Reading Time: 3 minutes
เงิน ‘เยียวยา’ งวดแรกถึงมือชาวบ้าน หลังสู้ชนะคดีปนเปื้อนกากอุตสาหกรรมจากโรงงาน ‘แวกซ์ กาเบ็จ’
กว่า 20 ปีที่ชาวบ้านน้ำพุต้องใช้ชีวิตอยู่กับมลพิษจากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมของโรงงาน ‘แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์’
วานนี้ (18 ส.ค.2568) การจ่ายเงินเยียวยาให้ชาวบ้านที่ฟ้องร้องไว้ทั้งหมด 652 คน โดยมีวงเงินเกือบ 22 ล้านบาท โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
จากมหากาพย์การปนเปื้อนมลพิษครั้งใหญ่และยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในประเทศไทย จนกระทั่งเมษายน 2560 ชาวบ้านได้รวมตัวยื่นฟ้องบริษัท เป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ สว.4/2560 ระหว่าง ธนู งามยิ่งยวด โจทก์ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน กับ บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ต่อมา 24 ธ.ค. 2563 ศาลแพ่งพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ สว.3/2563 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการประกอบกิจการของโรงงานดังกล่าว รวมทั้งให้ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมสู่สภาพเดิม
จากข้อมูลของกรมบังคับคดี ระบุว่า สมาชิกคดีที่ยื่นขอรับชำระหนี้สำหรับความเสียหายที่ได้รับในคดีแบบกลุ่มนี้มีทั้งสิ้น 725 ราย แต่ศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอไป 73 ราย (เนื่องจากขาดตกเรื่องเอกสารประกอบรับเงินเยียวยา) คงเหลือผู้ได้รับอนุญาตให้รับเงิน 652 ราย
ในการจ่ายเงินครั้งแรกนี้ มีสมาชิกกลุ่มที่ได้รับเงินเยียวยาสูงสุด (ไม่รวมดอกเบี้ย) เป็นจำนวนเงิน 692,650 บาท และผู้ได้รับเงินเยียวยาต่ำที่สุดอยู่ที่ 35,000 บาท
จำนวนเงินเยียวยาที่ชาวบ้านได้รับรวมเกือบ 22 ล้านบาท (21,533,304 บาท) แม้เมื่อเทียบกับยอดที่ศาลตัดสินไว้กว่า 82 ล้านบาท จะได้เพียงราว 26% แต่สำหรับหลายคน นี่คือสัญญาณแรกที่บอกว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้สูญเปล่า เงินบางส่วนถูกส่งตรงเข้าบัญชีธนาคารของชาวบ้าน ส่วนผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว 17 ราย ก็มีการจัดทำเช็คมอบให้ผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินการต่อ
ความยุติธรรมยังมีหวัง มลพิษในห้วยน้ำพุยังมีอยู่
หนึ่งในของขึ้นชื่อในตำบลน้ำพุ คือผลผลิตทางการเกษตรด้วยเฉพาะลำไย แม้ราคาผลผลิตอย่างพืชสวนลำไยปีนี้จะราคาตกอย่างรุนแรง แต่สำหรับชาวน้ำพุ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องพบเจอกับความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ เพราะชาวสวนลำไยตำบลน้ำพุ ต้องพบเจอกับการปนเปื้อนของแหล่งน้ำสำหรับการเพาะปลูก และสูญเสียรายได้มาแล้วนับ 10 ปี
สันติ แผนงาม หนึ่งในเกษตรกรสวนลำไยผู้ได้รับผลกระทบ ที่ตำบลน้ำพุ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เล่าว่า สวนลำไยกว่า 30 ไร่ของตนเป็นมรดกตกทอดจากพ่อซึ่งยึดถือการทำอาชีพสวนลำไยมาโดยตลอด แต่แล้วเมื่อเกิดการปนเปื้อนจากการลักลอบทิ้งฝังกลบของบริษัทแวกซ์ กาเบ็จ สารพิษที่ปนเปื้อนห้วยน้ำพุ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำหรับเพาะปลูกหลักของชาวน้ำพุ ทำให้พืชผลทางการเกษตรย่ำแย่ลง อีกทั้งชาวบ้านต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการขุดน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ทดแทน
