วิมานหนามที่มองไม่เห็น 'กรีดพู ดูเนื้อ' วิกฤตแรงงานข้ามชาติ - Decode

วิมานหนามที่มองไม่เห็น ‘กรีดพู ดูเนื้อ’ วิกฤตแรงงานข้ามชาติ

EconomyHuman Rights
Reading Time: 3 minutes

สราวุธ ถิ่นวัฒนากูล

ท่ามกลางแสงแดดและผืนดินที่หล่อเลี้ยงภาคเกษตรไทย แรงงานข้ามชาติได้ก้าวเข้ามาเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนฟันเฟืองการผลิตสินค้าเกษตรให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเป็นคนเก็บผลไม้ ดายหญ้า พ่นยา และแบกหามที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขมูลค่าส่งออกนับแสนล้านบาท

เบื้องหลังการผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตรมี ‘แรงงานข้ามชาติ’ ซึ่งกลายเป็นกำลังหลักในไร่และสวนผลไม้ทั่วประเทศช่วยให้ภาคเกษตรของไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ ทว่าปัญหาในระบบการจ้างงานและการจัดการแรงงานข้ามชาติกำลังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจรวมทั้งภาคเกษตร จากนโยบายการขึ้นทะเบียนแรงงานแบบใหม่ตาม Pre-MOU 2568 มีที่มาจากมติ ครม. 24 กันยายน 2567 ที่ให้ขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาตามระบบข้อตกลงร่วมกับประเทศต้นทาง 

เมื่อแรงงานข้ามชาติ คือกำลังสำคัญของภาคเกษตร แต่ระบบที่ไม่เอื้ออำนวยกำลังบีบคั้นทั้งแรงงานและนายจ้าง ไม่ต่างจากหนามทุเรียนที่คอยทิ่มแทงคนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมนี้

ถ้าหากเรายังไม่ กรีดพู-ดูเนื้อ-ตัดขั้วที่ติดเชื้อว่า ปัญหาระบบการจัดจ้างแรงงานข้ามชาติในสังคมไทยคืออะไร เพื่อสร้างระบบการจ้างงานที่เป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืน เมื่อเราต่างต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยกันทั้งสิ้น

ขั้วเน่า ‘ผลตาย’ ความเสียหายที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้

“การที่ระบบการจ้างงานมีความซับซ้อนและต้องพึ่งพานายหน้า เป็นการเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงให้กับทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง” 

พวงมณี(นามสมมุติ) นักเศรษฐศาสตร์และเจ้าของสวนทุเรียนจากจังหวัดตราดได้ให้ข้อมูลกับ Decode ว่ากระบวนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติตามระบบ MOU และ Pre-MOU ซับซ้อน ล่าช้า และเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายแฝง กลายเป็นภาระหนักอึ้งของผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหลายคนจำใจต้องพึ่งพานายหน้า ซึ่งคิดค่าบริการสูงกว่าอัตราที่รัฐกำหนด 1-3 เท่า หรืออาจต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เพื่อเร่งรัดกระบวนการ 

นอกจากนี้ภาวะขาดแคลนแรงงานในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะฤดูเก็บเกี่ยว ยังผลักดันให้ค่าแรงสูงขึ้น มานิตย์ ชิงชัย เจ้าของสวนทุเรียน ตำบลประณีต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ยอมรับว่า ต้นทุนหลักที่ส่งผลสวนทุเรียนปีนี้ คือค่าแรง 

แม้มานิตย์จะพยายามนำเทคโนโลยีอย่างโดรนมาช่วยลดต้นทุนในการพ่นยา แต่หลายขั้นตอนยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคน หากไม่มีแรงงานข้ามชาติที่พร้อมจะทำงานเหล่านี้ภาคการผลิตคงหยุดชะงัก

เมื่อต้นทุนสูงขึ้นประกอบกับการขาดแคลนแรงงานในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้การเก็บเกี่ยวหรือดูแลผลผลิตล่าช้า ส่งผลให้ผลผลิตลดลง และเกิดความเสียหายสะสม

ศุภวัฒน์ มุรินทร์ เจ้าของสวนทุเรียนในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อธิบายว่า สวนทุเรียนจะต้องทำงานให้ทันเวลา ถ้าไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามเขตได้ ก็จะเกิดปัญหาทำงานไม่ทัน ส่งผลให้ผลผลิตเสียหาย

ศุภวัฒน์กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันการแข่งขันในตลาดทุเรียนรุนแรงขึ้น ทุกประเทศต่างต้องการส่วนแบ่งจากตลาดทุเรียนที่มีมูลค่าสูง เขายังชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีคู่แข่งอย่างเวียดนาม หรือจีนที่เข้ามา แต่คุณภาพและการจัดการของไทยยังสามารถแข่งขันได้ หากมีการควบคุมคุณภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐออกแบบนโยบายการจ้างงานที่เอื้ออำนวยให้แก่นายจ้างมากกว่านี้ ก็จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้้น

‘แทงช่อ’ ปมปัญหาจ้างงานแรงงานข้ามชาติ 

แม้แนวคิดและหลักการของนโยบาย MOU และ Pre-MOU จะสมเหตุสมผลในเชิงเศรษฐศาสตร์และผลประโยชน์ของประเทศ แต่การนำไปปฏิบัติจริงยังคงมีปัญหาและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ดังที่พวงมณีให้ความเห็นว่า 

“ระบบการจ้างงานแรงงานข้ามชาติของไทย พยายามออกแบบนำคนไม่มีเอกสารการทำงานให้กลายเป็นคนที่มีเอกสาร โดยมีระบบ MOU ที่รัฐพยายามสร้างขึ้นเพื่อใช้ระยะยาว”

กล่าวได้ว่าระบบการจ้างงานแรงงานข้ามชาติปัจจุบันเป็นระบบแบบชั่วคราวที่อาศัยมติ ครม. เป็นครั้ง ๆ ไปในการเปิดต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ในขณะที่ระบบ MOU ถูกออกแบบมาให้การจ้างงานกลายเป็นกิจลักษณะ โดยมีความพยายามของกระทรวงแรงงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาในการออกแบบระบบ จนกระทั่งนโยบายการขึ้นทะเบียนแรงงานแบบใหม่ตาม Pre-MOU 2568 มีที่มาจากมติ ครม. 24 กันยายน 2567 พวงมณีมองว่า เป็นระบบที่มีแนวคิดที่ดี เพราะเป็นความพยายามแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบ แต่ก็ยังมีรูโหว่เยอะมาก 

ปัญหาหลักประการแรกคือกระบวนการนำเข้าแรงงาน (MOU / Pre-MOU) ที่ซับซ้อน มีต้นทุนสูงและล่าช้า ใช้เอกสารจำนวนมากและต้องติดต่อหลายหน่วยงาน กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่ไม่คุ้นเคยกับระบบราชการและเทคโนโลยี สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงานชี้ว่า “ความไม่สะดวกทำให้นายจ้างต้องหันไปพึ่งนายหน้า” 

รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงเช่น ค่าตรวจโรค 1,000 บาท ค่าใบอนุญาติทำงาน 2 ปี 1,900 บาท ค่าวีซา 500 บาท ค่าอัปเดตบัตรชมพู 20 บาท ค่าเนมลิสต์ฝั่งเมียนมา 2,000 บาท ค่าภาษีฝั่งเมียนมา 2,400 บาท ค่าประกันสุขภาพ 3,200 บาท ค่าหลักประกัน 1,000 บาท ค่าทำพาสปอร์ต 6,000 บาท ค่าเดินทาง 6,000 บาท ค่าคิวเซ็นสัญญาที่สถานทูต 1,500 บาท รวมแล้วสูงถึง 25,520 บาทต่อคน 

ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ประกอบกับความล่าช้าในการรออนุมัติเอกสารจากประเทศต้นทาง โดยเฉพาะเมียนมาซึ่งอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือไม่ได้รับการอนุมัติเลย ทำให้ไม่ทันต่อความต้องการแรงงานในภาคธุรกิจ 

พวงมณีเล่าถึงประสบการณ์ตรงที่พยายามทำเอกสารให้แรงงานด้วยตนเองว่า “เป็นเรื่องยากที่สุดในโลก” 

