ไม่ว่าพี่เบิ้ม จะไปที่ไหน ก็มักจะเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ด้วยความหวาดระแวง เร้าสัญชาตญาณของแย่งชิงที่ติดตัวมาแต่ดั้งเดิม แม้ว่าจะหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของแรงโน้มถ่วง แต่ก็ถูกจองจำด้วยภูมิศาสตร์ มันคือพันธนาการที่นิยามชาติและสามารถเป็นอะไรได้อีกในระเบียบโลกใหม่ และเป็นพันธนาการที่ผู้นำโลกอย่างจีนและอเมริกาพยายามจะดิ้นให้หลุด
บางฉากจึงดำเนินต่อไปในปริศนาธรรม Wherever you go, there you are. แม้ Tim Marshall จะตั้งชื่อหนังสือ Prisoners of Geography แต่ในสำนวนแปลของ คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ หยั่งรากไปถึงที่ที่เราอยู่คือที่ที่หล่อหลอมเรามา ฉันนึกตลกกลับหัวกลับหาง ที่ใดมีพี่เบิ้ม ที่นั่นมักเป็นอื่น ไม่ลงรอย มันคอยกำหนดโฉมหน้าของสงคราม อำนาจ การเมือง รวมถึงพัฒนาการทางสังคมของคนกลุ่มต่าง ๆ บัดนี้พี่เบิ้มได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเกือบทุกส่วนของโลก อาจดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเอาชนะระยะห่างระหว่างพื้นที่และเวลา ก็อย่าลืมว่า ผืนดินที่เราพำนัก ทำงาน และเลี้ยงดูลูกหลานนั้นเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและทางเลือกของผู้นำโลกบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ลิขิตชะตาชีวิตด้วยแม่น้ำ เทือกเขา ทะเลทราย ทะเลสาบ และท้องทะเล เหมือนปกหลังแห่งยุคสมัยของการขับเคี่ยวชิงดีในดินแดนอันไกลโพ้น
เพราะ ที่ราบ รัสเซียจึงแข็งกร้าว
เพราะ ขุนเขา จีนและอินเดียจึงบาดหมาง
เพราะ แม่น้ำ แอฟริกาจึงยากจะก้าวหน้า
เพราะ ทะเล อเมริกาจึงเป็นมหาอำนาจโลก
หรือปราการด่านสุดท้ายคือ ท้องทะเล เมื่อกองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐกำลังแล่นอย่างมั่นอกมั่นใจในทะเลจีนตะวันออกเหนือน่านน้ำระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวัน ทันใดนั้นเรือดำน้ำของจีนก็โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำกลางกองเรือของสหรัฐโดยปราศจากสัญญาณเตือน การกระทำเช่นนี้มาร์แชลเปรียบได้กับผู้บริหารเป๊ปซี่โผล่ขึ้นกลางวงประชุมของคณะผู้บริหารโคคา-โคลาหลังจากแอบฟังมาได้สักพัก
สำหรับพี่เบิ้มเหตุการณ์นี้นับเป็นการทูตเรือปืนแห่งศตวรรษที่ 21 ฉบับกลับหัวกลับหาง
อีกครั้ง, เมื่อสหราชอาณาจักรนำป้อมปืนลอยน้ำแล่นไปตามชายฝั่งของชาติเล็ก ๆ ฝ่ายจีนก็ปรากฏตัวบริเวณชายฝั่ง ประกาศนาม “เราคือ มหาอำนาจทางทะเล นี่คือยุคสมัยของเรา และนี่คือทะเลของเรา” แม้ต้องอาศัยเวลาถึง 4,000 ปี ชาวจีนก็มาถึงเส้นทางเดินเรือใกล้ตัวคุณในที่สุด

แม้จีนไม่เคยเป็นมหาอำนาจทางเรือมาก่อนเลย ด้วยผืนแผ่นดินมหึมา มีปราการหลายด้านและเส้นทางเดินทะเลระยะสั้น ๆ ไปสู่การค้าของตน สถานะมหาอำนาจทางทะเลจึงไม่จำเป็นสำหรับจีน จีนจึงเป็นมหาอำนาจบนผืนแผ่นดินเสมอมา พูดให้ชัดคือเป็นเจ้าของผืนดินกว้างใหญ่ 160,000 ตารางไมล์ และผู้คนมากมายร่วม 1,400 ล้านคนในปัจจุบัน ทุกวันนี้จีนมีชาวฮั่นมากกว่า 90% ที่ครอบงำการเมืองและธุรกิจจีน
ในขณะที่โลกกำลังจดจ่อกับกำแพงภาษีทรัมป์ จีนเริ่มเดินเกมจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธหรือกลุ่มแร่ธาตุหายากเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อตอบโต้วอชิงตัน เพราะแร่หายากนี้เป็นแร่ที่ใช้ในการทหารตั้งแต่การผลิตจรวดมิสไซล์ ไปจนถึงเรดาทางทหาร ในรายงานของ CSIS ระบุด้วยว่าเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ อย่างเครื่องบินเอฟ-35 จรวดโทมาฮอว์ก และอากาศยานไร้คนขับพรีเดเตอร์ ต่างต้องใช้แร่หายากนี้ทั้งสิ้น องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) ประเมินว่าจีนผลิตแร่ธาตุหายากราว 61% ของการผลิตทั้งโลกและยึดครองสัดส่วนการแปรรูปมากถึง 92%
