Reading Time: 3 minutes
ถอดบทสนทนาและปาฐกถา ของ รศ. ดร. โคทม อารียา อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์ ถึงบทบาทของรัฐสภา ภาควิชาการ ภาคประชาชน ต่อการมีส่วนในการผลักดันรัฐธรรมนูญใหม่ และหาทางออกให้กับความขัดแย้งทางการเมือง จากเวทีเสวนาเสียงประชาชน เขียนอนาคตประชาธิปไตยไทย ที่จัดขึ้นโดยกรรมาธิการพัฒนาการเมืองของวุฒิสภา เมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 อ่านคำต่อคำของความหวังท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองในปาฐกถาพิเศษ “วันที่เสียงจากฐานรากงอกงาม รัฐธรรมนูญโดยประชาชน เพื่อฟันฝ่าความขัดแย้งทางการเมือง“
.
Q : การแก้รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 กับ 2568 ตอนไหนยากกว่ากัน
A : ตอนรัฐธรรมนูญปี 2540 เกิดกระแสอยากเห็นรัฐธรรมนูญ ตอนนี้กระแสยังไม่เกิด ขณะที่ความยากจะมีมากกว่าปี 40 ตอนปี 40 สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมการ มีคุณหมอประเวศเป็นประธานฯ เป็นสูตรของคุณหมอประเวศที่บอกว่า ถ้าจะทำเรื่องยาก ๆ ต้องทำสามเรื่องด้วยกัน 1.องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับพัฒนาการของประชาธิปไตย 2.มีภาควิชาการเข้มแข็งคอยสนับสนุน ภาคสังคมเริ่มเคลื่อนไหว เกิดกระแสคิดว่าควรมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 3.ต้องการปณิธานทางการเมืองของผู้นำทางการเมืองตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีพรรคการเมืองต่าง ๆ ส่งเสียงว่า อยากมีรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างน้อยก็เป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาขณะนี้ ผมเข้าใจอย่างนั้น
ปี 40 รัฐสภานี่มาท้ายสุดเลยครับ ไม่รู้ว่าคุณหนูนา (ลูกสาวคุณบรรหาร) หรือใคร มาบันดาลใจให้คุณบรรหารร่วมขับเคลื่อน จนเกิดเจตจำนงทางการเมือง เพราะเรามีบางองค์ประกอบเหมือนปี 40 ภาคประชาสังคมพร้อม ภาคการเมืองพร้อม ภาควิชาการพร้อมช่วย แต่กระแสสังคมยังไม่เข้มแข็ง เพราะเราไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าไปติดตรงไหน
แต่ก็เอาเถอะ ไม่ถูกใจทุกคน แต่ขอให้ถูกใจคนจำนวนมากที่สุด ขอร้องภาคการเมือง พรรคการเมืองว่า กันยายนนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินแล้วใช่ไหม ว่าจะเดินทางไหน เรารอมานานแล้ว ขอให้พรรคการเมืองชัดเจน ถ้าพรรคการเมืองส่งสัญญาณ จึงจะเกิดกระแสเหมือนปี 40 ได้
Q : แล้วเรื่องสสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง อาจารย์มีความหวังมากน้อยแค่ไหน
A : ต้องคุยเรื่องของหลักการสำคัญ ๆ ไปพลางก่อน ในความเห็นผม ผมว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญสั้นลงก็ดี แต่ผมสู้กับเพื่อน ๆ ในภาคองค์กรพัฒนาเอกชนที่เขาอยากบรรจุทุกข้อความจากชุมชน งั้นก็ใส่ในหลักการ หลักสิทธิชุมชน หลักพหุวัฒนธรรมไว้ได้ไหม สังคมเราหลากหลาย ต้องฟังทุกความเห็น ไม่ละเลยวัฒนธรรมใด ต้องให้ความภาคภูมิใจท้องถิ่นเกิดขึ้นในความแตกต่าง
Q : หมวดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เอาไงดี