สันติ แผนงาม หนึ่งในเกษตรกรสวนลำไยผู้ได้รับผลกระทบ ที่ตำบลน้ำพุ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
“กลิ่นครับ แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้วแต่น้ำที่ใช้จากลำห้วยจะมีกลิ่นเสมอ คือทุกวันนี้บนผิวน้ำอาจจะลดลงไปเยอะแล้ว แต่เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ เขาลักลอบทิ้งเยอะมาก จนพวกกากอุตสาหกรรมอะไรพวกนี้มันซึมลงดิน ลงห้วยไปหมดแล้ว ถ้าต้องบำบัดจริง ๆ ก็คงใช้งบประมาณเยอะมาก ๆ ในการที่จะทำให้ลำน้ำหลักของเกษตรกรทั้งตำบลกลับมาใช้ได้อีกครั้ง” สันติ กล่าว
จากการชนะคดีแบบกลุ่ม (Class action) ครั้งนี้ คำพิพากษายังกำหนดการเยียวยา โดยแบ่งประเภทของการเยียวยาได้ดังนี้
ค่ารักษาพยาบาล : แบ่งตามระดับการปนเปื้อนสารโลหะหนักในร่างกาย (ไม่พบ / พบ / พบเกินเกณฑ์) โดยจ่ายรายปี จำนวน 7 ปี
ค่าเสียหายต่อสุขภาพและอนามัย : สำหรับผู้ที่มีสารโลหะหนักเกินค่ากฎหมายกำหนด แบ่งเป็นผู้มีอายุเกิน 15 ปี และต่ำกว่า 15 ปี
ค่าเสียหายต่อพื้นที่เกษตรและผลผลิต : ครอบคลุมทั้งพืชสวน พืชไร่ และพืชผลเฉพาะชนิด เช่น ลำไย มะม่วง มะนาว มะละกอ มันสำปะหลัง ผักต่าง ๆ และเห็ด
โดยค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายต่อสุขภาพและอนามัยจะแบ่งระดับการเยียวยาผ่านการตรวจพบการปนเปื้อนในค่าเลือด และค่าเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรและผลผลิตจะถูกแบ่งระดับเงินเยียวยาตามความเสียหายหรือระยะทางกับแหล่งมลพิษที่ตรวจพบ
โดยครอบครัวของสันตินั้นประกอบด้วยกัน 11 คน โดยสวนของสันตินั้นได้รับเงินเยียวยาราว ๆ 200,000 บาท และค่าเสียหายต่อสุขภาพสำหรับบุตรหลาน (เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี) ในครอบครัวตกคนละ 30,000 บาท โดยส่วนใหญ่กลุ่มที่ได้รับเงินเยียวยาสุขภาพในเรตนี้จะเป็นกลุ่มเปราะบาง ในขณะที่กลุ่มทั่วไปจะได้เงินค่าเสียหายทางสุขภาพคนละ 18,000 บาท โดยประมาณ
“เราก็ดีใจตรงที่ว่า ความยุติธรรมได้เดินทางมาถึงเราแล้ว ชาวบ้านก็สู้มานาน หลายคนที่ต่อสู้กันมาก็ล้มหายตายจาก รวมถึงคนที่จากไปหลายคนก็จากไปด้วยผลกระทบจากมลพิษอย่างมะเร็ง เงินก้อนนี้ไม่สามารถทดแทนความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านน้ำพุได้ทั้งหมดก็จริง แต่ก็เป็นความหวังเล็ก ๆ ให้กับประชาชน ว่าผู้ทำผิดจะไม่ลอยนวลเหมือน 20 ปีที่ผ่านมา” สันติ กล่าว
ชนะคดีสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นผู้แพ้ในการฟื้นฟูบ้านเกิด
ธนู งามยิ่งยวด คือบุคคลที่ปรากฏบนหน้าสื่อเมื่อค้นหาเกี่ยวกับกรณีโรงงานรีไซเคิลแวกซ์ กาเบ็จ เขาคือหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบและล้มละลายจากการต่อสู้กับโรงงานรีไซเคิลดังกล่าว ด้วยระยะทางจากบ้านและโรงงานไม่ห่างกันมาก แม้จะชนะคดีแล้วแต่หากมลพิษไม่ถูกฟื้นฟู บำบัด และเอาออกจากพื้นที่ไป ก็ยังไม่ถือว่าเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์สำหรับเขา เพราะเท่ากับว่า ชาวบ้านน้ำพุก็ยังต้องทนอยู่กับแหล่งน้ำ อากาศ และผืนดิน ที่ปนเปื้อนมลพิษของโรงงานกากอุตสาหกรรมอยู่ดี
ธนู งามยิ่งยวด แกนนำชาวบ้านน้ำพุและโจทก์ลำดับที่ 1 ในการฟ้องร้อง Class action ครั้งนี้
ในการต่อสู้คดีจำเป็นที่จะต้องใช้เงินหลายส่วน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนูได้สู้กับอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมนี้จนกระทบการเงินของตนเอง อีกทั้งอาชีพเดิมที่ประกอบสวนผลไม้นานาชนิดก็ต้องหยุดชะงักจากลำน้ำที่ปนเปื้อน ในวันนี้ที่ความยุติธรรมมาถึง เขาก็รู้สึกยินดีแต่ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการต่อสู้