ราวกับว่า พี่เบิ้มกินรวบห่วงโซ่อุปทานของแร่หายากนี้ไว้แล้ว และมันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญแต่เกิดจากการวางยุทธศาสตร์นี้มาหลายทศวรรษ ด้วยวลีอันโด่งดังของเติ้ง เสี่ยวผิง “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน ส่วนจีนมีแร่หายาก” ระหว่างการเยือนเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน (Inner Mongolia) ในปี 1992 ซึ่งจีนมีแหล่งสำรองและการผลิตแรร์เอิร์ธแหล่งสำคัญอยู่ในมองโกเลียใน โดยเฉพาะที่แหล่ง Bayan Obo ราวปี 2010 รัฐบาลจีนได้เริ่มบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในภาคแร่ธาตุแรร์เอิร์ธ เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันเพิ่มการนำเข้าแร่ดิบแรร์เอิร์ธ ซึ่งช่วยให้จีนสามารถรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานของโลก แถมยังลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกิดจากการผลิตในจีนอีกด้วย

เมียนมา ได้กลายเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นของจีนในการผลิตแร่แรร์เอิร์ธหนักในระดับโลกแทน และทั่วโลกได้เห็นภาพถ่ายดาวเทียมโดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) เมื่อ 15 พ.ค. 2568 แสดงถึงการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่เมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมาห่างจากชายแดนไทยเพียง 25 กิโลเมตรใกล้แม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตรเท่านั้นยังไม่พอยังซ้อนทับด้วยปัญหาเก่าของเหมืองแร่ทองคำใกล้แม่น้ำกกที่กำลังก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนอย่างน่าเป็นห่วง
บัดนี้ แรร์เอิร์ธ คือระเบิดเวลาในนามสมบัติส่วนตัวที่ผู้นำจีนไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะรัฐบาลจีนเพิ่งปรับกฎระเบียบใหม่ให้ “แร่หายากเป็นสมบัติของรัฐ” เอกชนไม่มีสิทธิครอบครอง บังคับใช้กฎระเบียบใหม่นี้มาตั้งแต่ 1 ต.ค. 2567 ผ่านไปไม่กี่วัน “ทรัมป์” ประกาศไม่ขายเสื้อยืดคอกลม ขายฝันเป็นผู้นำผลิต “รถถัง” เทคโนโลยีชิป AI ขั้นสูง

คราใดที่ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็มีแต่จะแหลกลาน เพราะไม่ว่า China Dream หรือ American Dream ก็หาใช่ฝันของเราทั้งผอง ถึงเธอจะชวนฝัน ฉันก็เคยถามอาจารย์ถัง หลิน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ Hainan University ถ้าให้อาจารย์อธิบายประเทศจีนตอนนี้เป็นคนหนึ่งคน “พูดได้ว่าจีนในยุคนี้เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดแล้ว ถ้าเป็นคนก็คือคนในวัยกลางคนที่อายุราว ๆ 40-50 ปีที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความมั่งคั่งและมีจุดยืนทางสังคม” ฉันขมวดคิ้ว
อาจารย์ถังพยักหน้า เชื่อเถอะว่าจีนยุคนี้เป็นยุคที่ดีที่สุดแล้ว
ฉันเริ่มคล้อยตามเพราะความฝันของชาติจะไม่มีความหมาย ถ้าปราศจากความฝันของผู้คนในชาติ เพราะตลอดสองข้างทางของรถไฟความเร็วสูงสายตะวันตกและตะวันออกมาบรรจบกันกลายเป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงรอบเกาะหนึ่งเดียวในโลกจากเมืองไหโข่วไปยังเมืองซานย่าของจีน คุณสามารถสูดอากาศได้เต็มปอดโดยปราศจากมลพิษ

