‘อาหารปลอดภัย’ แค่สโลแกน(?) ถ้า Traceability ไม่มีอยู่จริง
Reading Time: 4 minutes“อาหารไม่ปลอดภัย ไม่ใช่อาหาร” จะไม่เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็นความจริงได้ในสังคมไทย ถ้ามีกลไก traceability
“แม่ถามหนูว่าอยากกลับกัมพูชาไหม แต่หนูก็บอกว่าอยู่นี่สบายดี ไม่เป็นไร เขาบอกว่าอยู่ได้ก็อยู่ แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับกัมพูชาก็ได้ เพราะแม่ พ่อ กับน้อง ๆ จะไม่กลับไปเมืองไทยอีกแล้ว” สาวน้อยชาวกัมพูชาวัย 18 ปีพูดขึ้น
“ที่หนูไม่อยากกลับไป ก็เพราะกลัวว่ากลับไปกัมพูชาจะไม่มีงานเหมือนกัน หนูมองว่าพอคนกัมพูชากลับไปหมด ที่ไทยก็ไม่มีคนงาน หนูคงมีงานเยอะ เลยเลือกอยู่ไทย”
“ทำงานที่ไทยก็สบายดีค่ะ ไม่หนักมาก มีเวลาพักผ่อน ตอนนี้หนูก็ค่อนข้างรู้งานแล้ว เรื่องฉีดยาหรืออะไรต่าง ๆ” เธอขยายความ
“หนูก็อยากอยู่เมืองไทยเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าหนูก็มาทำงาน คงต้องกลับไปกัมพูชาสักวันนึง”
ย้อนกลับไปเมื่อราว 5 เดือนก่อน (28 พฤษภาคม 2568) ได้เกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ต่อมาทางการไทยรายงานว่าทหารกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธ เช่นเดียวกับฝ่ายกัมพูชาที่ออกแถลงการณ์ว่าไทยเปิดฉากยิงก่อน และทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปสู่ความตึงเครียดและขัดแย้งในระดับนโยบาย
แม้ตลอดเดือนมิถุนายน ไทยกับกัมพูชาจะแสดงท่าทีว่าต้องการการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แต่ก็ไม่อาจหาฉันทมติร่วมกันได้ทั้งในระดับรัฐและประชาชน ในขณะที่ความเกลียดชังระหว่างชาติกลับโหมหนักขึ้น หนึ่งในยุทธวิธีเพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนและอธิปไตยของทั้งตน คือการควบคุมจุดผ่านแดนแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 7 จุด
แม้ทางการไทยจะระบุว่า แรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานที่ไทยจะยังสามารถทำงานอยู่ในไทยต่อได้ แต่ด้วยข่าวสารบางอย่างที่เผยแพร่โดยรัฐบาลกัมพูชา รวมถึงกระแสความเกลียดชังที่ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นความรุนแรง จึงทำให้แรงงานกัมพูชาหลายคนเลือกที่จะทิ้งอาชีพการงาน ใบอนุญาตทำงาน หรือครอบครัว เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อรักษาความปลอดภัยของตน
ทางเลือกดังกล่าวได้คลายความคับแค้นในใจของใครหลายคน แต่อย่างไรก็ดี ทางเลือกนั้นก็ได้สร้าง ‘ภาวะขาดแคลนแรงงาน’ ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เมืองผลไม้สำคัญของประเทศ ที่มีแรงงานกัมพูชาเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด
“ตอนหนูรู้เรื่องก็ตกใจเหมือนกัน (เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา) … หนูก็กลัวด้วย กลัวตำรวจมาจับ กลัวคนจะเข้ามาทำร้าย”
เสียงสะท้อนของ มาว (นามสมมติ) แรงงานชาวกัมพูชาวัย 18 ปี ที่เดินทางเข้ามาขายแรงงานพร้อมกับครอบครัวในสวนผลไม้แห่งหนึ่งของจันทบุรี โดยหวังว่าจะนำเงินที่ได้จากทำงานที่ประเทศไทยกลับไปชำระหนี้สินกับธนาคาร และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สุขสบายกว่าที่เคยเป็น
มาวมาจากจังหวัดกำปงจาม อยู่ทางภาคตะวันออกของกัมพูชา ติดกับแม่น้ำโขงและเมืองหลวงอย่างพนมเปญ กำปงจามเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของกัมพูชา โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีพริก ยางพารา และยาสูบเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก อีกหนึ่งบทบาทของกำปงจามคือการเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างภาคตะวันออก พนมเปญ และเวียดนาม ทำให้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองกำปงจามเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ครอบครัวของมาวทำอาชีพขายอิฐอยู่ในเมืองกำปงจาม เธอเล่าว่าเธอเรียนในระบบถึงประมาณมัธยมฯ หนึ่ง แต่เธอเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ จึงออกจากระบบการศึกษามาช่วยครอบครัวทำมาหากิน เธอเล่าต่อว่าปกติแล้วลูกค้าจะนำรถมารับอิฐที่บ้าน และเธอกับครอบครัวก็จะขนอิฐขึ้นรถให้ลูกค้า โดยราคาอิฐจะคิดเป็นต่อหนึ่งคันรถ ซึ่งมีรายได้อยู่ราว ๆ 100,000 – 200,000 เรียล หรือประมาณ 800 – 1,600 บาทต่อวัน
“หนูรู้จากคนที่รู้จักข้างหมู่บ้านว่าเขามาทำงานที่ไทย เขาบอกว่าทำงานที่ไทยได้เงินดี มาเก็บลำไย มังคุดอะไรต่าง ๆ ก็เลยตามเขามา มาทั้งครอบครัวเลย”
มาวเล่าว่าเธอไม่ชอบอาชีพขายอิฐนักเพราะมันทั้งหนักและร้อน เธออยากทำงานเป็นสาวโรงงาน แต่ขณะนั้นเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ กอปรกับสถานะทางการเงินของครอบครัวก็เริ่มไม่สู้ดีนักเพราะเป็นหนี้ธนาคาร มาวและครอบครัว (พ่อ แม่ และพี่สาว 2 คน) จึงตัดสินใจเดินทางข้ามพรมแดนเข้ามาขายแรงงานที่ประเทศไทย
จันทบุรีคือหมุดหมายแรกของครอบครัวมาว โดยพวกเขาทำงานเก็บลำไยอยู่ที่สวนแห่งหนึ่งในจันทบุรี มาวเล่าว่าช่วงแรกที่มาถึงประเทศไทยก็กลัวเหมือนกัน เพราะเธอพูดภาษาไทยไม่ได้ นิสัยใจคอของคนไทยก็ยิ่งไม่รู้ จึงกังวลว่าจะเกิดปัญหาในการอยู่ในประเทศไทย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
จากสาวยกอิฐ มาวกลายมาเป็นคนเรียงลำไยใส่ตะกร้ามือหนึ่งของครอบครัว เธออธิบายว่าปกติการเก็บลำไยจะทำงานเป็นทีมและแบ่งหน้าที่กันชัดเจน พ่อกับพี่สาวคนโตจะเป็นคนปีนไปเก็บลำไยบนต้น ส่วนแม่ มาว และน้องสาวจะเป็นคนเรียงลำไยใส่ตะกร้า โดยจะแบ่งรูปแบบการเรียงลำไยเป็น 3 แบบหลัก คือ กำปุก (การมัดลำไยให้เป็นช่อด้วยหนังยาง ซึ่งในช่อจะคัดเฉพาะลูกที่สวยและใหญ่) กำฟาด (การนำช่อลำไยลงตะกร้าโดยไม่มัดช่อ ไม่คัดลูก) และลูกร่วง (ลำไยลูกเล็กหรือไม่สวยที่ถูกรูดออกจากกิ่ง) ซึ่งราคาจะลดหลั่นลงมาตามลำดับ
‘การเก็บลำไย’ ถือเป็นทักษะหนึ่งที่อาศัยประสบการณ์และความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นอย่างมาก เริ่มที่ขั้นตอนแรกคือการเก็บผลลำไยจากต้น ขั้นตอนนี้ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายมหาศาล เพราะผู้เก็บต้องแบกตระกร้าขนาดใหญ่ปีนขึ้นไปบนต้น บ้างก็แขวนไว้กับกิ่งก้านของต้น หลังจากนั้นก็ปีน เอื้อม และดึงช่อลำไยออกมาจากต้น ขั้นตอนนี้จึงเป็นหน้าที่ของชายหนุ่มหรือหญิงสาวที่ยังมีกำลังวังชา เพราะยิ่งแข็งแรงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเก็บลำไยได้มากเท่านั้น เจ้าของสวนลำไยหรือสวนผลไม้ส่วนใหญ่จึงเลือกใช้แรงงานกัมพูชา เพราะพวกเขามีทั้งประสบการณ์และความแข็งแรงที่มากกว่าแรงงานชาติอื่น ๆ
“แต่พอมีปัญหากันแบบนี้ รัฐบาลกัมพูชาก็บอกว่าให้คนกัมพูชาในไทยกลับประเทศ ให้กลับไปหางานทำที่กัมพูชา” มาวบอก
หากเราเดินทางไปยัง อ.โป่งน้ำร้อน และ อ.สอยดาว จังหวัดจันทบุรี เราจะพบว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เพราะที่นั่นกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว ‘ลำไย’ ซึ่งเป็นผลไม้หลักของทั้งสองอำเภอและเป็นผลไม้ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตเกษตรกรในพื้นที่ ทว่าขณะนี้กำลังขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยว ท่ามกลางลูกลำไยที่ค่อย ๆ เน่าและร่วงหล่นไปอย่างน่าเสียดาย
“ตอนนี้เก็บทั้งน้ำตาค่ะ” คำกล่าวของเจ้าของสวนลำไยหญิงวัยกลางคน ที่ขณะนี้เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นแรงงานไทยผู้เก็บลำไยอีกคนหนึ่ง
ก่อนหน้าจะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนแรงงานเก็บลำไย เกษตรกรลำไยต้องเผชิญกับภาวะราคาลำไยตกต่ำ Lanner รายงานว่า ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ราคาลำไยเคยลดลงสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2557 เหลือเพียง 15.5 บาทต่อกิโลกรัม ทว่าในเดือนกรกฎาคม 2568 ราคาลำไยลดลงเหลือเพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี ในขณะที่ผลผลิตรวมกลับเพิ่มขึ้นกว่า 19% และ 17.2% ต่อไร่ ในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นแหล่งผลิตหลัก (เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย และพะเยา)
อมรกานต์ ลุนละวงศ์ เจ้าของสวนลำไยในจันทบุรีเล่าว่าปีนี้ลำไยที่จันทบุรีก็ให้ผลผลิตดีเช่นเดียวกัน ทว่ากลับต้องเผชิญกับผลกระทบจากการที่แรงงานกัมพูชาเดินทางออกนอกประเทศ เจ้าของสวนลำไยหลายรายไม่สามารถหาแรงงานอื่นเข้ามาทดแทนได้ทันในช่วงเก็บเกี่ยว
ปกติแล้วในสวนลำไยของเธอจะใช้แรงงานกัมพูชาเป็นหลัก เพราะแข็งแรงเหมาะกับการเก็บเกี่ยวลำไย เธอเปรียบเทียบว่าแรงงานกัมพูชาหนึ่งทีมสามารถเก็บลำไยได้วันละ 20 ตะกร้า แต่หากใช้แรงงานไทยอาจเก็บได้เพียงวันละ 2-3 ตะกร้าเท่านั้น รวมถึงแรงงานกัมพูชาบางคนเข้ามาก็สามารถทำงานได้เลยไม่จำเป็นต้องฝึกฝน และส่วนใหญ่ก็มาทำงานต่อเนื่องหลายปี นายจ้างก็ไม่ต้องหาแรงงานทดแทนบ่อย ๆ
ด้วยปัญหาแรงงานขาดแคลนที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนหลายภาคส่วนส่งเสียงถึงรัฐบาลให้หาแรงงานอื่นเข้ามาทดแทน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ตอบรับด้วยการให้ความร่วมมือจัดหา ‘แรงงานศรีลังกา’ เข้ามาทดแทน โดยชี้ว่า เป็นประเทศที่มีความพร้อมในการส่งแรงงานมาทันที 10,000 คน ท่ามกลางความสงสัยและข้อห่วงกังวลของภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าจะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากเพียงใด เพราะเกษตรกรในพื้นที่อาจต้องเผชิญกับความต่างทางวัฒนธรรม ระยะเวลาที่ไม่สอดรับกับฤดูเก็บเกี่ยว หรือค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างที่สูงกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ดีเรายังไม่เห็นความคืบหน้าของแนวทางดังกล่าว
“แรงงานต่างประเทศที่ไกลกันเกินไป วัฒนธรรมมันต่างกัน เขาก็ต้องมาปรับตัวหลาย ๆ อย่าง ผมว่าเขาแค่พยายามแก้ปัญหา แต่ในความรู้สึกของผมนะ ผมว่าไปไม่รอด เอาเข้ามาก็ไม่ได้เยอะ มันจะไปพออะไร เชื่อผมเถอะ แก้ตรงนี้มันแก้ไม่ถูกจุด” เกษตรกรสวนทุเรียนแห่งหนึ่งอธิบาย
อีกหนึ่งแนวทางที่เกิดขึ้นแล้วในจันทบุรีคือการใช้แรงงานไทยทดแทน ซึ่งมีผลตอบรับที่ค่อนข้างดีทีเดียว อนงค์ หวดพิทักษ์ หัวหน้างานจากล้งลำไยทศพร&ทศกร อธิบายว่าการคิดจำนวนแรงงานต่อสวนขึ้นอยู่จำนวนผลผลิต อย่างสวนที่อนงค์กำลังเก็บผลผลิตอยู่นี้ มีผลผลิตอยู่ราว 30-40 ตัน ก็จะใช้แรงงานอยู่ราว 100-150 คน แต่ถ้าช่วงไหนลำไยมีผลผลิตเยอะก็อาจใช้แรงงานมากถึง 350 คนเลยทีเดียว
คนงานส่วนใหญ่ของอนงค์เป็นแรงงานลาวและมีแรงงานกัมพูชาเป็นตัวเสริม ทว่าเมื่อแรงงานไม่พอ จึงจำเป็นต้องหาแรงงานไทยเข้ามาเสริม เธอเล่าว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่มาจากภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ชัยภูมิ หนองคาย ฯลฯ Decode ได้เข้าสอบถามแรงงานไทยอีกหลายคนในสวนดังกล่าวพบว่า พวกเขามาจากแทบทั่วทุกสารทิศ ทั้งเหนือใต้ออกตก กระทั่งคนขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ สะท้อนปรากฏการณ์สำคัญว่า ‘แรงงานไทยอาจมีปริมาณมากพอ’ จะทดแทนแรงงานที่หายไปไม่ได้ แม้ทักษะในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะยังไม่สูง แต่ผู้ประกอบการหลายคนก็เห็นตรงกันว่าควรยกระดับแรงงานไทยเหล่านี้
อนงค์เล่าว่า แต่ก่อนอาจจะยังไม่มีแรงงานไทยเข้ามาทำงานในสวนลำไยมากนัก เพราะถ้าหากไม่ใช่จากเมืองลำไยในภาคเหนือ ก็อาจจะไม่เข้าใจวิธีการทำและเก็บผลผลิตลำไย แต่ระยะหลังมานี้มีแรงงานไทยที่เคยทำงานในสวนลำไยเล่าปากต่อปากไปว่าทำงานในสวนลำไยมีรายได้ดี ซึ่งทำให้เมื่อแรงงานไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ว่างจากงานหลักของตนเอง ก็จะเข้ามาทำงานสวนลำไยที่จันทบุรี
อย่าง นิว ชาวสวนทุเรียนจากพิจิตร ที่เว้นว่างจากการทำสวนทุเรียนของตนเอง จึงติดตามหัวรถไปทำงานเก็บลำไย ทีแรกไปเก็บลำไยที่เชียงรายก่อนพาทีมงานมาเก็บลำไยที่จันทบุรี เขาบอกว่าที่จันทบุรีมีลำไยที่สวยกว่าเชียงราย มีลูกที่ใหญ่กว่า เรียงตัวบนช่อสวยกว่า ทำให้ตอนจับมัดรวมได้ง่ายและเหนื่อยน้อยกว่า แต่ว่าก็พบข้อจำกัดเรื่องรายได้ เขาเล่าว่าทีมเขามีคนอยู่ 10 กว่าคน เมื่อหารรายได้กันจะตกอยู่แค่คนละประมาณ 100 กว่าบาท ทำให้ตอนนี้ทีมงานหลายคนเลือกที่จะกลับภูมิลำเนามากกว่าเสียแรงไปกับค่าจ้างน้อยนิด เหลือเพียงนิวและเพื่อนอีก 2 คน
อมรกานต์ก็สะท้อนว่า แรงงานไทยหลายคนไม่สู้งานนัก แต่คงไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมเหนื่อย แต่เงินค่าตอบแทนจากปริมาณลำไยสูงสุดที่พวกเขาสามารถเก็บได้ ไม่สามารถทำให้พวกเขามีกินมีใช้ได้
นอกจากเจ้าของสวนลำไย อมรกานต์ยังเป็น ‘หัวรถ’ ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำหน้าที่พาแรงงานไทย และแรงงานเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในสวนผลไม้ต่าง ๆ เธอพูดเสียงดังพลางชี้นิ้วไปรอบ ๆ สวนลำไยที่เธอนั่งกำปุกอยู่ว่า หลายคนในนี้ก็ผู้ประกอบการเจ้าของสวนลำไยทั้งนั้น อย่างเธอเองก็มีสวนลำไยอีกสองแปลงที่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว แรงงานก็หายไปหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงคำถามว่าต้นทุนสองสามแสนที่จ่ายไปกับสวนลำไยจะได้คืนมาสักกี่บาท
“แรงงานกัมพูชาสำหรับที่อื่นอาจไม่จำเป็น แต่สำหรับชาวสวนจันทบุรี โป่งน้ำร้อน สอยดาว สระแก้ว เราจำเป็นมาก จากที่แปลงหนึ่งเคยได้เป็นล้าน ตอนนี้เหลือแค่สองแสน ปีที่แล้วก็เจ๊ง ปีนี้ก็เจ๊ง ปีนี้ลำไยติดดีก็ไม่มีคนเก็บ ฝากถึงรัฐบาลด้วยจะทำอะไรก็รีบหน่อย ชาวสวนอย่างเราจะตายหมดแล้ว” อมรกานต์ยืนยัน
ด่านบ้านแหลม จ.จันทบุรี เป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชาที่แรงงานกัมพูชาจำนวนมากใช้ในการกลับประเทศต้นทางหลังเกิดข้อพิพาท รายงานจากทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนพบว่ามีแรงงานกัมพูชาราว 3-4 แสนคน หรือคิดเป็น 90% ของแรงงานกัมพูชาทั้งหมดกำลังเดินทางออกจากประเทศไทย ซึ่งการเคลื่อนย้ายของแรงงานกัมพูชาได้สั่นคลอนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเกษตรกรในจันทบุรีอย่างกระทันหัน เกษตรกรหลายคนไม่อาจหาแผนสำรองหรือแรงงานทดแทนในช่วงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือตัดเตรียมสวนเพื่อเตรียมต้นไม้ให้พร้อมในฤดูกาลเก็บเกี่ยวหน้า
เชาวลิต งามกระโทก เกษตรกรชาวจันทบุรีวัย 54 ปี ฉายภาพว่า แรงงานกัมพูชาจะทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ เพราะชาวจันทบุรีเองก็ทำสวนผลไม้เป็นหลัก อาจมีบ้างที่ไปประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานภาคบริการ ฯลฯ หากคำนวณก็คงไม่ถึง 5% ของแรงงานทั้งหมด
