ในเงาแห่งความรุนแรง : ภาพสะท้อนการเมืองของความเมตตาใน White Bird  - Decode

ในเงาแห่งความรุนแรง : ภาพสะท้อนการเมืองของความเมตตาใน White Bird 

Peaceful
Reading Time: 2 minutes

ประกายไฟลามทุ่ง

รศ. ดร. ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ในเดือนที่ผ่านมาเป็นจังหวะของการเปิดภาคการศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในสัปดาห์แรกผมมีโอกาสมอบหมายให้นักศึกษาได้ชมภาพยนตร์เรื่อง White Bird (2023) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาประเด็นทางการเมือง และเป็นจังหวะสำคัญที่ปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา ได้ปะทุขึ้น ในการอภิปรายผมได้ประเด็นที่น่าสนใจจากการพูดคุยกับนักศึกษาจึงขอถ่ายทอดประเด็นสำคัญในบทความนี้

ภาพยนตร์เริ่มต้นเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ Wonder (2017) โดยเริ่มต้นการพูดถึงเด็กนักเรียนที่ถูกไล่ออกจากการรังแก Wonder และเขาได้สนทนากับคุณย่าของเขาผู้ใช้ชีวิตในฐานะเหยื่อสงครามภายใต้การยึดครองของนาซีเหนือฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับผมเป็นภาพยนตร์ที่แม้จะชวนเศร้า แต่อบอุ่นและสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก

ภาพยนตร์ “White Bird” นำเสนอมิติของความรุนแรงที่แตกต่างจากการบรรยายประวัติศาสตร์กระแสหลัก โดยเฉพาะการตั้งคำถามต่อการสร้างตำนานวีรกรรมของประวัติศาสตร์ชาตินิยม ประวัติศาสตร์กระแสหลักมักสร้างการบรรยาย (narrative) ที่เน้นความเท่ห์และความสง่างามของการสู้รบเพื่อชาติ โดยใช้สัญลักษณ์และพิธีกรรมทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) เคยชี้ให้เห็นว่า การสร้าง “ชุมชนจินตนากรรม” (imagined communities) ผ่านการบรรยายประวัติศาสตร์เป็นกลไกสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์ชาติ อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งคำถามต่อการบรรยายดังกล่าวโดยการเน้นไปที่ประสบการณ์ของประชาชนธรรมดาที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในกระแสความรุนแรง การแสดงให้เห็นว่า สงครามไม่ได้สร้างเพียงวีรบุรุษตามที่ตำราประวัติศาสตร์อ้าง แต่ยังสร้างความทุกข์ทรมานอย่างกว้างขวางให้กับผู้คนทุกระดับชั้น การเน้นถึงมิติของความเจ็บปวดและการสูญเสียของคนธรรมดานี้ เป็นการท้าทายการผูกขาดการตีความประวัติศาสตร์โดยชนชั้นปกครอง

การท้าทายต่อการบรรยายประวัติศาสตร์ดังกล่าวเชื่อมโยงไปสู่การเปิดเผยกลไกของความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) ได้แยกแยะไว้ กัลตุงได้แยกแยะความรุนแรงออกเป็นสามประเภท คือความรุนแรงทางตรง (direct violence) ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (structural violence) และความรุนแรงทางวัฒนธรรม (cultural violence) ซึ่งภาพยนตร์ “White Bird” สะท้อนให้เห็นทั้งสามมิตินี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่แสดงให้เห็นว่า ระบบทางการเมืองและสังคมสามารถสร้างสภาวะที่ทำให้การกระทำความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติและชอบธรรม ขณะเดียวกัน การกระทำเพื่อความเมตตากรุณากลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและความเสี่ยง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของปัญหาที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอ

แต่แม้จะอยู่ในบริบทของความรุนแรงที่รุนแรงที่สุด ภาพยนตร์ยังคงแสดงให้เห็นถึงการคงอยู่ของมนุษยธรรมผ่านการกระทำของตัวละครต่าง ๆ ที่เลือกที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแม้จะเสี่ยงต่อชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะตัวละคร ซาร่า ที่เล่าให้ลูกชายฟังถึงประสบการณ์ในวัยเด็กที่เธอถูกช่วยชีวิตโดยครอบครัวชาวฝรั่งเศสที่เสี่ยงภัยเพื่อปกป้องเด็กหญิงชาวยิวคนหนึ่ง การที่ครอบครัวนี้เลือกที่จะซ่อนเธอไว้ในโรงนาแม้จะทราบดีว่าหากถูกจับได้จะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจเลือกความเมตตากรุณาเหนือความปลอดภัยของตนเอง สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของเจมส์ สก็อตต์ (James Scott) เรื่อง “อาวุธของคนอ่อนแอ” (weapons of the weak) ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ในสภาวะที่อำนาจรัฐมีความเข้มแข็งสูง ผู้คนยังคงมีพื้นที่ในการต่อต้านและรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ การกระทำเหล่านี้แม้จะดูเล็กน้อย แต่มีความสำคัญในการรักษาไว้ซึ่งพื้นที่ทางศีลธรรมที่ไม่ถูกครอบงำโดยตรรกะของความรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวังและลับ ๆ ล่อ ๆ ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดของพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกทางการเมืองและศีลธรรม 

นอกจากนี้การวิเคราะห์ภาพยนตร์ “White Bird” สามารถเชื่อมโยงกับสถานการณ์ร่วมสมัยในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาได้อย่างน่าสนใจ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเขตแดนและมรดกทางวัฒนธรรม ได้สร้างบรรยากาศทางการเมืองที่จำกัดพื้นที่สาธารณะในการถกเถียงเรื่องสันติภาพ ในบริบทไทย การพูดคุยเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพกับกัมพูชามักถูกตีกรอบด้วยตรรกะของความมั่นคงแห่งชาติและศักดิ์ศรีชาติ ผู้ที่พยายามเสนอมุมมองที่เน้นการเจรจาและการหาทางออกโดยสันติมักถูกมองว่าเป็น “การทรยศต่อชาติ” หรือ “การไม่รักชาติ”

สิ่งนี้สะท้อนถึงการทำงานของความรุนแรงทางวัฒนธรรมที่ทำให้การพูดคุยเรื่องสันติภาพกลายเป็นเรื่องต้องห้าม ในทางกัมพูชา สถานการณ์ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐ การพูดคุยเรื่องการประนีประนอมหรือการหาทางออกร่วมกันมักถูกมองว่าเป็นการ “ยอมแพ้” หรือ “การขายชาติ”

สิ่งที่เกิดขึ้น คือความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองของทั้งสองประเทศมีผลกระทบต่อการจำกัดพื้นที่สาธารณะในการถกเถียงเรื่องสันติภาพอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผู้นำทางการเมืองใช้ความขัดแย้งเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองภายในประเทศ การพูดคุยเรื่องสันติภาพกลายเป็นเรื่องที่ “อันตรายต่อความมั่นคง” ตามนิยามของรัฐ สิ่งนี้สอดคล้องกับสิ่งที่เราเห็นใน “White Bird” ที่การทำความดีและการแสดงความเมตตากรุณากลับต้องดำเนินไปอย่างแอบแฝง ขณะที่ความรุนแรงและการเกลียดชังได้รับการสนับสนุนจากระบบ ในบริบทไทย-กัมพูชา นักวิชาการ นักกิจกรรม และประชาชนที่พยายามส่งเสริมการเข้าใจกันและการสร้างสันติภาพมักต้องเผชิญกับการถูกตั้งคำถามถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ผลที่ตามมาคือ การสนทนาเรื่องสันติภาพต้องดำเนินไปในพื้นที่ที่จำกัด มักเป็นในวงวิชาการหรือองค์กรพัฒนาเอกชน ขณะที่พื้นที่สาธารณะกลับถูกครอบงำด้วยวาทกรรมของความขัดแย้งและการเผชิญหน้า

การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตที่ “White Bird” นำเสนอ ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เราพยายามสร้างสังคมที่ความใจดีและการแสวงหาสันติภาพไม่ต้องเป็นการกระทำที่ต้องซ่อนเร้น แต่เป็นคุณค่าที่ได้รับการยกย่องและสนับสนุนจากสังคม ภาพยนตร์เตือนเราให้เห็นว่า ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลผลิตของระบบทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน การที่ความดีต้อง “ซ่อนตัว” ขณะที่ความรุนแรงได้รับการยกย่องเป็นสิ่งที่แสดงถึงการขาดสมดุลของระบบค่านิยมทางสังคม 

ผมตั้งคำถามสำคัญในห้องเรียนมีคำตอบหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นักศึกษาได้ให้ความเห็นว่า

“แม้ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนผู้คนจะสิ้นไร้เหตุผล หวาดกลัว และยอมต่อกระแสแห่งสงคราม เรายังเห็นช่วงเวลาของเหตุผล ช่วงเวลาของเมตตา ช่วงเวลาของความกล้าหาญ ซึ่งไม่ได้มาจากคนถือปืนหรือชนชั้นนำ แต่มาจากคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตร่วมกันทุกวัน และคนเหล่านี้นี่แหละที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้”