A : ความจริงนะครับ หลาย ๆ ฉบับของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ดีแล้วในหมวดนี้ แทบไม่เป็นความขัดแย้งกันเท่าไร เพียงแต่ว่าบางทีเขียนละเอียดไป ผมว่านี่ไม่ใช่ข้อขัดแย้ง เพราะบทสิทธิเสรีภาพเป็นประโยชน์โดยทั่วไป บางคนอยากลงรายละเอียดมากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ประเด็นสาหัส
แต่หมวดวุฒิสภาเป็นประเด็นที่สำคัญ เราจะก้าวไปทางนี้ได้อย่างไร เพราะบางคนอยากได้แบบสรรหา เลือกกันเอง บางคนอยากได้แบบแต่งตั้ง ผมขอชมคุณบรรหารอีกที ตอนเป็นนายกตั้งวุฒิสภา พวกเราก็ห่วงใยกันว่าจะเอาพรรคพวกตัวเองตั้งเข้าไป แต่สุดท้ายท่านมีวิสัยทัศน์บอกว่า ไม่ใช่วุฒิสภาของฉัน
ผมชอบรัฐธรรมนูญปี 40 ในเรื่องนี้ คือมีเลือกตั้งที่หลากหลาย สว.หลากหลาย เข้าไปคานกันเอง แทบจะไม่เคยได้ยินข่าวว่าวุฒิสมาชิกจากรัฐธรรมนูญปี 40 มีการล็อกโหวต
Q : ทหารกับการเมืองไทยตัดกันไม่ขาด เรื่องนี้ต้องวางหลักการในรัฐธรรมนูญแบบไหน ยังไง
A : ขอให้กลับไปดูรัฐธรรมนูญ 2489 หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อยมา จนปี 2550 เราออกพระราชบัญญัติกอ.รมน. (กองอำนายการรักษาความมั่นคงภายใน ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี) พวกเราก็บอกว่านี่คือการให้อำนาจทหาร เขาบอกว่าไม่ใช่ นี่คือให้อำนาจนายกใช้ทหาร แต่ทางปฏิบัติไม่ใช่ ต้องทบทวนกฎหมายกอ.รมน. เรื่องนี้ทหารจะยอมไหม แม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ต้องใส่หลักการไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่ 2 บทบาทของการบังคับบัญชา การที่เราออกกฎหมายที่เกี่ยวกับสภากลาโหมในปี 2550 ผมก็เถียงว่า ระบบนี้เลือกคนดูแลกันเอง มีพลเรือนกี่คน เขาบอกว่า มีรัฐมนตรีกลาโหมแล้วไง คือต้องเปลี่ยนให้ฝ่ายพลเรือนเป็นผู้ควบคุมมากขึ้น ไม่ให้รัฐมนตรีกลาโหมเป็นแค่ประทับตรา ต้องทบทวนเรื่องนี้ เอารัฐธรรมนูญ 2489 เป็นตัวตั้ง ว่ายังใช้ได้ไหม การควบคุมทหารโดยพลเรือนเป็นหลักสากลของประเทศประชาธิปไตย
Q : กับดักจากรัฐประหารจากทหารและองค์กรอิสระ อาจารย์มองอย่างไร
A : รัฐประหารไม่เกี่ยวองค์กรอิสระ ถ้าองค์กรอิสระต้องพูดต่างหาก
Q : หมายถึงมีคนเคยวิจารณ์ว่ารัฐประหารยุคใหม่ไม่ใช้ทหารแล้วเขาใช้องค์กรอิสระ
A : องค์กรอิสระยังไงเขาก็ไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ แต่รัฐประหารนี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาถึงเขาก็ฉีกเลย ฉีกปี 40 ฉีกปี 50 ที่สงสัยหนักคือเขายังฉีกปี 50 ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทำกันมาเอง แสดงว่าเขาต้องการผนึกอำนาจไว้กับฝ่ายอนุรักษนิยม แต่จะเขียนกฎหมายห้ามรัฐประหาร ผมว่ามันไม่ใช่ มันต้องปฏิรูปจากภายใน ยกตัวอย่างจากทหารอินโดนีเซีย ที่เขาคุยกันแล้ว ว่าไปไม่รอด ไม่เชี่ยวชาญในการปกครองประเทศ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ก็สำเร็จละครับ
Q : คำถามจากผู้เข้าร่วมวงเสวนาฯ
