฝีมือมนุษย์
อาจเป็นความเคยชินที่เราเห็นฝุ่นควันในเดือนมีนาคม ความร้อนและรวนของอากาศในเดือนเมษายน ก่อนจะส่งไม้ต่อให้อุทกภัยในเดือนกันยายนที่มาน้ำไหลท่วมจากฝนฉ่ำต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษาคม มากน้อยคงขึ้นอยู่เอลนีโญและลานีญาที่สับเปลี่ยนแวะมาทักทายในแต่ละปี น้ำมา เขื่อนเจ้ากรรมที่เคยถูกคัดค้านจากคนในพื้นที่ ก็ถูกปักหมุดปัดฝุ่นฟื้นโครงการก่อสร้างอีกครั้ง เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้อยู่เสมอ สำหรับคนตามข่าวสิ่งแวดล้อมคงพอจะมองออกว่า เราอาจจะต้องพบเจอสภาวะนี้หมุนเวียนต่อไป
ไม่อาจตอบได้ว่า เราเห็นภัยทางธรรมชาติทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว การหายไปของแม่น้ำ ผืนป่า หาดทราย แผ่นดินที่ค่อย ๆ ถูกเซาะกร่อน เป็นเพียงครั้งคราวที่มาเยี่ยมเยือนในแต่ละปี หรือรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเสียงร่ำไห้ของโลกที่คอยเตือนว่า เราทุกคนกำลังต้องพบเจอกับหายนะที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขในอนาคตอันใกล้นี้

เกือบทุกครั้งที่งานข่าวสิ่งแวดล้อม ต้องเขียนเล่าถึงผลกระทบที่มาจากโครงสร้างขนาดใหญ่ เบื้องหลังคือรัฐและทุนที่สายป่านเชื่อมโยงกัน ผูกมัดเงินและอำนาจอย่างแนบสนิท เจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่ารายงานผลกระทบของโครงการขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อยมองธรรมชาติเป็นเรื่องรอง
ทุกอย่างถูกประเมินค่านับเป็นตัวเลข สิ้นเสียง ขาดความเห็น ไร้ความตระหนักถึงชีวิตที่ต้องอยู่กับธรรมชาติในวันนี้และอีกสิบปีข้างข้าง แต่ถ้าให้มองแบบเข้าข้างกระดาษใบน้อยนี้บ้าง ก็คงบอกได้ว่า สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ว่า “ผลประโยชน์ของมนุษย์เป็นสิ่งสูงสุด” ก็อาจจะหมายถึงมนุษย์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น
ซึ่งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เป็นรายได้ให้รัฐและทุน เมื่อเทียบกับการเยียวยาความเสียหายแล้ว สิ่งใดจะถูกตีตราเป็นตัวเลขมากกว่ากัน โดยที่ไม่ต้องนับรวมสายน้ำ ผืนป่า ชีวิตที่ต้องสูญเสีย เพราะสิ่งเหล่านี้ มีคุณค่าจนมิอาจประเมินเป็นเพียงตัวเลขได้

มานั่งย้อนนึกดู เราก็ยังไม่เห็นรัฐและทุนออกมายืนยันกับประชาชนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า มีโครงสร้างของรัฐ มีการลงทุนใดของเอกชนบ้างที่รัฐเยียวยา ที่เอกชนรับผิดรับชอบกับชีวิตและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้จริง แบบที่ไม่ใช้ภาษีของประชาชนซึ่งเราทุกคนร่วมจ่ายในการฟื้นฟูเยียวยา
จะต้องเป็นอย่างนี้อีกกี่ครั้ง ? จะอีกนานแค่ไหน ? กว่าจะยอมรับผลกระทบและลงมือเยียวยา กว่าจะถึงวันนั้นระบบนิเวศก็คงสูญเสียจนไม่หลงเหลือภาพเดิมให้ได้เห็นอีกต่อไป
ไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้ ไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะเราได้เห็นสิ่งแวดล้อมพังทลายกับตาแล้วในวันนี้ ส่วนวันต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น ก็สุดยากจะคาดเดา
หรือเรากำลังส่งต่อฟ้าสีฝุ่น น้ำสีโศก หาดทรายที่มีแต่กำแพงปูน ผืนป่าที่ไร้ต้นไม้ เสียงสัตว์น้อยใหญ่ความหลากหลายของชาติพันธุ์ที่เลือนหายไป ไม่หลงเหลือแม้ในเพียงกระดาษส่งต่อไปให้คนรุ่นต่อไป และอาจเป็นโลกใบอื่นที่คนในอีกสิบปีได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพบเจอ โลกข้างหน้าเกินกว่าที่มนุษย์วันนี้จะจินตนาการถึง

เสียงคร่ำครวญที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่เสียงนั้นกำลังดังขึ้น ไม่มีสิ่งใดปิดกั้น สะท้อนไปถึงคนทุกคนว่าสิ่งแวดล้อมอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ไม่หายไปไหน และไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นในการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม
Playread : Earth’s Cry
ผู้เขียน: ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
สำนักพิมพ์: สารคดี
PlayRead : คอลัมน์แนะนำหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี