'ต้นส้มแสนรัก' วัยเยาว์ที่แหลกสลาย - Decode

‘ต้นส้มแสนรัก’ วัยเยาว์ที่แหลกสลาย

Play Read
Reading Time: 3 minutes

“อะไรกันเด็กน้อย จะฆ่าพ่อของตัวเองอย่างนั้นหรือ?”

“ผมจะฆ่า ผมเริ่มไปแล้วด้วยซ้ำ ฆ่านี่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเอาปืนมายิงโป้งนะ
ไม่ใช่แบบนั้น ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่ผมเลิกรักเขาแล้ว วันหนึ่งเขาก็จะตาย”

เจ้าหนูเซเซ่พูดกับเพื่อนรักและ (ว่าที่) พ่อคนใหม่ของเขา วาลาดาเรส
ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น โปรตุก้า เพราะเขาเป็นคนโปรตุเกส และเซเซ่รู้สึกว่า เพื่อนสนิทกันต้องไม่เรียกชื่อจริง

“โปรตุก้า ดูหน้าผมสิ … ไม่ใช่หรอก หน้าของสัตว์น่ะ ที่บ้านเขาพูดกันว่าผมมีหน้าเป็นสัตว์ เพราะผมไม่ใช่คน ผมเป็นสัตว์ ผมเป็นอินเดียพินาเจ้ ผมเป็นลูกเปรต” เซเซ่เสียงดังพร้อมกับใบหน้าบวมเป่ง

“ผมรู้ว่ามันแย่แค่ไหนที่พ่อหางานทำไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว ผมรู้ว่าเขาสะเทือนใจมากที่แม่ต้องไปทำงานตลอดทั้งวันเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน แม่ต้องใช้เข็มขัดกันไส้เลื่อนเพราะยกลังหลอดด้ายหนักเกินไป พี่ลาลาขยันเรียนมากแต่ต้องไปเป็นกรรมกร  อะไร ๆ มันเลวร้ายไปหมด แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องตีผมขนาดนั้น” เซเซ่สาธยาย

“ให้ตายสิ เด็กขนาดนี้ เข้าใจและเดือดร้อนไปกับปัญหาของพวกผู้ใหญ่ได้ยังไงนะ” ริ้วรอยของความกังวลเกิดขึ้นบนใบหน้าของโปรตุก้า

เซเซ่ เป็นเด็กผิวขาวผมสีน้ำตาลทองในครอบครัวชาวบราซิลเลียน ว่ากันว่าเป็นแม่คนอินเดียพินาเจ้ (อินเดียน) ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอเมริกา เขาและกลอเรียที่เป็นพี่สาวอีกคนหนึ่งก็มีลักษณะคล้ายกัน ครอบครัวของเซเซ่มีพี่น้องห้าคน รวมพ่อและแม่อีกเป็นเจ็ด ทั้งหมดอาศัยอยู่ใน “ต้นส้มแสนรัก” วรรณกรรมที่ถูกถักทอขึ้นจากประสบการณ์ของ โจเซ่ เมอโร เดอ วาสคอนเซลอส ซึ่งเป็นผู้เขียน

ณ เมืองรีโอเดจาเนโร ที่ว่ากันว่าเป็นเมืองที่งดงามที่สุดในโลก ประดับประดาด้วยความเจริญ และความพรั่งพรูทางวัฒนธรรม ทว่าเสี้ยวหนึ่ง ณ ชานเมือง กลับเกาะกุมไปด้วยความทุกข์ทรมานจากความยากจน ความอิจฉาริษยา และความรุนแรงแทบทุกมิติ

หากจะตอบคำถามโปรตุก้าว่าอะไรทำให้เด็กห้าเกือบหกขวบอย่างเซเซ่ เข้าใจและเดือดร้อนไปกับปัญหาของพวกผู้ใหญ่ ก็คงเป็นเพราะพวกผู้ใหญ่เจ้าปัญหาชอบเอาเรื่องแย่ ๆ มาลงที่เด็กน่ะสิ

