’พุทธที่ล่มสลายในประวัติศาสตร์ คือพุทธแบบสถาบัน‘ คุยเรื่องพุทธแบบไทย ๆ ในโลกสมัยใหม่กับ ‘วิจักขณ์ พานิช' - Decode

’พุทธที่ล่มสลายในประวัติศาสตร์ คือพุทธแบบสถาบัน‘ คุยเรื่องพุทธแบบไทย ๆ ในโลกสมัยใหม่กับ ‘วิจักขณ์ พานิช’

InterviewsGender & SexualityHuman & Society
Reading Time: 3 minutes

“พุทธเถรวาทซึ่งเป็นพุทธที่เป็นอัตลักษณ์ของบ้านเรา จะอยู่ในโลกสมัยใหม่นี้อย่างไร พระที่เรารู้สึกว่าเป็นพระที่กราบไหว้ได้ เขาควรจะมีธรรมวินัยอย่างไร เราคิดว่านี่เป็นโจทย์ใหญ่”

ที่ผ่านมามีหลายปรากฏการณ์ที่ทำให้สังคมไทยตั้งคำถามกับพฤติกรรมของพระสงฆ์และความโปร่งใสในการบริหารจัดการของวัดหลายแห่ง จะว่าเกิดขึ้นครั้งแรกก็ไม่ใช่ แต่เกิดขึ้นทีไร ชาวพุทธหลายคนก็กังวลว่าพระศาสนาจะเสื่อม เพราะในความศรัทธาของฆราวาสจำนวนไม่น้อย พระสงฆ์เปรียบเสมือนตัวแทนทางศีลธรรมผู้เลือกเดินทางธรรมเพื่อฝึกตน แสวงหาการหลุดพ้นจากอัตตา ไม่ใช่มาห่มผ้าเหลืองเพื่อยึดติดกับสีกา เงินทอง หรือยศถาบรรดาศักดิ์

“เอาพระออกมาให้สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ มีวงผู้หญิงให้พระมาแลกเปลี่ยนพูดคุย มันไม่ผิดวินัย ให้พระมารู้จัก LGBTQIA+ ให้พระมารู้จักเฟมินิสต์ ให้พระมาพูดเรื่องความต้องการทางเพศได้ ทำให้บริบทของความเป็นมนุษย์กลับคืนมาสู่สมณเพศ ให้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดกับเพื่อนมนุษย์”

Decode คุยกับ วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านปรัชญาศาสนา เพื่อชวนหาทางออกว่า ทำอย่างไรพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้กับชาวพุทธได้อย่างยั่งยืน 

บทสนทนาเริ่มจากการย้อนกลับไปทำความเข้าใจก่อนว่า ครั้งหนึ่งในอดีตกาล พุทธศาสนาที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอินเดีย เคยล่มสลายมาแล้วจากความเป็นสถาบันที่ทำให้คณะสงฆ์ห่างไกลจากทุกข์สุขของประชาชน ต่อด้วยการเรียนรู้จากมุมมองของพุทธศาสนาหลากหลายเฉดที่ต่างก็มีเป้าหมายเพื่อการตื่นรู้เช่นเดียวกัน และจบด้วยข้อเสนอเรื่องทางออก คืนอำนาจการทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้แก่พุทธบริษัท 4 เพื่อให้สังฆะและฆราวาสมีบทบาทในการสร้างพระที่ตนเองอยากจะเคารพและกราบไหว้ แทนการใช้อำนาจรัฐควบคุมดูแลศาสนาตามฉบับพุทธแบบไทย

พุทธไทยไม่ใช่ความจริงสัมบูรณ์ ศาสนาพุทธปรับตัวตั้งแต่พุทธกาล

ถ้าเราพูดถึงพระพุทธศาสนา มันไม่ได้มีพระพุทธศาสนาแบบเดียว เวลาเราพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เราต้องการจะมาท้าทายว่ามันมีสิ่งที่บิดเบือน เราพูดตามข้อเท็จจริงว่า ตามประวัติศาสตร์ ศาสนาพุทธในอินเดียไม่ได้มีรูปแบบเดียว ในช่วงเวลาประมาณ 1,000 กว่าปีที่พุทธศาสนาเกิดขึ้นและล่มสลายในอินเดีย มันมีวิวัฒนาการของรูปแบบศาสนาพุทธอยู่

ยุคแรกเป็นยุคของศาสนาพุทธแบบพุทธกาล ก็คือพระพุทธเจ้าประกาศสัจธรรมขึ้นมา แล้วก็ตั้งคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ก็คือสังฆะของผู้ปฏิบัติร่วมกัน อาจจะเรียกว่าเป็นชุมชนทางเลือก (alternative community) เพราะว่าพระพุทธเจ้าเกาะสิ่งที่เรียกว่ากระแสของสมณะ หรือเรียกว่าพรตนิยม (asceticism) ก็ได้ ในสมัยนั้นคนที่ต้องการแสวงหาความจริงเขาก็จะออกจากบ้านเรือนไปอยู่ป่า มันเป็นกระแสในยุคนั้น เหมือนคนอยากจะแสวงหาความจริงต้องเป็นฮิปปี้ในยุคหนึ่งของตะวันตกใช่ไหม ยุคนั้นในอินเดียก็เหมือนกัน 

พอเวลามันผ่านล่วงเลยไป อินเดียก็เปลี่ยน กระแสสมณะลดความนิยมลง เพราะเกิดการเข้าถึงความจริงในรูปแบบต่าง ๆ ศาสนาหลัก ๆ เช่น ฮินดู พุทธ ซิกข์ มันเกิดการปะทะสังสรรค์กัน เกิดเป็นกระแสอีกแบบหนึ่งเลย ก็คือการเกิดขึ้นของสถาบัน ซึ่งเข้าใจได้ ถูกไหม เพราะว่ามันเกิดขึ้นมานานแล้ว มันก็เลยต้องเกิดการถกเถียง เกิดการศึกษาคำสอน ตำรา คัมภีร์ ผู้ปฏิบัติรุ่นใหม่ ๆ ก็ต้องการที่จะตีความ พัฒนาตัวหลักปรัชญาให้มันครอบคลุมประสบการณ์หรือผู้คนให้กว้างขึ้น เราต้องเข้าใจว่ากระแสสมณะของพุทธในสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นสากลนัก มันเป็นกระแสทางเลือก 

ถึงจุดนี้โจทย์มันคือ จะทำอย่างไรให้คำสอนเรื่องการหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าเข้าถึงกลุ่มคนให้กว้างที่สุด ผู้หญิงเอย ฆราวาสเอย เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีวิถีชีวิตที่หลากหลาย แล้วสามารถปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการหลุดพ้น

ฉะนั้นกระแสที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณ 400-500 ปี หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือวิถีแบบมหายาน เน้นแง่มุมที่พระพุทธเจ้าพูดถึงการหลุดพ้นเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวง และวิถีโพธิสัตว์ที่เราสามารถเข้าถึงการหลุดพ้นด้วยวิถีชีวิตแบบไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระ ฆราวาส ผู้หญิง ผู้ชาย ทางเลือกทุกอย่างมันเข้ามารวมกันในวิถีมหายาน มันเป็นคำสอนที่เริ่มพูดถึงแง่มุมที่มันเป็นสากล (universal) ความรัก ความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง

หีนยาน – มหายาน – วัชรยาน พุทธศาสนาไม่ได้มีแค่เฉดเดียว

เราจะเห็นว่า ในประวัติศาสตร์มันมีการพัฒนาการของศาสนาพุทธจากสมัยพุทธกาล (หีนยาน) มาสู่ความเป็นมหายาน หีนยาน คือมุมมองของการหลุดพ้นส่วนบุคคล ก็คืออริยมรรคสู่การหลุดพ้น ทำงานกับกิเลส กรรม มหายานพูดถึงเรื่องโพธิจิต การหลุดพ้นเพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง มันไปด้วยกัน มันแค่คนละอุดมการณ์ แต่ว่าเส้นทางไม่ได้ต่างกัน หลุดพ้นจากตัวตน หลุดพ้นจากกิเลสเหมือนกัน 

แต่มหายานมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าพาสรรพสัตว์ทั้งหมดสู่การหลุดพ้นด้วยกัน ในขณะเดียวกันหีนยานก็จำเป็น คล้ายๆ คนสมัยนี้ที่สนใจเรื่องการรัก (self love) และเยียวยาตัวเอง (self healing) ใช่ไหมครับ บางคนมันทุกข์มาก ต้องการเครื่องมือเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เขาไม่ผิด แต่ว่าพอถึงจุดหนึ่งเราฮีลตัวเองได้ดีแล้ว เราอาจจะรู้สึกว่าเราอยากจะเชื่อมโยงกับความทุกข์ของพ่อแม่เราด้วย มันก็ขยายมิติของการหลุดพ้นมากกว่าแค่ปัจเจกหรือตัวเรา อันแรกเรียกว่าการหลุดพ้นของตัวตนหรือบุคคล (self liberation) ซึ่งหีนยานเน้นตรงนี้ เพราะถือว่าต้องฝึกตัวเอง ส่วนมหายาน เนื่องจากว่ามีฐานของหีนยานในการทำงานกับตัวเองแล้ว มันก็ขยายไปสู่การหลุดพ้นที่พาเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ หลุดพ้นไปด้วยกัน

มหายานจากเดิมเคยเป็นกระแสรอง ค่อย ๆ เข้ามาประสานกับพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม จนกลายเป็นกระแสหลักจากความเป็นสถาบัน มันก็มีกระแสวัชรยานเกิดขึ้น วัชรยานเป็นกระแสรองที่เกิดขึ้นจากเหล่าโยคีที่อยู่ในป่า หยิบจับเครื่องมือที่มันมีอยู่ในกระแสรองทั้งหลายในอินเดีย เรื่องความเชื่ออื่น ๆ ธรรมชาติ การทำงานกับมิติด้านพลังงาน (energy work) การคุยกับต้นไม้ คุยกับผืนดิน พิธีกรรมอะไรพวกนี้ แล้วเอาเครื่องมือเหล่านี้เข้ามาประสานกับหลักปรัชญาแบบมหายาน กลายเป็นอุปายวิธีที่หลากหลายในการเข้าถึงการหลุดพ้น วัชรยานมันก็เลยเป็นอะไรที่หลากหลาย เข้าถึงผู้คน เข้าถึงเรื่องจิตวิญญาณธรรมชาติในแบบที่มหายานก็เข้าไม่ค่อยได้ และก็มองว่าวัชรยานไม่ใช่พุทธ 

จากนาลันทาถึงสถาบันสงฆ์ไทย ล่มสลายและหลุดลอยจากความจริง

ต้องอธิบายว่า ยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธไม่ใช่ยุคต้น เพราะยุคต้นมันเป็นจุดเริ่มต้นก็คือกระแสของสมณะ แต่ว่ายุครุ่งเรืองที่สุดคือยุคแบบสถาบันในอินเดีย ที่เรารู้จักกันมากที่สุดคือมหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยพุทธที่ใหญ่ที่สุด ถ้าใครรู้จักพระถังซัมจั๋ง หรือพระภิกษุเสวียนจั้ง ท่านเดินทางมาจากจีนนะ เพื่อมาเรียนที่นาลันทา แล้วก็มีปราชญ์อย่างนาคารชุน จันทรกีรติ ธรรมกีรติ ทิคนาคะ ศานติเทวะ พวกนี้เป็นนักวิชาการ เป็นนักปราชญ์ที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาจากการเรียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ลองจินตนาการว่า ในยุคแรกเป็นการเรียนแบบคำสอนปากเปล่า (oral tradition) แต่ยุคมหายานเป็นยุคการเขียน การอ่าน มีการเขียนคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ พัฒนาคำสอน มีหนังสือเยอะแยะ มีห้องสมุด มีห้องเรียนเยอะแยะมากมาย มันก็เลยเป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธในอินเดีย

มหายานมันมีการพัฒนาหลักคำสอนต่อเนื่อง เพราะว่ามีนักปรัชญาเก่งๆ ที่เอาคำสอนอย่าง ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ 5 มาผนวกกับพระสูตรมหายาน ที่เป็นแกนหลักก็คือปรัชญาปารมิตาสูตร หลายคนอาจจะรู้จัก พูดถึงสุญญตา ความว่าง ซึ่งก็คือความไม่มีตัวตนนี่แหละ แต่เป็นความไม่มีตัวตนของธรรมะทั้งปวง ไม่ใช่แค่การไม่มีตัวตนของตัวเราอย่างเดียว แต่รวมถึงทุกอย่างที่เราสัมพันธ์ด้วย สรรพสิ่งล้วนแต่ไม่มีตัวตนที่ตายตัว ปรัชญามหายานมันก็เลยมีเซนส์ของการสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง มีความเป็นสากลบางอย่าง แล้วนาคารชุน นักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อนักปรัชญาพุทธรุ่นหลัง ๆ ได้พัฒนาปรัชญาพุทธให้ละเอียดยิ่งขึ้นในการอธิบายประสบการณ์ของมนุษย์ในทุก ๆ แง่มุม เรียกว่าเป็นศาสนาพุทธที่ครอบคลุม (inclusive) การเป็นมนุษย์ทั้งหมด มันก็เลยเป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธในอินเดีย

หลายคนเข้าใจผิดว่านาลันทาล่มสลายเพราะวัชรยาน หรือว่าล่มสลายเพราะมหายาน ไม่ใช่เลย นาลันทาถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธ มันได้พัฒนาความเป็นสถาบันพุทธขึ้นมา เพราะว่าพระเยอะ มีการเรียน มีการสนับสนุนจากเจ้าผู้ปกครอง กษัตริย์และเจ้าครองเมืองในยุคนั้น ทำให้นาลันทารุ่งเรือง พระสงฆ์ในนาลันทาก็เริ่มแยกขาดจากประชาชนที่สนับสนุน เพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่มาก การเข้าถึงความทุกข์ของผู้คนก็ห่างออกไป เรียนหนังสือกันอย่างเดียว หรือไม่ก็สนใจแต่เรื่องการเมือง เรื่องความรุ่งเรืองของตัวเอง สนใจแต่ผู้ให้เงินทุนสนับสนุน หรือเจ้าและผู้ปกครอง 

ศาสนาพุทธที่เป็นสถาบันแบบนี้ พอมันถึงจุดสูงสุดแล้ว มันก็ล่มสลาย เพราะเจ้าที่ปกครองเมืองไม่ใช่พุทธอีกต่อไป มันมียุคที่เจ้าในอินเดียกลายเป็นมุสลิม กลายเป็นฮินดู กลายเป็นความเชื่ออื่น ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธแบบสถาบันที่อินเดียล่มสลายไปในยุคนั้น มันอาจจะมีประวัติศาสตร์ที่บอกว่ามีมุสลิมเข้าไปบุกนาลันทา เผาตำรา อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดตอนปลายแล้ว แต่จริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความเป็นสถาบันของพุทธที่แยกตัวออกห่างจากสังคม ทำให้พุทธศาสนาหลุดลอยออกจากความเป็นจริง

ผมมองว่า เวลาเราพูดถึงการล่มสลายของศาสนาพุทธในประวัติศาสตร์ เราต้องมีวิจารณญาณนิดนึง คล้าย ๆ มีการคิดเชิงวิพากษ์ (critical mind) เพื่อที่จะมองให้เห็นว่า

“พุทธที่ล่มสลายในประวัติศาตร์ คือพุทธแบบสถาบัน พุทธที่ไปยึดติดอยู่กับอำนาจทางการเมือง พุทธที่ไปยึดติดอยู่กับสถาบันกษัตริย์ สถาบันที่เป็นผู้ปกครอง แล้วสิ่งเหล่านี้มันเข้ามามีอิทธิพลครอบงำอิสรภาพทางจิตวิญญาณ การตีความคำสอน หรือว่าสายสัมพันธ์ที่พระควรจะมีใกล้ชิดกับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ผมคิดว่าพลวัตการเรียนรู้มันหายไปจากพุทธแบบสถาบัน ทำให้การล่มสลายมันง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างและการเมืองเกิดขึ้น มันก็ล่มสลายตามสถาบันหลักไปด้วย 

สีกา คณะสงฆ์ของรัฐไทยในโลกที่หมุนเร็ว

เนื่องจากสังคมมันก็เปลี่ยนแล้ว การเจริญเติบโตของเมือง โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะวัดป่าที่มันดูห่างไกลความเจริญแค่ไหน มือถือมันก็เข้าถึงได้หมด เพราะฉะนั้นเราว่ามันยากที่จะพูดว่ามันมีพระที่หลีกเร้นออกจากสังคมจริง ๆ เพราะว่าในทางกายภาพหลีกเร้นจริง แต่โซเชียลมีเดียยังอยู่นะ 

หากธรรมวินัยในหลักการของพุทธแบบเถรวาท มันควรจะตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว บริบทมันไม่ได้ ใช่ไหม ตอนนี้มันเป็นบริบทอีกแบบหนึ่งไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่า ปัญหามันคือการที่เราไปยึดเอาธรรมวินัยตามตัวอักษรที่ชาวพุทธเถรววาทเขาภูมิใจมากเลยว่ามันเป็นธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้ากำหนดขึ้นมาให้กับคณะสงฆ์ในขณะนั้น แน่นอนมันไม่มีข้อห้ามเรื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีข้อห้ามเรื่องมือถือ ไม่มีข้อห้ามเรื่องแชต

พอเราเอาตามตัวอักษร ไม่ได้เน้นเรื่องการตีความให้มันตรงตามจิตวิญญาณของธรรมวินัย ไม่มีการพูดคุยสนทนากันว่า ข้อปฏิบัติเหล่านี้ เมื่อมันปฏิบัติตามจิตวิญญาณของสมณะ ของผู้ที่ฝึกปฏิบัติภาวนา ของผู้ที่จะแสวงหาการหลุดพ้นจากกิเลส เราควรจะปฏิบัติธรรมวินัยเหล่านี้อย่างไร การรวมตัวกันของคณะสงฆ์ที่เราเรียกว่า คณะสงฆ์ของรัฐ มันก็เลยกลายเป็นการมองธรรมวินัยพวกนี้เป็นกฎหมาย เป็นกฎที่ตายตัว ไม่ได้ถกเถียงกันว่า เราจะเอาสิ่งเหล่านี้เมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว มาปฏิบัติกันในโลกปัจจุบันอย่างไร เราว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้ในเรื่องของพุทธไทย

“เวลาที่มีปัญหาเรื่องพระกับสีกาจนสะเทือนโครงสร้างสงฆ์และพระผู้ใหญ่ทั้งหลาย เราคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างคณะสงฆ์ของรัฐมีปัญหา มันหลุดลอยจากโลกของความเป็นจริงมากจนเกินไป หรือไม่มันก็มีแต่ภาพลักษณ์ การปฏิบัติจริงมันไม่ได้นำไปสู่การเข้าใจเพื่อนมนุษย์ หรือมีความใกล้ชิดกับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์”

พอโครงสร้างมันหลุดลอยจากความเป็นจริง พระที่อยู่ในโครงสร้างนี้ก็อันตราย หนึ่งคือเราไม่แน่ใจว่า เขาปฏิบัติอะไรกันอยู่ สองคือเขามีการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกบ้างหรือเปล่า สามคือเขารู้จักมนุษย์ไหม รู้จักโลกแห่งความเป็นจริงไหม สังเกตว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อ่อนต่อโลก’ ‘ไม่มีประสบการณ์ทางโลก’ ‘ไม่เข้าใจผู้หญิง’ ไม่รู้ที่จะอยู่กับความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างไร บางคนก็ไม่รู้ที่จะอยู่กับความรู้สึกกระตุ้นเร้าทางเพศอย่างไร ซึ่งมันก็บ่งบอกหลายอย่างว่าพระที่อยู่ในคณะสงฆ์แบบนี้ อาจจะไม่ได้ปฏิบัติภาวนาเลย อาจจะไม่ได้เรียนรู้คำสอนเลย แล้วเขาทำอะไร เขาอาจจะแค่รักษาภาพของการเป็นพระที่ดี อาจจะมีแค่ผ้าเหลืองให้คนมองเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ซึ่งเราว่าอาจจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่เรามีแค่เปลือกของความเป็นพระ แต่ว่าไม่มีพระที่ปฏิบัติจริง เราไม่ได้หมายความว่ามันเป็นการอธิบายพระทั้งหมดนะ เราเชื่อว่ามีพระที่ดีอยู่เยอะมาก ๆ

เปลี่ยน “คณะสงฆ์ของรัฐ” เป็น “พระที่เข้าใจมนุษย์”

พุทธที่ไม่ใช่สถาบันก็คือพุทธที่เป็นมนุษย์ บางทีเราไปยึดติดอยู่กับภาพพุทธสถาบันเยอะเกินไป เราเลยคิดว่ามันเป็นพุทธศาสนาที่ต้องได้รับการป้องกันไม่ให้มีภัยคุกคาม เราก็พยายามจะไปนิยามว่าอะไรเป็นภัยบ้าง ซึ่งเราว่าอันนี้ก็เป็นปัญหา มันเป็นวิธีคิด (mentality) เดียวกันกับอัตตา ใช่ไหม พอเรามีอัตตาปุ๊บ เราก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่มาท้าทายเรา เราก็จะรู้สึกว่าเราต้องป้องกันตัวเอง เราต้องปกป้องตัวเอง การยึดกับสถาบันศาสนามาก ๆ มันเป็นวิธีคิดที่เราว่ามันไม่ได้สอดคล้องกับจิตวิญญาณของการตื่นรู้ที่แท้จริง

มิติของมหายานเราว่ามันช่วย มันดึงพระกลับมาให้เป็นมนุษย์ มันดึงพระกลับมาให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา เราว่าการที่พระรู้สึกว่าความสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นเรื่องพิเศษเกินไป คุยกับผู้หญิงปุ๊บไม่ได้เลย แตะผู้หญิงไม่ได้ เข้าใกล้ไม่ได้ แม้แต่เด็กผู้หญิงก็อุ้มไม่ได้ เราว่าอันนี้ประหลาด แล้วมันจะทำให้พอมันตึงเครียดแบบนี้เห็นอะไรนิดนึงก็รู้สึกทันที เหมือนไม่เคยเห็นโลกของความเป็นจริงเลย 

“ในวิถีมหายาน เราต้องเคารพมนุษย์ ไม่ใช่เคารพที่พระ มหายานจะเน้นย้ำตรงนี้เลย เคารพเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ เพื่อนมนุษย์มีโพธิจิต ทุกชีวิตมีโพธิจิต มีศักยภาพของการตื่นรู้”