“ตอนที่โรงงานยังอยู่เราลำบากมาก ไม่ใช่แค่กลิ่นเหม็นอย่างเดียว แต่พืชผลก็ไม่งอกงาม รวมถึงแม่กับลูกเราก็ป่วยติดเตียง เวลาที่ลมมันพัดมาทีตามฤดู เราจะขนย้ายพวกเขาออกไปยังไง เราไม่มีที่ให้ย้ายไปที่ไหน เราก็ได้แต่ยืนหยัดต่อสู้ เพื่อปกป้องบ้านของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” ธนู กล่าว
เขากล่าวว่า ในวันนี้เขายังไม่ได้เงินเยียวยาเนื่องจากตนใช้ธนาคารอื่น (ในการจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้ถ้าหากเป็นธนาคารกรุงไทยจะเข้าในทันที) อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้มายังไม่ทันได้ใช้ก็ต้องเอาไปจ่ายหนี้ที่คงค้างหรือกระทั่งเจ้าหนี้หลายคนเมื่อได้เห็นข่าวการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าว ก็คงติดต่อตนมาในเร็วนี้
นี่คือส่วนหนึ่งของผลกระทบที่ชาวบ้านคนหนึ่งต้องสูญเสียจากการต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ในบ้านของตน
แต่ยังมีข้อสงสัยว่า ตนเป็นโจทก์ ที่ 1 ที่ดำเนินการฟ้องร้อง ซึ่งได้ร่วมกับโจทก์อีก 2 คน วางเงินประกันไว้ที่ศาลด้วย จะสามารถนำเงินนั้นคืนมาได้อย่างไร ซึ่งก็ได้แต่รอด้วยความหวังอีกครั้งและประสานงานทางกลุ่มทนายความให้ติดตามเรื่องนี้
สู่ข้อเสนอเพิ่มฐานความผิด ‘ฟอกเงิน’ ก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อม
ทางด้านดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม มองว่าการฟ้องคดีแบบกลุ่มมีความยากหลายขั้นตอน และต้องมีเงินจำนวนมากไปวางที่ศาล ทำให้ชาวบ้านต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจะฟ้องคดี ในขณะที่การฟ้องลักษณะนี้ก็เป็นดาบสองคมในการที่ชนะก็ได้รับปันส่วนของเงินเยียวยาเท่ากัน แต่นั่นก็หมายถึงการแพ้คดีและโดนฟ้องร้องกลับ ซึ่งอาจเพิ่มความกังวลให้กับชาวบ้านในการตัดสินต่อสู้กับอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมเหล่านี้
โดยดาวัลย์ได้เสนอไปถึงปปง. ในการเพิ่มมูลฐานความผิดทางสิ่งแวดล้อม เป็นคดีฐานฟอกเงิน เพื่อยึดอายัดทรัพย์ เพื่อป้องกันการถ่ายโอนทรัพย์ไปให้ผู้อื่นและตามกลับมาได้ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านมีสถานะผู้ชนะคดี แต่ผู้แพ้ในการเยียวยาฟื้นฟูบ้านเกิดของตนอย่างเช่นหลาย ๆ กรณีที่ผ่านมา
“มันต้องทำให้การก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมแบบนี้เป็นการฟอกเงิน เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาได้เงินจากการกระทำแบบนี้ และรัฐเองจะต้องวางมาตรการ เพื่อไม่ให้พวกเขากอบโกย และไม่รับผิดชอบต่อพื้นที่อย่างที่เคยเป็นมา” ดาวัลย์ กล่าว
ดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม
แม้ชัยชนะ Class action คดีแรกอันแสนยาวนานของฟ้องร้องกากอุตสาหกรรม ‘แว็กซ์ กาเบ็จ’ ของชาวบ้านน้ำพุคือหนึ่งความสำเร็จในหน้าประวัติศาสตร์การต่อสู้อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมของไทย แต่ได้โปรดอย่าลืมไปว่า ความเสียหายที่แท้จริงอาจเทียบไม่ได้เลยกับเงินเยียวยาที่ได้รับไป
โจทย์สำคัญที่หน่วยงานภาครัฐต้องบูรณาการร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อกันก่อนแก้หรือเพื่อสร้างมาตรการเยียวยาหลังเกิดปัญหา แต่เพื่อไม่ให้ต้องมีประชาชนคนไหนต้องกลายมาผู้ชนะท่ามกลางซากปรักหักพังของชีวิตที่ต้องสูญเสียไปนับ 10 ๆ ปี
“ถ้าจะให้เรียกว่าความสำเร็จจริง ๆ คือวันที่ไม่มีชาวบ้านในพื้นที่ไหนไม่ต้องมาเจ็บปวดกับกลุ่มโรงงานพวกนี้เหมือนอย่างเราอีก” ธนู กล่าว