เซเซ่ชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ลุงเอ็ดมันโดฟัง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ในตัวเซเซ่มีนกที่คอยบอกเรื่อง ๆ ต่างให้เขาฟัง เซเซ่เป็นเด็กที่อ่านออกเขียนได้มากกว่าเด็กคนอื่นในชานเมืองรีโอเดจาเนโร มากจนกลายเป็นเรื่องประหลาดในทีแรกและปกติลงเมื่อเวลาล่วงเลยไป ด้วยทักษะนี้เองทำให้เซเซ่กลายเป็น ‘เด็กแก่น’ เพราะมักรู้ในเรื่องที่เด็กไม่ควรรู้ เจ้านกน้อยในตัวเซเซ่จึงกลายเป็น ‘ผี’ ในสายตาของพวกผู้ใหญ่ไปซะได้ 

ฉันอยากจะได้สาวเปลือยสักนางหนึ่ง
ยามคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง
ฉันอยากจะได้สาวเปลือย…

พ่อของเซเซ่เป็นชายวัยเกือบชรา ร่างกายน่าจะแก่กว่าอายุ เขาจึงมักถูกปฏิเสธจากที่ทำงานต่าง ๆ ด้วยเหตุผลว่าอยากได้คนหนุ่มกว่านี้ นอกจากเงินที่ร่อยหรอก็มีจิตใจที่ห่อเหี่ยว ปวดร้าว เครียดสะสม พ่วงผสมไปด้วย

คืนหนึ่ง แม่ของเซเซ่ต้องทำงานล่วงเวลา หลุยซ์ พระราชาองค์น้อยของเซเซ่หลับอยู่ เช่นเดียวกับลาลา กลอเรีย โททอก้า คืนนั้นพ่อไม่ได้ออกไปข้างนอก นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากเก้าอี้คงพอจะบรรเทาความเงียบยามค่ำคืนไปได้บ้าง พ่อจ้องมองผนังว่างเปล่า 

โถ่คุณพ่อที่น่าสงสาร เขาเคยเศร้ากว่านี้ก็ตอนไม่มีเงินซื้อของขวัญให้ลูกในวันคริสต์มาส เซเซ่คิดว่าที่พ่อนั่งอยู่นี้ อาจเพราะพ่อไม่มีเงินไปเล่นไพ่กับเพื่อนก็ได้ เขาจึงอยากจะทำอะไรให้พ่อเสียบ้าง

ความหม่นเศร้าที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เพียงเพราะกระเป๋าสตางค์ที่ว่างเปล่า หากแต่เป็นเพราะ ‘โครงข่ายแห่งความจน’ ที่ทำให้วงจรชีวิตของตระกูลหนึ่ง ไม่อาจหลุดพ้นความจนได้ชั่วลูกชั่วหลาน แม้ภายในวรรณกรรมจะกล่าวถึงอยู่เล็กน้อย คือแม่ของเซเซ่นั้นไม่ได้รับการศึกษา เพราะต้องใช้แรงกายทั้งหมดในการหาเลี้ยงครอบครัว เช่นเดียวกับพ่อที่ประกอบร่างขึ้นด้วยทักษะทางวิชาชีพที่ตกยุค จนร่างกายเป็นสิ่งเดียวที่พอจะหางานได้

เซเซ่ทำจังหวะเพลงแทงโก้และขับเนื้อร้องออกมา นี่เป็นเพลงที่เขาได้เรียนรู้จากคุณอาริโอวาลโด พ่อค้าพเนจรที่มักนำแผ่นรวมเพลงมาขายตรงสถานีรถไฟ ที่เซเซ่จะต้องเดินผ่านเป็นประจำทุกวัน ด้วยเสียงร้องที่ไพเราะทำให้เซเซ่อยากติดตามเขา และด้วย ‘ความแก่น’ และฉลาดของเซเซ่ ก็ทำให้คุณอาริโอวาลโดมักจะพาเซเซ่ไปเป็นคู่หูคู่ขาย ตะลอนไปขายแผ่นรวมเพลงจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ เซเซ่ได้เศษเงินทอนเป็นเงินเดือน คุณอาริโอวาลโดก็สวมบทบาทเป็นหัวหน้างานที่แสนดี พาเซเซ่ไปเลี้ยงขนมปังและกาแฟทุกครั้งเมื่อจบภารกิจ เซเซ่บอกว่าทำนองเพลงแทงโก้ของเพลงนี้ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา

เขาร้องท่อนเดิมอีกครั้งหลังจากพ่อถามว่า ร้องเพลงอะไรน่ะ

ฉันอยากจะได้สาวเปลือย… ยังไม่ทันจะจบท่อนแรก ใบหน้าของเซเซ่ก็หันไปตามทิศทางที่พ่อเหวี่ยงมือเข้ามา เซเซ่หยุดร้อง แต่พ่อก็บอกให้เขาร้องอีก พอเขาร้อง พ่อก็เหวี่ยงมือเข้ามาอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่รู้ควรหยุดหรือทำตามที่พ่อบอก ในห้วงความรุนแรงนั้น เซเซ่ตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง คือมันจะเป็นการตีครั้งสุดท้ายที่เขาได้รับ แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตาม

“ไอ้ฆาตกร เอาสิ ฆ่าฉันเลย แล้วคุกตารางจะแก้แค้นให้ชั้นเอง” เซเซ่มองพ่ออย่างดูถูก

เสียงแหลม ๆ จากมือที่กระทบผิวหนัง กลายเป็นเสียงทุ้ม ๆ ดังขวับ ความปวดร้าวของเซเซ่ติดตรึงไปกับเข็มขัดที่ฟาดลงมา เซเซ่บอกว่าคล้ายนิ้วพันนิ้วขย้ำตลอดร่างกาย เขาล้มลง งอตัวอยู่ที่มุมห้อง เสียงดังเอะอะทำให้กลอเรีย พี่สาวผู้เข้าใจเซเซ่มากที่สุด เขามาช่วยเหลือและบอกให้พ่อหยุดเสียเถอะ พ่อหยุด มือลูบปิดใบหน้าและน้ำตาที่ไหลออกมา “พ่อลืมตัวไป คิดว่ามันล้อพ่อ หัวเราะเยาะพ่อ” พ่อบอก

ความอดทนขาดวิ่น จากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจากเป็นไอ้ภาระที่ฉุดรั้งชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งไม่ให้ก้าวหน้า ภาวะแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่บราซิลเท่านั้น เราเองก็เห็นได้บ่อยในไทย ผู้ชายมากมายสวมบทบาทพ่อของเซเซ่ กลายเป็นนายยักษ์ทำร้ายลูกและภรรยา เพียงเพราะว่าเครียดจากบรรยากาศที่ตนเองควบคุมไม่ได้ จนลืมไปเสียว่า ไม่ว่าใครก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตนเองเหมือนกัน

มีผู้หญิงมากมายเป็นเหมือนแม่ของเซเซ่ เป็นเหมือนพ่อของเซเซ่ก็มีอยู่บางที

แต่มีเด็กมากมายเป็นเหมือนเซเซ่ ที่เรียนและทำงานไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว พยายามอย่างมากที่สุดที่ขาเล็ก ๆ นั้นจะยืนไหว เพื่อไม่ให้พ่อและแม่ต้องเสียเหงื่อสักหยดเพื่อเขา แต่หลายครั้งที่สิ่งที่ตอบรับกลับมากลายเป็นความรุนแรงเหลือคณานับ

วันนั้น พ่อยังเป็นพ่ออยู่ แต่เป็นพ่อของใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่ของเซเซ่ อาจดีที่สุดแล้วที่เซเซ่เพียงฆ่าพ่อไปจากหัวใจ เลิกรักเขา และตายไปจากความทรงจำ หากวันนั้น เซเซ่ไม่ได้ฆ่าพ่อด้วยการเลิกรัก แต่เป็นอะไรก็ตามที่ไม่สามารถยอมรับได้ เซเซ่ก็คงจะตายตามไปด้วย ไม่ได้ตายด้วยของเหลวสีแดง แต่ตายไปจากสังคม กลายเป็นไอ้เด็กเหลวแหลก ที่ไม่มีใครแม้แต่จะชายตามอง

ต้นส้มแสนรัก พยายามฉายภาพเสี้ยวหนึ่งสังคมที่พังทลายจากน้ำมือของผู้ใหญ่ การพัฒนาของโลกที่มอบความพ่ายแพ้ให้กับผู้ใหญ่บางคน ที่ไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน บางคนพ่ายแพ้แต่รับมือได้ บางคนพยายามสู้กลับ แต่บางคนก็ตอบรับความพ่ายแพ้นั้นด้วยความรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ต้นไม้ หมาแมว แม้กระทั่งเด็ก