จีรนุช เปรมชัยพร เครือข่ายกลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ: ขออนุญาตเห็นแย้งกับอาจารย์ฯ เรื่องหมวดสิทธิเสรีภาพว่ารัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหา อาจจะไม่ใช่ปัญหาในด้านการเขียน แต่มักจะมีข้อยกเว้นตามกฎหมายทำให้สิทธิเสรีภาพถูกจำกัด และรัฐธรรมนูญ 60 มีการลดทอนสิทธิเสรีภาพด้วยหมวดหน้าที่ของรัฐที่ลดทอนน้ำหนักสิทธิ นี่เป็นประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยนจริง ๆ
อีกคำถามค่ะ อาจารย์เคยเป็น กกต.จากรัฐธรรมนูญ 40 เป็นชุดที่พอภาคภูมิใจได้ระดับหนึ่ง แต่ รัฐธรรมนูญ 40 มีแผล เช่น การก่อตั้งองค์กรอิสระ ที่ยืดเยื้อจนกลายเป็น 60 ที่มาพร้อมกับอุดมการณ์ non political non partisan เหมือนต้องการสร้างตัวกลาง ตัวเทพในการเมือง เราคิดว่านี่สร้างปมขัดแย้ง ยิ่งตอกย้ำภาพการเมืองสกปรก ถามอาจารย์ ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ 40 ได้หนึ่งถึงสองเรื่องอาจารย์อยากแก้เรื่องอะไร
A : ตอบสั้น ๆ ผมไม่ได้บอกว่า หมวดสิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญ 60 ดีแล้ว อย่าแตะ ผมบอกเรามีประสบการณ์จาก 40 50 60 และก่อนหน้านี้พอ เราก็คัดในส่วนที่เหมาะสมที่ดีมาทำต่อ
รัฐธรรมนูญ 40 ระวังองค์กรอิสระไม่ให้เป็นอำนาจที่ 4 เขาแยก กกต.ไปอยู่หมวดรัฐสภา แต่ละองค์กรก็อยู่แต่ละหมวด มีปปช.ที่เป็นหมวดเป็นพิเศษ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตย 3 อำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ปัจจุบันมันค่อย ๆ กลายเป็นอื่น ผมเสนอว่าเป็นแบบนี้ได้ไหม ทบทวนองค์กรบางองค์กร ให้เป็นกฎหมายธรรมดา ไม่จำเป็นองค์กรพิเศษ และไม่ต้องสรรหาแบบเลือดชิด เพราะจะได้คนกลุ่มเดียวกัน คิดแบบเดียวกัน มีอำนาจเกินไป อยากให้ช่วยแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นปัญหา
นิกร จำนง สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา เสริมว่าผมเห็นด้วยกับอาจารย์โคทม เราผ่านเรื่องราวมากว่า 20 ปี มีประสบการณ์ทำงาน สานเสวนาหาทางออก ขอให้รู้ว่าพวกเรามีประสบการณ์ รุ่นผมไม่อยู่แล้ว แต่จะส่งต่อประสบการณ์ให้รุ่นใหม่ ผมเห็นด้วยกับที่อาจารย์พูดว่า รัฐธรรมนูญเขียนนโยบายรัฐมากเกินไป โลกเปลี่ยนเร็ว ปัญหาปี 40 คือแก้ปัญหาอดีต ไม่แก้อนาคต ตอนนั้นปี 40 เราบอกว่าฝ่ายการเมืองมีอำนาจไม่พอ ก็เติมอำนาจเข้าไป ปี 49 ฝ่ายการเมืองมีอำนาจมากเกินไป ตอนนั้นอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ จึงมีรัฐประหาร
“ระบบรัฐธรรมนูญใหม่ต้องมาจากประชาชน จะผิดถูกมันเป็นของประชาชน เขาเรียนรู้ได้ ต้องเขียนให้ปรับตัวได้ตามอนาคต แก้ได้ แต่ไม่ง่ายนัก ผมเห็นอาจารย์มีความหวัง อยากให้รัฐธรรมนูญมีชีวิต ปรับปรุงได้ องค์กรอิสระเดิมเป็นอำนาจที่ 4 ปัจจุบันมีอำนาจที่ 5 คือศาลรัฐธรรมนูญ ที่มากเกินไป รัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์ ทั้งทหาร คนรวยคนจนมีสิทธิ์หมด ผมเชื่ออาจารย์โคทมเป็นนักประนีประนอม เราไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม แต่ไม่เคยสูญเสียความหวัง” นิกร กล่าว
Q : คำถามปิดท้าย ท่ามกลางความขัดแย้งความต้องการหลากหลายเราจะคุยกันได้อย่างไร