เชาวลิตเล่าต่อว่า สวนของเขามีสวนผลไม้หลายอย่าง อาทิ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง และมะปราง ซึ่งช่วงเวลาปกติเขาจะใช้แรงงานประมาณ 7-8 คนในการดูแลสวนผลไม้ ตัดแต่งกิ่ง หรือฉีดพ่นยา ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตอาจต้องใช้แรงงานมากถึง 30-40 คน ซึ่งเวลานั้นเชาวลิตก็จะเตรียม ห้องพัก ห้องอาบน้ำ อาหารการกินไว้ให้ แรงงานบางคนก็อาจเตรียมเต็นท์สนามมาเอง ส่วนระยะเวลาก็ทำงานก็เริ่มตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
อย่างมังคุดเองก็เป็นผลไม้ที่จำเป็นต้องใช้เวลาเก็บมาก เพราะหากเก็บไม่ทันก็อาจทำให้ลูกดำ ราคาปกติที่จะได้กิโลกรัมละ 45-50 บาทอาจตกเหลือเพียงกิโลกรัมละ 7-8 บาทเท่านั้น เชาวลิตเล่าว่าแรงงานกัมพูชาชอบช่วงเก็บมังคุดมาก เพราะไม่ได้เหมาเป็นรายวันแต่คิดค่าแรงเป็นกิโลกรัม ฉะนั้นยิ่งแรงงานกัมพูชาเก็บได้มากค่าแรงก็จะสูงตาม โดยแรงงานกัมพูชาอาจเก็บ 2-3 คันรถ คิดเป็นค่าจ้างมากถึง 700-1,500 บาทต่อวัน กลับกันหากเป็นแรงงานชาติอื่นอาจได้เพียงคันรถเดียว
เชาวลิตสะท้อนประสบการณ์อีกว่า เขาเองก็เคยจ้างแรงงานชาติเพื่อนบ้านมาแล้วหลายประเทศ รวมถึงแรงงานไทยเองด้วย แต่กลับพบปัญหาจุกจิกมากกว่าแรงงานกัมพูชา เช่น เข้างานช้ากว่าปกติและเลิกงานเร็วกว่าปกติ แรงงานไปดักสัตว์ป่าในเวลางาน หรือสารเคมีทางการเกษตรเสียหายเพราะล่วงเลยอายุการใช้งาน ทว่าเมื่อใช้แรงงานกัมพูชากลับไม่พบปัญหาเหล่านี้มากนัก ซึ่งบางสวนจะมีแรงงานกัมพูชาอยู่อาศัยที่สวนแห่งนั้นเลย ไม่ได้ไปกลับเหมือนแรงงานชาติอื่น
“ตอนถูกบีบบังคับให้กลับประเทศ เขาก็ไม่ได้อยากกลับ บางคนก็ร้องห่มร้องไห้ เพราะแยกจากครอบครัว” เชาวลิตบอก
เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้น สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดจันทบุรีรายงานว่าแรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับอย่างต่อเนื่อง เช่นแค่ในวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมาก็มีคนกัมพูชากว่า 20,000 คนที่เดินทางกลับประเทศผ่านจุดผ่านแดนจันทบุรี เชาวลิตอธิบายง่าย ๆ ว่า อย่างในซอยที่เคยมีคนกัมพูชา 100 คน แต่วันนี้จะเหลือเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น
เชาวลิตได้สอบถามไปยังแรงงานกัมพูชาบางส่วนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เขาพบว่ามีแรงงานบางส่วนอยากกลับมาทำงานที่ประเทศไทย บางส่วนเลือกไม่กลับมาและหาทำงานที่ประเทศต้นทาง และบางส่วนยังสองจิตสองใจ อีกทั้งแรงงานหลายคนก็ยังถือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยอยู่ ซึ่งก็สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศไทยได้เมื่อด่านเปิดหรือทางช่องทางธรรมชาติ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เลือก ‘ปั๊มปิด’ หรือคือการยกเลิกใบอนุญาตทำงานโดยทางการไทย หากเขาเหล่านี้อยากกลับมาทำงานในประเทศไทยก็จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่
“(รัฐบาลกัมพูชา) เขาขู่ว่าจะถอนสัญชาติ อะไรหลาย ๆ อย่าง พวกเขาก็เลยจำเป็นต้องกลับ อย่างเราก็ทำบัตรชมพูให้ ไปเสียค่าธรรมเนียม ค่าตรวจสุขภาพ หมดไปหลายหมื่นบาท แต่พวกเขาทำงานได้แป๊บเดียวเอง อย่างสวนเราก็เคยมีอยู่ 5 คน แต่ตอนนี้เหลืออยู่คนเดียว” เชาวลิตบอก
ขณะเดียวกันก็ยังมีแรงงานบางส่วนที่เลือกอาศัยและทำงานต่อที่ประเทศไทย แม้แรงงานกัมพูชาเหล่านี้จะต้องเผชิญความกังวลที่ต่อข่าวสารจากฝั่งรัฐบาลกัมพูชา ที่โหมกระพือว่าประมาณว่าสถานภาพของแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่อย่างมาวที่มีภาระหน้าที่และเป็นส่วนหนึ่งของการแบกเศรษฐกิจในครอบครัวก็เลือกที่จะทำงานต่อ
อย่างไรก็ดี แรงงานกัมพูชาที่ยังอยู่ก็ต้องเผชิญกับความเกลียดชังระหว่างสัญชาติที่ก่อร่างอย่างสมบูรณ์ เชาวลิตเล่าว่า ห้วงเวลานั้นก็มีกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ที่ตอบรับความเกลียดชังดังกล่าว และขี่รถเครื่องไล่ล่าหาคนกัมพูชาในพื้นที่จันทบุรี ทว่าผลกระทบจากเหตุการณ์กลับเกิดขึ้นกับพ่อค้าแม่ขายในตลาดนัด ที่ต้องสูญเสียกลุ่มลูกค้าหลักอย่างแรงงานกัมพูชาไป ทำให้พ่อค้า ผู้นำชุมชน และชาวบ้านต้องร่วมกันห้ามปรามให้ไม่เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้
“แม้เหตุการณ์จะคลี่คลายไปแล้ว เวลาแรงงานกัมพูชาจะไปตลาดนัดก็ต้องให้คนไทยไปเป็นเพื่อน หรือรวมกลุ่มไปกันเยอะ ๆ รีบซื้อของและรีบกลับ เพราะเขาก็กลัว ชีวิตก็เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ พ่อค้าแม่ขาย ชาวสวนก็จะช่วยเป็นหูเป็นตา ไปยืนยันว่าพวกเขาเป็นแรงงาน” เชาวลิตบอก
: ทำไมถึงไม่กลับกัมพูชา
“เพราะหนูก็มีครอบครัวอยู่ที่นี่ มีแฟนคนไทย อยู่ที่นี่ก็หาเงินช่วยที่บ้านได้ด้วย” มาวตอบ
ปัจจุบันมาวย้ายมาทำงานอีกสวนหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี เธอเล่าตอนนั้นเธอเสร็จสิ้นภารกิจจากสวนลำไย นายจ้างจึงพามาทำงานต่ออีกสวนหนึ่งเพื่อหารายได้เพิ่ม ปรากฏว่าเธอและครอบครัวชอบบรรยากาศของสวนแห่งที่สอง จึงบอกนายจ้างเก่าว่าขอมาอยู่สวนนี้ได้ไหม ซึ่งนายจ้างเก่าก็ตอบตกลงและทำเรื่องย้าย
เธอเล่าต่อว่าเธอรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ที่สวนนี้และประเทศไทยเพราะที่นี่มีแต่คนใจดี เวลาเธอทำงานผิดก็ไม่เคยพูดไม่ดีใส่ หรือเวลาไปซื้อของที่ตลาดนัดก็ไม่เคยโดนรังเกียจหรืออะไร แม้ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจะรุนแรงขึ้น หรือมีความพยายามไล่ล่าแรงงานกัมพูชาในจันทบุรี แต่เธอก็ยังไม่เคยมีปัญหาอะไรกับคนไทยในพื้นที่
ปัญหาเดียวที่มีอยู่คงจะเป็น ‘ความเหงา’ ที่เกาะกุมจิตใจของเธอ ข่าวคราวของรัฐบาลกัมพูชาได้สร้างความกังวลต่อแรงงานกัมพูชาในไทย จนหลายคนเลือกที่จะเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด รวมถึงครอบครัวของมาวด้วย พ่อ แม่ พี่สาว และน้องสาวของเธอเลือกที่จะเดินทางกลับประเทศของพวกเขา ซึ่งมาตรการปิดด่านชายแดนอย่างไม่มีกำหนด ก็ทำให้วันที่เธอจะได้พบกับครอบครัวอีกครั้งไม่มีกำหนดไปด้วย “หนูก็เหงาเหมือนกัน แต่ก่อนก็จะคุยกับพี่น้อง แต่ตอนนี้พี่น้องไม่อยู่ให้คุยด้วย” เธอบอก
โชคยังดีที่โลกนี้มีโทรศัพท์มือถือให้มาวและครอบครัวยังคอยถามสารทุกข์สุกดิบกันได้ การทำงานในประเทศไทยทำให้ครอบครัวของมาวปลดหนี้สินที่กัมพูชาได้ส่วนหนึ่ง มีเงินซื้อรถจักรยานยนต์ไว้ได้สัญจร และคำยืนยันจากครอบครัวว่าพวกเขาจะไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว มาวเองก็อยากกลับไปกัมพูชาเช่นเดียวกันเพราะพี่สาวกำลังจะแต่งงาน แต่หากเธอกลับไปอาจต้องแลกมากับความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน หรือไม่สามารถกลับมาประเทศไทยได้อีก
มาวคาดหวังว่าไทยกับกัมพูชาจะ ‘คืนดี’ กันสักวันหนึ่ง สามารถเปิดประเทศ / ชายแดนเพื่อให้ครอบครัวของเธอกลับมาทำงานที่เมืองไทย รวมถึงแรงงานกัมพูชาคนอื่น ๆ ด้วย แต่ด้วยความเกลียดชังระหว่างชาติที่สาดโคลน เกลื่อนกระจายอยู่ในโซเชียลมีเดีย ก็ทำให้เธอเชื่อลึก ๆ ว่า อาจไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้
“หนูก็อยากขอฝากไปยังประชาชนไทย ขอเมตตาแก่แรงงานกัมพูชาที่มาทำงานที่ไทย เพราะว่าหนูมาทำงาน หนูอยากได้เงินส่งกลับไปยังครอบครัวที่ประเทศตัวเอง ปัญหาการเมืองมันก็คือการเมือง มันไม่เกี่ยวอะไรกับแรงงานเลย” เธอพูดนิ่ง ๆ
เชาวลิตยืนยันว่าแรงงานเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ พวกเขาเป็นเพียงแรงงานคนหนึ่งที่เข้ามาขายแรงงานแลกเงินในประเทศไทย และในมิติที่ลึกซึ้งที่สุดพวกเขาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จริงอยู่ที่เราไม่สามารถยืนยันปากเปล่าได้ว่าใครดีหรือร้ายในความขัดแย้งนี้ แต่หน้าที่ตรวจสอบสถานะของแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศหรืออยากจะเข้ามาอีกครั้ง ควรเป็นของรัฐบาลที่มีเครื่องมือหรือเอกสารรับรองตัวตน หาใช่การผลักคนกัมพูชาให้เป็นศัตรูไปเสียหมด
เขากล่าวต่อว่า รัฐบาลควรเตรียมมาตรการรองรับให้กับชาวสวนในอนาคตข้างหน้า เพราะชาวสวนหลายคนไม่สามารถปรับตัวกับสถานการณ์นี้ได้ทัน หากเกษตรกรบางคนไม่สามารถหาแรงงานทดแทนได้ทันช่วงที่เขาต้องเก็บเกี่ยว ก็เท่ากับว่าเขาต้องนั่งมองผลผลิตร่วงหล่นลงพื้น มากกว่าเปลี่ยนมันเป็นเงินเพื่อใช้หนี้ธนาคาร หรือสหกรณ์ ที่พวกเขาไปกู้มาเพื่อลงทุน
เขาสะท้อนอีกว่า แรงงานกัมพูชาหลายคนเลือกกลับประเทศบ้านเกิด เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย หากยังอยู่ในประเทศไทย ฉะนั้นอีกเรื่องที่รัฐบาลควรทำอย่างเร่งด่วนคือการสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับแรงงาน ว่าพวกเขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในประเทศไทย
“ผมมองว่ายังไงชาวสวนก็ยังต้องการแรงงานกัมพูชา แต่ถ้าพูดอย่างนี้โดนคนด่าตายเลย ผมรู้ว่าทุกคนก็รักชาติ ชาวสวนเราก็รักชาติ แต่เราก็ต้องมองให้ลึก เพราะว่าแรงงานเหล่านี้เขาเข้ามาส่งเสริมธุรกิจของประเทศไทยเยอะมาก” เชาวลิตทิ้งท้าย