เด็กเคยเป็นผ้าต่างสีสันที่ยังไม่เคยเปรอะสิ่งสกปรก หนทางที่ดีที่สุดของผ้าแบบนี้ คือปล่อยให้มันล่องลอยไปตามกระแส เฝ้าดูมันปลิวไปตามเสียงลม ร่วงหล่น และโผบินขึ้นมาใหม่ ทว่าผู้ใหญ่บางคนกลับเลือกใช้มันประดับประดาวิมานของตนเอง หรือบางคนก็ใช้มันเพื่อเช็ดคราบ สกปรกที่ทั้งตนเองก่อและไม่ได้ก่อ

เซเซ่ พาเราไปรู้จักความมหัศจรรย์มากมาย ทั้งนกที่อยู่ในกายเด็ก ต้นส้มพูดได้ ค้างคาวแสนรู้ กลอเรียผู้แสนดี พระราชาองค์น้อย โปรตุก้าที่รัก ผู้เขียนเชื่อว่าจินตนาการและความจริงเหล่านี้ต่างเคยเกิดขึ้นในห้วงชีวิตของคนทุกคน เพียงแต่ว่าบางครั้งการเติบโตทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกพรากไป หรือไม่สิ่งต่าง ๆ ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน

มิงกินโย ต้นส้มของเซเซ่ที่เคยเล็กจิ๋ว ไร้หนามไว้ป้องกันตัว และไร้ดอกให้เชยชม วันนี้มิงกินโยออกดอกเป็นครั้งแรก ดอกไม้เล็ก ๆ สีขาวอาจกลายเป็นลูกสีส้มให้คนได้ลิ้มรส เพียงแต่วันนั้นมิงกินโยพูดไม่ได้แล้ว เจ้าดอกสีขาวนี้อาจเป็นคำบอกลาที่ต้นส้มมีให้เซเซ่

อาทิตย์กว่าแล้วที่บาดแผลของเซเซ่เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับความขมขื่นของพ่อที่ถูกเยียวยาด้วยการได้งานเป็นผู้จัดการโรงงาน ทว่าบาดแผลในใจของเซเซ่ยังอยู่ แม้จะไม่แสบแต่ก็ทิ้งรอย ความเศร้ายังคงเกาะกุม ไม่มีคราบของน้ำตา เพราะดวงตาไม่เคยเหือดแห้ง เป็นอาทิตย์กว่าแล้วที่ต้นส้มของเซเซ่ถูกโค่นลง ไม่ใช่เพราะการเวนคืนถนน แต่เพราะอนาคตที่ไร้จินตนาการของผู้ใหญ่ต่างหาก

วันหนึ่งที่สวนหลังบ้าน ที่ที่มิงกินโยเคยพูดได้

“เซเซ่ เสือดำอยู่ไหนล่ะ?” กลอเรียแหย่เซเซ่
“เหลวไหล มันไม่ใช่เสือหรอก มันเป็นไก่แก่ ๆ สีดำ ที่พี่กินในซุปไก่ต่างหากล่ะ” เซเซ่สวน

“….”

“เหลือแต่สิงโตเท่านั้นแหละ เสือดำมันไปพักร้อนอยู่ในป่าแอมะซอน” เซเซ่พูดต่อ
“อยู่ในป่านั้นหรือ” พระราชาองค์น้อยตาเบิกกว้าง
“อย่ากลัวเลย มันจะอยู่ไกลจนหาทางกลับไม่ได้แล้ว” เซเซ่ยิ้มพลางทอดสายตาไปยังต้นส้มหกต้น ที่เซเซ่เคย ‘ติ๊ต่าง’ ว่าเป็นป่าแอมะซอน

เซเซ่บอกว่าการเก็บรักษาความฝันและจินตนาการให้นานที่สุด เป็นสิ่งที่เราควรจะทำ เพราะเราต่างเติบโตมาด้วยสองสิ่งนั้น แม้ไม่มีฝันก็จินตนาการได้ แม้ไม่มีจินตนาการก็ฝันได้ หรือหากไม่มีทั้งสองอย่าง ก็มีเวลาอีกตั้งถมเถในชีวิตของมนุษย์แหละนะ

“วันนี้ผมกลายเป็นคนที่หยิบยื่นลูกหินและการ์ดรูปภาพให้เด็กคนอื่น
เพราะชีวิตที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนน่ะ มันช่างไม่มีอะไรพิเศษ” – เซเซ่