A : รัฐบาลพร้อมสนับสนุนไหม หลายประเทศออกกติกาให้จัดเวทีพูดคุย ถ้ามีสสร.เป็นหน้าที่สสร. อีกหน้าที่หนึ่งก็เป็นฝ่ายวิชาการ ฝ่ายวิชาการมีหน้าที่ศึกษาความคิดเห็น ประสบการณ์จากต่างประเทศ วิเคราะห์ แล้วจัดเวทีพูดคุยให้มีหลักสากลและหลักการเป็นประเทศไทย ต้องทำอย่างนั้น ผมยึดอย่างที่คุณหมอประเวศพูด ต้องมีวิชาการ สังคม การเมือง ถ้าทำพร้อมกันได้ จะขยับได้ ฝากความหวังกับมหาวิทยาลัยและรัฐบาล ถ้าจะเดินไปได้ต้องเริ่มบัดนี้
ประโยคแรกฟังแล้วชื่นใจ เมื่อฐานรากของเรางอกงาม ทำให้ลำต้นและกิ่งใบก็งอกงามไปด้วย
ฐานรากจะงอกงาม เราต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รัฐธรรมนูญที่แข็งแรง ทนทาน ยืดหยุ่น สู้แดดสู้ฝนได้
มีคำพูดให้ผมคิดว่า เมื่อฐานรากงอกงาม จะทําอย่างไรให้ รัฐธรรมนูญโดยประชาชนฟันฝ่าความขัดแย้งทางการเมือง โจทย์ 2 ข้อนี้ยาก
อันที่หนึ่ง ผมไม่รู้ว่าฐานรากเราแข็งแรงแค่ไหน
สอง จากความเห็นแตกต่างหลากหลาย จะให้รัฐธรรมนูญแก้ไขความขัดแย้งฟันฝ่าความขัดแย้ง คงไม่สำเร็จ 100%
เอาเป็นว่า ทำอย่างไรเราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเห็นพ้องมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ความขัดแย้งก็จะดำรงอยู่แล้วรัฐธรรมนูญเปิดกว้างให้เราขัดแย้งกันอย่างมีอารยะ
ทำยังไง ถึงจะฟันฝ่าความขัดแย้ง แม้ยากก็ต้องพยายาม หลักการสำคัญคือการรับฟังความเห็นซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ผมบังเอิญไปค้นดูเจอความเห็นสมัชชาคนจน ผมจะยกบาร์เป็นข้อเสนอต่อท่านทั้งหลายในที่นี้
ก่อนอื่น ผมอยากพูดถึงจุดมุ่งหมายว่าเราต้องการอะไร ใจผมอยากเห็นรัฐธรรมนูญที่ยั่งยืนกับเขาเสียที
ผมขายหน้าประเทศ ทำไมประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ มีรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า ผมพอใจรัฐธรรมนูญปี 2540 แม้มีข้อบกพร่อง แต่พอเป็นหลักพึ่งพาได้
ผมพูดถึงความยั่งยืน เราไม่สามารถมีรัฐธรรมนูญที่ให้ทุกคนพอใจ แต่เราต้องหวังว่าร่างรัฐธรรมนูญออกมาแล้วประชามติควร ไม่เฉียดฉิว คนร่างรัฐธรรมนูญต้องคิดให้ดี ประชามติเปอร์เซ็นต์การยอมรับสูง 67-70% แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็น่าเสียดาย
ลองฟังความเห็นสมัชชาคนจน
1. ขอให้ปรับโครงสร้างสถาบันทางสังคมของประเทศ รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมของทุกคน รวมคนต่างชาติที่อยู่ในไทย
2. รับรองสิทธิชุมชนและสิทธิธรรมชาติ
3. สร้างสังคมไทยเป็นรัฐสวัสดิการ
4. รับรองสิทธิการปกครองหรือจัดการตนเองตามเจตนารมณ์ประชาชนในท้องถิ่น
5. สร้างสถาบันประชาชนให้เป็นภาคส่วนที่ 3 ในการขับเคลื่อนประเทศ
6. ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพเพื่อป้องกันรัฐประหาร
7. สร้างกลไกแก้ไขความขัดแย้งภายใต้หลักประชาธิปไตย
8. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ
9. สร้างกฎกติกาเป็นธรรมในการแข่งขันประกอบอาชีพและธุรกิจ
นำไปสู่ความเห็นคุณกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านเสนอว่า 1.หลักสำคัญคือความเป็นราชอาณาจักร
2. เป็นสังคมแห่งธรรมะแห่งความสมดุลระหว่างประชากรและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม 3. เป็นสังคมอู่ข้าวอู่น้ำ 4.เป็นสังคมองค์ความรู้ ประชากรรู้ทักษะและหน้าที่ 5. เป็นสังคมแห่งความยุติธรรมและความเท่าเทียม 6. ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวแบ่งแยกไม่ได้ บริหารเป็นจังหวัดด้วยการกระจายอำนาจ 7. ผู้อาสารับใช้บ้านเมืองต้องซื่อสัตย์สุจริต ทำเพื่อส่วนรวม 8. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ทูลเกล้าถวายพระมหากษัตริย์ช่วยกำกับดูแล เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย
ส่วนผมมีความเห็นของผมเอง ขอเสนอโดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญปี 2540 คือ 1.ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
2.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งต่อมาก็เขียนเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งถูกไฮแจ็ก กลายเป็นไม่ใช่เพิ่มอำนาจประชาชนตรวจสอบ แต่เป็นการเพิ่มอำนาจอดีตข้าราชการในการตรวจสอบ 3.ถ้าปรับโครงสร้างทางการเมืองให้เสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ก่อนลงรายละเอียด ผมอยากเห็นกระบวนการทำรัฐธรรมนูญโดยประชาชนเป็นรัฐธรรมนูญยั่งยืน ควรมีการถกแถลงอย่างกว้างขวาง ในต่างประเทศใช้ Data dialog คือสานเสวนาระดับชาติ คุยทั่วทุกจังหวัด คุยว่ารัฐธรรมนูญฉบับใดควรหน้าตาอย่างไร ผมอยากให้เริ่มตั้งคำถาม อย่าเพิ่งหาคำตอบ
เช่น คำถามหลักที่มีใจความสำคัญ
1. สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ : ต้องสั้น กระชับ และมีหลัก
รัฐธรรมนูญควรมีเนื้อหาหลักไม่มาก แต่ชัดเจน โดยเน้น 3 แกนสำคัญ
-สิทธิเสรีภาพของประชาชน
-การตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐ โดยประชาชนมีบทบาท
-การสร้างระบบการเมืองที่สมดุล ไม่ล้มเหลวจากภายใน
ที่ผ่านมา การยกร่างรัฐธรรมนูญมักเต็มไปด้วยรายละเอียดจากเสียงของทุกกลุ่มประชาชน จนทำให้เนื้อหายืดยาวเกินจำเป็น ยิ่งยาวก็ยิ่งขัดแย้ง ควรเขียนเฉพาะสาระสำคัญ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายลำดับรองมากกว่า
2. ตรวจสอบอำนาจรัฐ ต้องยึดโยงประชาชน ไม่ใช่ระบบราชการ กลไกตรวจสอบอำนาจรัฐควรออกแบบใหม่ให้ประชาชนมีบทบาทจริง ไม่ใช่ฝากไว้ที่ระบบราชการที่ตรวจสอบกันเองแล้วล้มเหลว ต้องทำให้ตรวจสอบได้จริง มีประสิทธิผล และเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่มีอยู่ในนาม ส่วนทัศนคติแบบ “ราชการตรวจสอบราชการ” ควรเลิกใช้ การตรวจสอบอำนาจรัฐควรเชื่อมโยงกับพลังพลเมือง
3. องค์กรตุลาการและองค์กรอิสระควรจำกัดอำนาจ เพราะศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันมีอำนาจมากเกินไป เป็นจุดที่ควรถูกพิจารณาอย่างจริงจัง ไม่ควรปล่อยให้องค์กรนี้มีอำนาจตีความจนชี้เป็นชี้ตายทางการเมือง
องค์กรอิสระบางองค์กรก็ไม่ควรเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะกลายเป็น “อำนาจที่ 4” ที่ไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบ หากจำเป็นควรมีกฎหมายธรรมดารองรับ ไม่ใช่ล็อกไว้ในรัฐธรรมนูญจนแตะต้องไม่ได้