เธอเชื้อเชิญให้ฉันนั่ง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันสนใจเรื่องการส่งออก “คน” ของจีน และมาร์แชลพาเราเคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกากลับไปในศตวรรษที่ 18 ตอนที่จีนแผ่อำนาจลงใต้ไปถึงบางส่วนของเมียนมาและอินโดจีน ซินเจียงกลายเป็นมณฑลที่ใหญ่ที่สุดของจีน เพียงแต่การได้พื้นที่เพิ่มกลับสุมไฟให้กับจีน เพราะซินเจียงซึ่งมีประชากรส่วนมากเป็นมุสลิม คือคลื่นใต้น้ำแห่งความไร้เสถียรภาพ เอาล่ะ! เราได้มาถึงพรมแดนทางบกส่วนถัดไปที่ติดต่อกับเวียดนาม ลาว และเมียนมา แม้จีนและเวียดนามจะยึดถืออุดมการณ์คอมมิวนิสต์เพียงในนาม ก็แทบไม่ส่งผลใด ๆ ต่อความสัมพันธ์ แต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่พวกเขามีร่วมกันต่างหากล่ะที่กำหนดสายสัมพันธ์นั้น
ทั้งหมดนี้นำเรามายังทิเบต เทือกเขาหิมาลัยทอดยาวตลอดแนวพรมแดนจีน-อินเดีย มันคือกำแพงเมืองจีนฉบับธรรมชาติสร้างสรรค์ หรือถ้ามองจากฝั่งนิวเดลี มันคือกำแพงอินเดีย หิมาลัยกำลังแบ่งแยกสองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ทั้งในเชิงความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ
กระทั่ง ขบวนรถไฟไก่เหล็กของจีนมาถึงชานชาลา “ลาซา” เมืองหลวงของทิเบต ปัจจุบันขนของและขนคน วันละสี่เที่ยว ขณะเดียวกันคือการนำชาวฮั่นหลายล้านคนมาตั้งถิ่นฐานในทิเบต ทุกวันนี้ชาวทิเบตได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในเขตวัฒนธรรมทิเบตเสียแล้ว ชาวฮั่นยังคงอพยพเข้ามาไม่ขาดสายด้วยเจ้า “ไก่เหล็ก” เช่นเดียวเหตุการณ์จลาจลระหว่างเชื้อชาติในซินเจียงที่ พี่เบิ้มไม่มีวันยอม! เพราะซินเจียงมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เกินกว่าจะปลดโซ่ตรวน อีกทั้งซินเจียงยังมีน้ำมัน และเป็นพื้นที่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของจีน —ใครกันคือนักโทษผู้ถูกจองจำ
……..
ขบวนการปลดปล่อยทิเบตยังคงเรียกร้องต่อไป พระทิเบตยังจุดไฟเผาตัวเอง เพื่อกล่าวโทษจีนต่อบรรดาประชาชาติทั้งโลก ความตายทั้งเป็นใต้เหมืองเมียนมาที่มีแรงงานราว 20,000 คน ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันสารเคมี เกษตรกรเมียนมาที่ปลูกกระวาน วอลนัต ส้ม และควินซ์ ก็ยังขายพืชผลไม่ได้ พ่อค้าในท้องถิ่นไม่รับซื้อ เพราะกังวลความปลอดภัยของอาหารที่มาจากพื้นที่เพาะปลูกใกล้เหมือง
“…เมื่อเปิดภาพถ่ายดาวเทียมแสดงหลักฐานชี้ชัดว่ามีการเปิดหน้าดินทำเหมืองแร่เถื่อนรวมทั้งแร่แรร์เอิร์ธอย่างน้อย 40 จุดค่ะ เหมืองเถื่อนบางแห่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยเพียงแค่ 8 กิโลเมตรเท่านั้น”
ถ้าฤดูฝนนี้น้ำท่วมหลากมาอีกเราจะรับมือกันอย่างไรคะ เธอหยุดถาม
“เราขอให้ปิดเหมืองทันที และให้มีการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำกก สาย รวก โขง ระบบเศรษฐกิจสังคมและท้องถิ่นให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน” — ถึง สี จิ้นผิง …เด็กหญิงเริ่มอ่านจดหมายเป็นภาษาจีน
…….
ฝนเริ่มเทลงมา ดินโคลน ลายพร้อยด้วยเครื่องหมายคำพูดสีน้ำตาลแดงข้นคลั่ก —เนื้อกายแม่น้ำกกถูกใช้เป็นถ้อยคำ“ปิดเหมือง” พรมแดนที่เคยสงวนไว้สำหรับวันที่สองของการสร้างโลก มันเคยเป็นภูมิศาสตร์ที่หมดจดงดงามตามที่เธอได้ยินมา อยู่ที่ว่า คุณเป็นใคร
หรือบางทีจีนอาจไม่ได้กักขังตัวเองไว้ในภูมิศาสตร์
ตรงกันข้ามพี่เบิ้มได้เคลื่อนกายไปทั่วโลกอย่างมั่นอกมั่นใจ
อันตรายที่แท้จริงของจีนก็คือจีนเอง
หนังสือ : Prisoners of Geography: Ten Maps That Explain Everything About the World
ผู้เขียน : Tim Marshall ผู้แปล คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์
สำนักพิมพ์ : BOOKSCAPE
PlayRead : คอลัมน์คิด/อ่านหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี