Hypogamy: เมื่อเมียมีสถานภาพสูงกว่าผัว - Decode

Hypogamy: เมื่อเมียมีสถานภาพสูงกว่าผัว

Gender & Sexuality
Reading Time: 3 minutes

(Un) popular opinion

โตมร ศุขปรีชา

คุณเคยได้ยินคำว่า Hypogamy ไหมครับ?

เราอาจจะคุ้นกับคำว่า Monogamy หรือการมีชีวิตคู่แบบ ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ หรือ Polygamy หรือการมีชีวิตแบบ ‘หลายผัวหลายเมีย’ (ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเป็นผัวเดียวที่มีหลายเมียมากกว่าแบบอื่น)

แต่พอเป็นคำว่า Hypogamy นี่สิ – มันคืออะไรกันแน่ (ฟะ)

แล้วถ้าบอกคุณว่า ยังมีคำว่า Hypergamy กับ Homogamy อีก – คราวนี้หลายคนน่าจะเกาศีรษะกันเลยทีเดียวด้วยความสับสนงุนงง

จริง ๆ ถ้าดูรากศัพท์ หลายคนอาจนึกถึงชื่อโรคอย่างเช่น Hypothyroid คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ เลยทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่าย หน้าบวม มือเท้าบวมอะไรทำนองนี้ เพราะมี Prefix ว่า Hypo เหมือนกัน

คำว่า Hypogamy ก็เป็นแบบนั้นแหละครับ มันมาจากสองคำ คือ Hypo- ที่แปลว่า ‘ต่ำกว่า’ กับคำว่า Gamos ที่แปลว่า การแต่งงาน เพราะฉะนั้น Hypogamy จึงหมายถึงสภาวะที่คนคนหนึ่งแต่งงานกับคนอีกคนหนึ่งที่มีสถานภาพ (โดยเฉพาะการศึกษา) ต่ำกว่าตัวเอง ส่วน Hypergamy เป็นตรงข้าม คือการที่คนคนหนึ่งแต่งงานกับอีกคนหนึ่งที่มีสถานภาพสูงกว่าตัวเอง และสุดท้ายคือ Homogamy (ซึ่งไม่ได้แปลว่าการแต่งงานกับคนเพศเดียวกัน!) หมายถึงการแต่งงานกับคนที่มีสถานภาพเท่า ๆ กัน

แล้วเรื่องนี้มันน่าสนใจตรงไหนหรือ?

เมื่อไม่นานมานี้ มีบทความเรื่อง What Is “The New Marriage of Unequals”? หรืออะไรคือ “การแต่งงานแบบใหม่ที่ไม่เท่าเทียม” อยู่ในเว็บของ The Atlantic เขียนโดย สเตฟานี เมอร์เรย์ (Stephanie H. Murray) บทความนี้ขึ้นต้นด้วยการบอกเราว่า – ผู้หญิงในปัจจุบันมีแนวโน้มจะแต่งงานกับผู้ชายที่มี ‘การศึกษา’ น้อยกว่าตัวเอง โดยแนวโน้มนี้เกิดขึ้นมากกว่าการที่ผู้ชายจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยกว่า

ไม่งงใช่ไหมครับ!

จริง ๆ ต้องเล่าก่อนว่า วงการมานุษยวิทยาเขาศึกษาเรื่องการแต่งงานกับคนที่มีสถานภาพต่างกันนี้มานานแล้ว โดยจุดเริ่มต้นการศึกษาเรื่อง Hypergamy นั้น มาจากเรื่อง ‘วรรณะ’ ในอินเดีย โดยคนแรก ๆ ที่ใช้คำว่า Hypergamy คือเฮอร์เบิร์ต ริสรีย์ (Herbert Risley) ซึ่งเป็นนักชาติพันธุ์วรรณาหรือ Ethnographer ชาวอังกฤษ 

คุณเฮอร์เบิร์ตของเราใช้คำนี้ในการเรียก ‘ผู้หญิง’ ที่อยู่ในวรรณะต่ำกว่า แล้วไปแต่งงานกับผู้ชายที่มีวรรณะสูงกว่า คำว่า Hyper จึงเหมือนการ ‘เร่ง’ วรรณะของผู้หญิงให้สูงขึ้นโดยปริยาย และนั่นทำให้คำว่า Hypergamy มักถูกนำมาใช้กับผู้หญิงเป็นหลัก โดยในยุคหลัง ๆ เริ่มมีการเสนอให้ใช้คำที่มีความเป็นกลางทางเพศสภาพ (Gender Neutral) มากขึ้น เช่นใช้คำว่า Educational Heterogamy เพื่อหลีกเลี่ยงกรอบคิดที่มีผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง (แต่เป็นศูนย์กลางในแง่ที่ไม่ค่อยจะดูดีเท่าไหร่ เพราะเป็นแนวคิดของการศึกษาตั้งแต่ยุคอาณานิคมโน่น) แต่กระนั้น คำอย่าง Hypergamy หรือ Hypogamy ก็ฟังดู ‘ติดตลาด’ มากกว่า และโดยมากมักใช้โดยหมายความถึงผู้หญิง ว่าเธอไปแต่งงานกับคนที่มีสถานภาพสูงหรือต่ำกว่าตัวเอง

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ฟังดูแปลกประหลาดอะไร ถ้าหากว่าโดยประวัติศาสตร์แล้ว ปรากฏการณ์การแต่งงานมันไม่ได้เป็นแบบนี้ และพูดได้ด้วยซ้ำว่าแทบไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

มีการศึกษาในหลากหลายสังคมทั่วโลก เขาพบว่าแทบทุกสังคม การที่ผู้ชายจะ ‘แต่งลง’ (หมายถึงแต่งงานกับผู้หญิงที่มีสถานภาพต่ำกว่าตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษา) และผู้หญิง ‘แต่งขึ้น’ ถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้มาก

เคยมีการศึกษา ‘ความแตกต่าง’ ของรายได้ระหว่างคู่สมรสหญิงชายในปี 1980 และ 2012 พบว่าทั้งปี 1980 และ 2012 นั้น ผู้หญิงมีแนวโน้มจะแต่งงานกับผู้ชายที่มีรายได้ (และการศึกษา) สูงกว่าตัวเอง

นักวิจัยเรียกลักษณะแบบนี้ว่า ‘หน้าผาทางเพศ’ หรือ Gender Cliff คือผู้หญิงจะอยู่ด้านล่างของสถานภาพ ส่วนผู้ชายจะอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะที่ตอกย้ำให้เราเห็นว่า ผู้หญิงอยู่ ‘ต่ำ’ กว่าผู้ชายจริง ๆ และสิ่งที่ผู้หญิงจะทำได้เพื่อยกระดับสถานภาพของตัวเองขึ้น ก็คือการ ‘แต่งขึ้น’ หรือ Hypergamy เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเรื่องการเลือกคู่ในอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก พบว่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ย่อมสนใจ ‘รูปลักษณ์’ ของคู่ครองทั้งคู่ แต่ผู้ชายจะชอบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า มีอำนาจน้อยกว่า ปกครองได้ง่ายกว่า ในขณะที่ผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่ร่ำรวย มีการศึกษาดี และมีความทะเยอทะยาน

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ในสมัยก่อน ผู้หญิงมักจะแต่งงานแบบ Hypergamy มาตลอดประวัติศาสตร์ แต่เพิ่งมีการค้นพบปรากฏการณ์ที่ผู้หญิง ‘แต่งลง’ (หรือ Hypogamy) คือแต่งงานกับผู้ชายที่มีสถานภาพต่ำกว่าตัวเองเพิ่มมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง!

บทความใน The Atlantic บอกเราว่า สมัยก่อน ‘ความต่าง’ ของระดับการศึกษาของคู่รักต่างเพศต่างกันมาก คือผู้หญิงการศึกษาต่ำกว่า ผู้ชายการศึกษาสูงกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ช่องว่างนี้ค่อย ๆ หดเล็กลงเพราะผู้หญิงได้รับการศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือน ‘ความต่าง’ ของระดับการศึกษาในคู่รักต่างเพศจะเริ่มหวนกลับไป ‘ขยายกว้าง’ มากขึ้นอีกครั้ง ทว่าที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ กลายเป็นว่าเป็นผู้หญิงต่างหาก ที่มีการศึกษาสูงกว่า ในขณะที่ผู้ชายมีการศึกษาต่ำกว่า

มีหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่า ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Hypogamy กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นคริสติน ชวาร์ตซ์ จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน–แมดิสัน บอกว่า Hypogamy คือผู้หญิงการศึกษาสูงแต่งงานกับผู้ชายการศึกษาต่ำกว่านั้น เพิ่มจาก 39% ในปี 1980 มาเป็น 62% ในปัจจุบัน

หรืออีกการศึกษาหนึ่งของ เบนจามิน โกลด์แมน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เขาพบว่าคู่แต่งงานอเมริกันที่เกิดในปี 1930 มีแค่ 2.3% ที่ผู้หญิงมีปริญญาแต่ผู้ชายไม่มี แต่พอมาถึงปี 1980 ตัวเลขนี้เพิ่มเป็น 9.6% และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังปี 2000 เป็นต้นมา

แล้วเรื่องนี้มันน่าตื่นเต้นตรงไหน?