พระเป็นแค่บทบาท ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นพระปุ๊บจะตรัสรู้เลย ไม่ใช่ เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ เขาเป็นแค่สมมติสงฆ์ที่เราเกื้อกูลให้เขามีโอกาสในการปฏิบัติธรรม ยิ่งปัจจุบันนี้ด้วย เราว่าต้องเป็นกัลยาณมิตรให้กับพระ กัลยาณมิตรก็ต้องมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เราควรจะมีสังฆะที่พระ ฆราวาสผู้หญิง ผู้ชาย สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตักเตือนกันได้ ไม่ใช่ว่าศรัทธาหรือว่านับถือพระจนหลุดลอยจากความเป็นมนุษย์

มหายานจะเน้นความเป็นมนุษย์แบบนี้ แม้แต่ผู้หญิงกับพระก็ยังสามารถใกล้ชิดกันได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ อันนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้พระด้วย เอาพระออกมาให้สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ มารู้จักกับผู้หญิง เปิดเผย มาเลยมีวงผู้หญิงให้พระมาแลกเปลี่ยนพูดคุย มันไม่ผิดวินัย ให้พระมารู้จัก LGBTQIA+ ให้พระมารู้จักเฟมินิสต์ ให้พระมารู้จักกลุ่มผู้หญิง ให้พระมาพูดเรื่องความต้องการทางเพศได้ ทำให้บริบทของความเป็นมนุษย์กลับคืนมาสู่สมณเพศ ให้เขารู้สึกว่า มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดกับเพื่อนมนุษย์ 

เราว่าทั้งหมดนี้มันจะเป็นกระบวนการของการฝึกตน ความเป็นกัลยาณมิตรระหว่างพระกับฆราวาส ถ้ามันเปิดเผย ตรงไปตรงมา มันจะมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน (check and balance) พระจะดีได้ ไม่ใช่ดีได้ด้วยตัวพระอย่างเดียวนะ พระจะดีได้ ก็ดีได้ด้วยสังฆะ แล้วก็ตัวฆราวาสด้วยที่จะช่วยสร้างพระ  

พระจะดีได้ด้วยสังฆะ แยกศาสนาออกจากรัฐ คืนอำนาจให้พุทธบริษัท 4

ในปัจจุบันสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ โครงสร้างที่กดทับแบบนี้ โครงสร้างที่อำนาจนิยมแบบนี้ มันเป็นอันตรายต่อตัวพระเอง มันเป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ในโครงสร้างนี้ เหมือนเวลาที่เราคุยเรื่องวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ โครงสร้างทางการเมืองแบบชายเป็นใหญ่ มันอันตรายต่อผู้ชายด้วย เราก็เป็นเหยื่อในโครงสร้างนี้ ผู้หญิงก็เป็นเหยื่อในโครงสร้างนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องรื้อถอนโครงสร้างแบบชายเป็นใหญ่นี้ ไม่ได้ว่าว่าผู้ชายเป็นทาร์เก็ตนะ ไม่ใช่ เรากำลังทำงานกับความเชื่อหรืออำนาจแบบชายเป็นใหญ่ที่อยู่ในการเมือง อยู่ในศาสนา อยู่ในความเชื่อ อยู่ในที่ทำงาน อยู่ในโรงเรียน อยู่ในโรงพยาบาล อยู่ในทุก ๆ ที่ และเราว่า ศาสนาพุทธก็เป็นหนึ่งในนั้น 

ทุกอย่างมันกำลังพูดถึงการกระจายอำนาจกันหมดแล้วเนอะ การที่สื่อก็อิสระ มหาวิทยาลัยก็เป็นอิสระ เพราะว่าเราต้องการให้มันมีพื้นที่ของการสร้างสรรค์จากกลุ่มคนที่มีความรู้ เราไม่ต้องการให้รัฐมาเซนเซอร์ มาควบคุม มาให้หลักสูตร เราสามารถพัฒนาสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง

“ทำไมศาสนาต้องมีรัฐ ทำไมศาสนาดูโง่สุดเลย ทำไมศาสนาดูอ่อนแอสุดเลย ทำไมศาสนาพุทธที่ตื่นรู้ พระพุทธเจ้าที่ประกาศสัจธรรมของการตื่นรู้ ทำไมต้องไปอิงกับอำนาจรัฐที่ปัจจุบันนี้ไม่ฟังก์ชันเลย แถมอำนาจรัฐทุกวันนี้ยังมีปัญหาในตัวมันเองเพราะความไม่เป็นประชาธิปไตย ความไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง มันเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยเรื่อง Secular State (รัฐโลกวิสัย) คือไม่เอาศาสนาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง”

การสร้างพระเป็นหน้าที่บทบาทของฆราวาส ดูแลพระก็หน้าที่บทบาทของฆราวาส ซัพพอร์ตในจุดที่ถูกที่ควร ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ ก็ไปกราบ อะไร ๆ ก็ไปยกยอ อันนี้ไม่ถูก เราต้องเป็นพุทธบริษัท 4 ที่เท่ากัน เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ณ ตอนนี้ มันก็เหมือนเป็นอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่การแก้กฎหมาย ใช้พ.ร.บ. พระต้องจำคุก สีกาต้องจำคุก คนที่บิดเบือนศาสนาต้องจำคุก การแก้ปัญหาแบบนี้จะยิ่งทำให้เกิดอันตราย เพราะโครงสร้างยังเป็นโครงสร้างเดิม แล้วเราเพิ่มอำนาจรัฐเข้าไปอีก แทนที่เราจะมองว่าธรรมวินัยมันเป็นเรื่องของการปฏิบัติกันเอง

“ในทางโครงสร้างจึงมีทางออกเดียวคือ การแยกศาสนาออกจากรัฐ เอาศาสนาออกมาเลย ปรับวัดให้มันกลายเป็นมูลนิธิ เป็นองค์กรที่ตรวจสอบได้ รูปแบบเดียวกันหมด ทำให้ตรวจสอบได้ทั้งหมด ไม่มีทรัพย์สินส่วนบุคคล วัดต้องเป็นทรัพย์สินของส่วนรวม”

เราต้องเข้าใจคอนเซ็ปต์เรื่องการแยกศาสนาออกจากรัฐ การที่เราแยกศาสนาออกจากรัฐไม่ได้การทำให้ศาสนาเสื่อม แต่เราว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้ศาสนาเป็นอิสระ แล้วก็เติบโตงอกงามอย่างเป็นธรรมชาติ เราต้องดูแลศาสนากันเองโดยที่ไม่ได้เอาอำนาจรัฐเข้ามาควบคุม ชาวพุทธต้องตื่นที่จะดูแลพระ ดูแลคำสอน ดูแลสังฆะกัลยาณมิตรด้วยกันเอง ผมจะชอบเรียกว่าสังฆะกัลยาณมิตร เราต้องสร้างสังฆะกัลยาณมิตร ไม่ใช่คณะสงฆ์ คำว่าสังฆะ แปลว่า ชุมชน (community) เราต้องไม่เป็นชุมชนแบบรัฐ มันต้องเป็นสังฆะของเพื่อนผู้ปฏิบัติย่อย ๆ กลุ่มย่อย ๆ วัดแต่ละวัดควรจะเป็นสังฆะกัลยาณมิตรในวัดเอง แต่ละวัดที่คุยกันได้ก็ต้องเป็นสังฆะกัลยาณมิตรที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย มีการแลกเปลี่ยนเรื่องการปฏิบัติ เรื่องการเรียนคำสอน การเชื่อมโยงคำสอนกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตักเตือนกันได้ มีการประชุมวิชาการเรื่องธรรมวินัย การเสวนาเรื่องธรรมวินัย มันคือเครือข่ายของกัลยาณมิตร แทนที่เราจะไปอิงกับอำนาจรัฐ เราว่านี่คือ ทางออก

เขียน: วิรดา แซ่ลิ่ม

ภาพ: จันจิรา ทาใบยา