ยุคสมาร์ตโฟนที่ไม่เฮลตี้ทางใจ - Decode

ยุคสมาร์ตโฟนที่ไม่เฮลตี้ทางใจ

Play Read
Reading Time: 2 minutes

คุณคิดว่า อะไรที่ทำให้เราหลงลืมเวลา สถานที่ คนรอบข้าง… 

สิ่งนั้นอาจจะมีหลายคำตอบ 

แน่นอนว่าเมื่อเราจดจ่อกับอะไรบางอย่างก็อาจทำให้เราลืมสิ่งรอบข้างได้  

แต่ถ้าการจดจ่อบางสิ่งบางอย่างนั้น ทำให้เกิดผลเสียในระยะต่อ ๆ มาล่ะ

ใช่… เรากำลังหมายถึง การติดเล่นโทรศัพท์มือถือ

อาจจะเพราะว่าช่วงเวลาว่าง ๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเปิดดูนั่น ดูนี่ รู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

ยิ่งพอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ The Anxious Generation คนรุ่นใหม่ วัยวิตก ก็ทำให้คิดว่า ถ้าเราเกิดในยุคนี้ ยุคที่มีมือถือ มีอินเทอร์เน็ต มีโซเชียลมีเดียตอนที่เราเรียนจะเป็นอย่างไร

ไม่ต้องสืบ… เสียสมาธิแน่นอน

เลยเข้าใจว่าทำไมคุณ Jonathan Haidt ถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ เอาจริง ๆ ผู้เขียนได้บอกกับผู้อ่านว่าความตั้งใจเดิมของเขาไม่ได้ตั้งใจจะเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา ตอนแรกเขาจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับว่าโซเชียลมีเดียทำลายประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างไร โดยเริ่มต้นจากการเขียนถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อคนเจนซี แต่เมื่อผู้เขียนเริ่มเขียนไปเรื่อย ๆ เขาพบว่าปัญหาสุขภาพจิตของเยาวชนเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด เพราะฉะนั้นเขาก็เลยตัดสินใจค้นคว้าข้อมูลจนเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ออกมา

หนังสือเล่มนี้นอกจากจะเขียนให้ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอ่านเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและหาทางป้องกันแล้ว เราว่าคนทั่วไปก็อ่านได้นะ เพราะคำว่า Anxious Generation ซึ่งเป็นชื่อหนังสือ ไม่ได้จำกัดแค่อายุของ Gen Z แต่เป็นใครก็ได้ในยุคนี้ที่ป่วยทางใจไปกับการวิตกกังวล  การกลับมามองพิจารณาตัวเองว่า เรามีพฤติกรรมแบบในหนังสือบอกมาหรือเปล่า หรือทำไมเราถึงได้มีพฤติกรรมแบบนั้น แต่จริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกว่าทำไมเราถึงติดมือถือกัน เพราะประธานคนแรกของ Facebook (ณอน พาร์กเกอร์) ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้

“เราจะสูบเวลาและความสนใจของคุณให้มากที่สุดได้อย่างไร”

นั่นก็เลยไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นแอปพลิเคชันที่ทยอยออกมาจะดึงดูด จูงใจจนเรายอมสละเวลาเสพติดมัน

ในหนังสือผู้เขียนในบริบทของชาติฝั่งตะวันตก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเทคโนโลยีฝั่งตะวันตกเขาจะมาเร็วกว่าบ้านเรา เพราะฉะนั้นเราอาจจะไปเทียบปีไม่ได้ แต่ในแง่ของเรื่องพฤติกรรมเราว่าสามารถเทียบเคียงกันได้อยู่

ย้อนไปสมัยเด็ก ๆ  เอาคน Gen Y ลงไปย้อนไปตอนเด็ก ๆ คุณเล่นอะไรกัน 

แน่นอนว่าในสมัยที่ยังเด็ก ๆ ตอนนั้นสมาร์ตโฟนยังไม่มีเข้ามาในไทย เราจะมีเล่นหมากเก็บ ตุ๊กตากระดาษ ขายของ กระโดดยาง บอลลูนโป้ง (มาบอกเด็ก ๆ สมัยนี้ จะรู้จักกันไหมหนอ) ซึ่งก็ค่อนข้างที่เป็นการเล่นที่ต้องมีเพื่อนมาเล่นด้วยอย่างน้อย 1 คน มีคำกล่าวที่ว่า การเล่นคืองานวัยเด็ก เพราะการเล่นจะทำให้ได้เรียนรู้ทักษะ แต่การเล่นที่ว่านี้เป็นการเล่นในเชิงกายภาพ การเล่นที่ต้องออกแรง การเล่นที่ดี คือการออกไปเล่นนอกบ้าน เล่นกับเด็กที่มีช่วงอายุหลากหลาย ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงทางกายในระดับหนึ่ง แต่การเล่นในลักษณะนี้ก็จะเสริมสร้างประสบการณ์ เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดในการเล่นแบบไม่มีผู้ใหญ่คุมและมีแต่เด็กด้วยกันเองเท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสอนเด็กเกี่ยวกับวิธีรับมือความเสี่ยงและอุปสรรคหลากหลายรูปแบบ จนทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในการเผชิญสถานการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งก็เป็นเหมือนการป้องกันภาวะวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี  ความเสี่ยงที่เกิดจากการเล่น จะทำให้เด็กเกิดการค้นพบอะไรบางอย่างจากการเล่นนั้น ไม่ใช่การเล่นในทางออนไลน์หรือโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว

พอบอกว่าการเล่นแบบนี้มีความเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บทางกายภาพ ผู้ใหญ่ก็จะกังวลและมักจะใช้ความกลัวของตัวเองในการห้ามนู่นห้ามนี่ ไม่ให้เด็กเล่นอะไรที่เสี่ยง ที่หวาดเสียว โดยคิดว่าไปโลกภายนอกมีความเสี่ยงเยอะ และบางครั้งก็จบด้วยการยื่นมือถือให้เด็กเพื่อให้เด็กอยู่นิ่ง ๆ แต่ความจริงแล้วภัยจากทางโลกอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็นน่ากลัวกว่า ซึ่งนี่ก็เห็นจากหลานของเราเอง ด้วยความที่หลานเป็นผู้ชาย อยู่ในวัยกำลังซน เวลาที่อยู่กับตา ซึ่งเป็นคนรุ่น Baby Boomer มักจะโดนตาห้ามไม่ให้เล่นอะไรแรง ๆ ซึ่งสำหรับแรงของเด็กผู้ชายวัยกำลังซน ก็แรงจริง แต่การที่จะตัดสินใจยื่นมือถือเพื่อให้หยุดเล่นมันก็ไม่ใช่เรื่อง จนบางครั้งคนอื่น ๆ ในบ้านก็ต้องปรามคนยื่นมือถือให้หลานว่าทำแบบนี้ไม่ได้

การมีสมาร์ตโฟนอยู่ในมือในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายกว่าสมัยก่อน ทำให้ช่องว่างระยะทางระหว่างเรากับคนอื่นใกล้เข้ามา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างตัวเองเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะเรามองเห็นแต่เรื่องราวของคนอื่นเต็มไปหมด แต่ลืมหันกลับมาดูตัวเอง แอปฯ ต่าง ๆ นั้นทำขึ้นมาเพื่อดึงเวลาว่าง ดึงความสนใจจากเราไปเสียหมด 

เมื่อเราห่างไกลออกจากตัวเราเรื่อย ๆ เพราะมัวแต่มองคนอื่น ก็อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้ ทั้งวิตกกังวล และซึมเศร้าเพราะเราออกไปภายนอก (ในโลกที่อยู่ในมือถือ) มากเกินไป แม้จะพบเจอใครมากมาย แต่เคยรู้สึกไหมว่าทำไมเราถึงรู้สึกโดดเดี่ยว

สังเกตไหมว่า ทำไมเดี๋ยวนี้อายุของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล น้อยลง ๆ ทุกวัน เราลองไปหาสถิติแผนกจิตเวชตามโรงพยาบาลต่าง ๆ หรือตามศูนย์แนะแนวจากโรงเรียนมัธยม หรือมหาวิทยาลัยดูก็ได้ว่าในปัจจุบันมีการเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จริงอยู่ว่าเด็ก ๆ สมัยนี้เกิดมาพร้อมกับสถานการณ์โลกที่ดูเหมือนจะเลวร้ายไปเสียหมดทุกอย่าง ทั้งสภาพอากาศ สภาพเศรษฐกิจ และอื่น ๆ แต่อาศัยแค่สถานการณ์โลกอย่างเดียวแล้วยิ่งเกิดคนละมุมโลกจะทำให้คนในไทยเกิดภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นขนาดนั้นเลยหรอ สื่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นตัวกลางนำข้อมูลเหล่านี้มาให้เราเสพ เราเสพข่าวสารสถานการณ์เหล่านี้จากอินเทอร์เน็ตกันทั้งนั้น พอเราเห็นข่าวเราก็จะเกิดความกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับสถานการณ์นั้นหรือเปล่า 

มันยากมากที่ในปัจจุบันจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ เล่นสมาร์ตโฟน เพราะหันไปทางไหนก็เจอคนเล่นสมาร์ตโฟน ขนาดผู้ใหญ่ยังอดใจยากเลย ในบางครั้งที่เด็ก ๆ ต้องการคำปรึกษา แต่เมื่อหันกลับมามองผู้ใหญ่ใกล้ตัวแล้วก็พบว่าผู้ใหญ่ก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้มองหน้าเขาเวลาที่เขาต้องการจะพูดคุยด้วย นั่นก็เท่ากับผู้ใหญ่ปิดโอกาสที่จะได้รับรู้เรื่องจากเด็ก ๆ แล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็เลยหันไปพึ่งสมาร์ตโฟนบ้าง

เครื่องปิดกั้นประสบการณ์ ค่าเสียโอกาสที่ไม่วันหวนคืน

หลายคนอาจจะอ่านคำนี้แล้วสงสัยว่าปิดกั้นอย่างไร เพราะในเมื่อมีอินเทอร์เน็ตใคร ๆ ก็สามารถเปิดโลกกว้างได้เพียงแค่ปลายนิ้วมือ นึกอยากจะไปไหนแค่กดเปิดดูยูทูบก็สามารถพาเราไปเที่ยวได้ทุกที่ แต่เราว่าไม่เหมือนกันกับเวลาที่เราได้ไปเที่ยวจริง ๆ นะ พ่อเราชอบบอกว่าอย่าไปเลย เคยดูในยูทูบแล้ว แล้วยังไง มันจะไปเหมือนกับเวลาที่เราได้ไปสถานที่นั้นจริง ๆ ได้ไปเห็นด้วยกับตาตัวเองจริง ๆ ได้ยังไง

มันดูเหมือนว่าจะอิสระก็จริง แต่อิสระที่ดูเหมือนว่าจะอิสระนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะมันไปลดประสบการณ์อื่น ๆ สำหรับเด็ก ๆ แทนที่เด็กควรจำเป็นจะต้องมี คือการปรับตัว การเรียนรู้ทางสังคม หากผู้ใหญ่ยื่นมือถือให้เด็กไว นั่นยิ่งปิดกั้นประสบการณ์เด็กให้เร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่คุณยื่นมือถือให้เด็ก อาจจะอยากให้เด็กเรียนรู้โลกออนไลน์ อยากให้เด็กอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ แต่นั่นแหละอย่าลืมเตรียมรับกับผลที่จะตามมาทีหลังด้วย คือเข้าใจว่าบางทีผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลลูกหลาน จึงยอมปล่อยให้เด็กอยู่กับมือถือ แต่ก็นะ… คุณคิดว่าโลกในอินเทอร์เน็ตปลอดภัยหรอ

โลกในอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มีแต่ความรู้ หรืออะไรที่สวยงามเท่านั้น ด้วยความที่มันเข้าถึงง่ายเนี่ยแหละ คนเลยใช้ช่องว่างตรงนี้ในการเผยแพร่อะไรที่มันไม่ได้จำกัดอายุ อย่างเช่น วิดีโอโป๊ หรืออะไรที่มันรุนแรง อย่างการกำเนิดโซเชียลมีเดียขึ้นมาก็ทำให้แต่ละคนที่มีบัญชีผู้ใช้ เปิดเผยตัวเองมากขึ้น เราเห็นคนอื่นมากขึ้น แล้วบ่อยครั้งเราก็เผลอคิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นเช่นนั้นจริง จนเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง แล้วเกิดสภาวะว่าทำไมเราไม่เหมือนเขา ทั้ง ๆ บางครั้งสิ่งที่เราเห็นอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป การที่เด็กเข้ามาอยู่ในโซเชียลมีเดียเร็วเกินไป อาจยังไม่ทันได้มีภูมิคุ้มกันยั้งคิด เท่าทันกับสิ่งที่ได้เห็น ด้วยเหตุเหล่านี้จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสุขภาพจิตของเด็กถึงได้แย่ลง

ค่าเสียโอกาสจากการที่วัยเด็กจะเสียไปจากการใช้เวลากับโทรศัพท์เป็นหลัก จริง ๆ ก็รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย ที่แน่ ๆ เลย คือ เสียเวลา เวลาในที่นี้คือเวลาที่จะไปทำอย่างอื่น ถ้าเป็นวัยเด็กก็เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้จากการเล่นกับเพื่อนจริง ๆ การอยู่กับครอบครัว (การเข้าสังคม) การที่จะไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาตัวตน เสียเวลานอนซึ่งการนอนน้อยก็จะส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ ถ้านอนน้อยก็จะส่งผลต่อปัญหาการเป็นซึมเศร้าและอารมณ์ต่าง ๆ ด้วย การเรียนรู้ก็จะทำได้ไม่ดี (ซึ่งจริง ๆ อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลยกับผู้ใหญ่ ก็ส่งผลเหมือนกัน) การเสียสมาธิจดจ่อกับเรื่องที่ควรจดจ่อได้น้อยลง เฝ้ารอว่าใครจะเข้ามากดไลก์โพสต์อะไรของเราบ้างไหม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เสียเวลาที่จะทำอย่างอื่นที่มีประโยชนกับตัวเองมากกว่านี้ เช่น เวลานอน  เวลาพักผ่อน เวลาสังสรรค์กับครอบครัว กับเพื่อน เวลาที่เอาไปพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ 

แม้ว่าเราจะบังคับให้ใครเลิกเล่นสมาร์ตโฟนไม่ได้ เพราะแม้แต่เราก็ยังไม่สามารถเลิกใช้โดยเด็ดขาดไม่ได้ ด้วยความที่ก็ต้องใช้ในการทำงานด้วย แต่ในวัยผู้ใหญ่สามารถจัดสรรเวลาในการใช้งานได้ ส่วนวัยเด็กนั้น อาจต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการยืดระยะเวลาการเริ่มใช้สมาร์ตโฟนออกไป เพื่อให้เด็กได้เล่นสมกับวัยที่เป็นเด็ก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง มากกว่าที่จะจดจ่ออยู่กับสมาร์ตโฟน