ถ้ามองในทางสังคม ปรากฏการณ์ Hypogamy ไม่ใช่แค่เรื่องใครจะแต่งกับใคร (ซึ่งแปลว่าเราอาจไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเขา) แต่พอถอยตัวออกมาดูภาพใหญ่ในเชิงสังคม เราจะเห็นเลยว่า Hypogamy กำลัง ‘บอก’ อะไรเราหลายอย่างทีเดียว และมันอาจเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งทางเพศ ทางการศึกษา และค่านิยมในสังคม

อย่างแรกเลยก็คือ Hypogamy สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจทางเพศและบทบาทเพศที่ ‘ถูก’ ทำให้เปลี่ยนแปลง โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ยาวนานมาก เริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ผู้หญิงค่อย ๆ มีบทบาทมากขึ้น มีการเรียกร้องให้ผู้หญิงได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับผู้ชาย จากเฟมินิสต์คลื่นลูกต่าง ๆ และแนวคิดเกี่ยวกับความเสมอภาคในสังคม ดังนั้น จากในอดีตที่บทบาททางเพศถูกผูกไว้กับการที่ผู้ชายต้องมีสถานะสูงกว่า ทั้งในด้านการศึกษา รายได้ และอำนาจตัดสินใจ ก็ได้ ‘ค่อย ๆ’ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จนในที่สุดก็เกิดผลออกมาเป็นปรากฏการณ์ Hypogamy ที่จับต้องได้เป็นสถิติในปัจจุบัน

เราจึงพูดได้ว่า – นี่คือ ‘สัญญาณ’ ของการคลายตัว หรือสลายตัวของบรรทัดฐานเดิม แม้จะยังไม่ถึงขั้นเท่าเทียมเต็มที่ก็ตาม

แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง ปรากฏการณ์ Hypogamy ก็อาจบอกเราด้วยเช่นกันว่า โครงสร้างการศึกษาเมื่อนำมาผนวกเข้ากับเรื่องเพศสภาพแล้ว อาจมีลักษณะที่ ‘ไม่สมดุล’ บางอย่าง

มีสถิติจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่บอกว่าผู้หญิงเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากกว่าผู้ชายเป็นจำนวนหลายล้านคน ดูเหมือนว่า แนวโน้มนี้ในไทยก็เป็นเช่นเดียวกัน มีข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า ในไทย มีผู้หญิงวัยทำงานที่จบปริญญาตรีจำนวนมากกว่าผู้ชาย และเป็นเทรนด์แบบนี้ต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว 

ลักษณะแบบนี้จึงอาจไม่ใช่แค่การที่ผู้หญิงเปลี่ยนท่าที หรือบทบาททางเพศเท่านั้น แต่ยังอาจบอกเราด้วยว่าเพราะพวกเธอ ‘ไม่มีตัวเลือก’ ที่ดีพอ คือไม่มีผู้ชายการศึกษาสูง (หรือสถานภาพสูง) จำนวนมากพอให้เลือกใน ‘ตลาดคู่ครอง’ ดังนั้น ปรากฏการณ์ Hypogamy ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงเรื่องวิกฤตการศึกษา และแรงงานในฝั่งของคนที่มีเพศสภาพเป็นชาย และเรื่องนี้อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวได้

ที่น่าสนใจก็คือ มีตัวเลขบอกว่าในประเทศเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ปรากฏการณ์ Hypogamy ยังเกิดขึ้นน้อย สัดส่วนยังต่ำกว่าฝั่งตะวันตก เพราะค่านิยมแบบ Hypergamy ยังฝังลึก แต่กระนั้นก็เริ่มมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในคนรุ่นใหม่แล้วเหมือนกัน

เราอาจมอง Hypogamy ได้อีกมุมหนึ่ง ว่ามันคือ ‘เครื่องทดสอบ’ ความยืดหยุ่นของค่านิยมทางวัฒนธรรมด้วย ลองนึกถึงสมัยก่อน หลายสังคมมีความเชื่อว่าผู้ชายควรเป็นผู้นำในครอบครัว ถ้าเมื่อไหร่ผู้หญิงหาเงินได้มากกว่าสามี อาจทำให้เกิดปัญหาในครอบครัวขึ้นมา หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือความเชื่อลึก ๆ ที่ว่า – เมียไม่ควรจะฉลาดกว่าผัว เพราะผัวคือช้างเท้าหน้า แต่ความคิดเหล่านี้มีแนวโน้มลดลง บรรทัดฐานแบบ ‘ชายเป็นใหญ่’ ค่อย ๆ ถูกทำลายลง 

ถ้าสังคมยอมรับ Hypogamy ได้ และมีปรากฏการณ์แบบนี้เพิ่มมากขึ้น ก็อาจแปลความได้ว่า ความคิดเรื่องเพศและความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักต่างเพศ – อาจเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นมากกว่าที่เราเคยคิด และนี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่า ความรักและการเลือกคู่ อาจเป็นเรื่องที่ปัจเจกแต่ละคนทำได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น

การจับสังเกต Hypogamy ได้ ว่าเพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างไร จึงเกี่ยวพันลึกซึ้งถึงการวางนโยบายด้านการศึกษา แรงงาน และสวัสดิการสังคมด้วย และถ้า Hypogamy ค่อย ๆ กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบครอบครัว ระบบเศรษฐกิจในครัวเรือน รวมไปถึงการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างไปจากในอดีตเป็นอย่างมาก

ภาพประกอบ: ณัฐนนท์ ณ นคร