4. กระจายอำนาจ : เขียนให้ชัดในรัฐธรรมนูญ ในการปกครองท้องถิ่นควรได้รับการระบุไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ระบุไว้เชิงหลักการ ต้องเขียนให้แน่ชัดว่าอำนาจจะไปถึงมือท้องถิ่นอย่างไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนแต่ละพื้นที่สามารถกำหนดทิศทางของตนเองได้จริง
5. ป้องกันรัฐประหาร : ต้องพูด แม้จะทำได้ยาก แต่จำเป็นต้องพูดเรื่องการ ป้องกันรัฐประหาร เพราะเป็นปัญหาซ้ำซากในสังคมไทย ทหารมองว่าประเทศเป็นเรื่องของเขา และทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อปกป้องชาติ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในทางประชาธิปไตย
ประเทศที่เปลี่ยนผ่านได้ เช่น อินโดนีเซีย ที่ทหารเคยครองอำนาจในยุคซูฮาร์โต แต่ภายหลังสามารถถอนตัวจากการเมืองได้ ในขณะที่ประเทศที่ล้มเหลวอย่าง เมียนมา กลับเข้าสู่สงครามภายในจากการสถาปนาอำนาจของกองทัพ
ประเทศไทยต้องตัดสินใจให้ชัดว่าเราจะไปทางไหน เราเชื่อว่าทุกคนรักชาติ แต่ไม่ควรมีใครผูกขาดความรักชาติเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ
6. ควบคุมทหารโดยพลเรือน : กลับไปสู่หลักการเดิมของรัฐธรรมนูญปี 2489 โดยหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญปี 2489 คือทหารต้องอยู่ภายใต้พลเรือน แต่ต่อมามีการแทรกแซงผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น “สภากลาโหม” ซึ่งทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจกำกับตนเอง ควรมีการปฏิรูปให้กลับไปยึดหลัก “พลเรือนควบคุมทหาร” อย่างจริงจัง
7. ยกเลิกกฎหมายพิเศษ : กฎหมายฉุกเฉินไม่ควรเป็นนิรันดร์
กฎหมายฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนใต้ถูกประกาศใช้ต่อเนื่องมานานกว่า 20 ปี โดยอ้างว่าทบทวนทุก 3 เดือน แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีการพิจารณาอย่างจริงจัง รัฐบาล “ใจดีเกินไป” ในการปล่อยให้สถานการณ์ฉุกเฉินคงอยู่ตลอดกาล
เราควรมีมาตรการที่ชัดเจนว่ากฎหมายพิเศษเช่นนี้ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐในการปกครองประชาชนในระยะยาว
8. พหุวัฒนธรรม : สาระหลักของสังคมใหม่ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรยอมรับและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของผู้คนต่างวัฒนธรรม ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนาในสังคมไทยบนฐานของความเท่าเทียม โดยไม่พยายามกลืนความหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว
9. โครงสร้างรัฐสภา : วุฒิสภาต้องมาจากประชาชน วุฒิสภาควรยึดหลักการของการเลือกตั้ง ให้ประชาชนเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่การแต่งตั้งโดยกลุ่มอำนาจ การมีวุฒิสภาที่มาจากประชาชนคือกลไกถ่วงดุลที่แท้จริงของระบอบรัฐสภา
ส่วนหนึ่งจากปาฐกถา “วันที่เสียงจากฐานรากงอกงาม รัฐธรรมนูญโดยประชาชน เพื่อฟันฝ่าความขัดแย้งทางการเมือง” โดย รศ. ดร.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล
รับชมเสวนาฯ : เสียงประชาชนเขียนอนาคตประชาธิปไตยไทย (30 ก.ค. 68)