แม้ตัวเธอจะมีความรู้ด้านกฎหมายและติดตามข้อมูลมาตลอด โดยเธอกล่าวสรุปว่าการทำเอกสารปีหน้าจะกลับไปใช้นายหน้าเหมือนเดิม เพราะว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะทำได้

‘ตีพู’ ฟังเสียงแรงงาน เมื่อเราต่างต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี

นอกจากมุมมองจากฝั่งนายจ้างแล้ว ฝั่งแรงงานข้ามชาติเองต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการเข้ามาทำงานและการทำเอกสารที่สูงลิ่วเช่นกัน หลายคนต้องก่อหนี้สินเพื่อแลกกับโอกาสในการทำงาน แต่กลับต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางรายได้ ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยจากการทำงาน โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่ต้องสัมผัสสารเคมี และยังต้องอยู่อย่างหวาดกลัวการถูกจับกุมหากไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง 

ดังเช่น คำมุ้น (นามสมมุติ) แรงงานชาวเมียนมาที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน เล่าว่าเขาไม่อยากทำบัตรเพราะค่าใช้จ่ายสูง และเคยเผชิญประสบการณ์ถูกนายจ้างงานก่อสร้างไม่จ่ายค่าแรง 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับความลำบาก แรงงานจำนวนมากยังคงเลือกที่จะอยู่ในประเทศไทย เพราะมองว่ายังมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าบ้านเกิดที่กำลังเผชิญความไม่สงบ พวกเขามีความหวังเพียงแค่ อยากมีรายได้ส่งกลับบ้าน 

ในขณะที่แรงงานข้ามชาติต้องการหารายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว แรงงานไทยเองก็ไม่ต่างกัน ต่างเป็นแรงงานไทยที่เคยมีประสบการณ์ทำงานเกษตรในต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เลือกทำงานภาคเกษตรในประเทศ เนื่องจากมองว่าเป็นงานที่หนัก อันตราย และได้รับค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งให้ค่าแรงสูงกว่าและมีสวัสดิการที่ดีกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเกษตรไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเป็นหลัก เขาย้ำว่า “คนไทยไม่เสี่ยงกับพวกยา พวกสารเคมี มันไม่คุ้มกับสุขภาพ” 

ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แรงงานไทยหันหลังให้กับภาคเกษตรในประเทศ อย่างไรก็ตามประสบการณ์ของตากในฐานะหัวหน้าคุมแรงงานข้ามชาติในปัจจุบัน ก็แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการและถ่ายทอดความรู้ในภาคเกษตรได้ หากมีโอกาสและแรงจูงใจที่เหมาะสม

ในขณะเดียวกันกลุ่มนายจ้างภาคเกษตร ต้องแบกรับต้นทุนการจ้างงานที่สูงขึ้น ทั้งจากค่าแรงที่ปรับตัวตามภาวะขาดแคลน และค่าใช้จ่ายแฝงในกระบวนการทำเอกสาร พวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการจ้างแรงงานที่ไม่มีเอกสาร และแรงงานในระบบนั้นมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ และความเครียดจากการบริหารจัดการแรงงานให้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงเวลาสำคัญ 

วรรณ เจ้าของไร่อ้อยสะท้อนความรู้สึกนี้ว่า แม้จะสงสารแรงงานแต่ก็มีความกังวลเรื่องปัญหาทางกฎหมายและไม่กล้ารับแรงงานไว้ในไร่จำนวนมาก อย่างไรก็ตามนายจ้างหลายคนก็ยังแสดงความเห็นใจและพยายามดูแลแรงงานเท่าที่ทำได้ เช่น การให้ที่พัก อาหาร หรือความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่พวกเขาจะทำได้

ปลดแอกภาคเกษตร-เคารพสิทธิมนุษยชน ทางออกของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ภาคเกษตรกรรมเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย การผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตรสร้างรายได้ในปี 2567 มูลค่ารวม 23,357.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (821,212 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2566

ตัวเลขทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานในภาคการเกษตรมีส่วนสำคัญมากเพียงใด และทิ้งคำถามเครื่องหมายตัวใหญ่กับภาครัฐของไทยว่า เราจะยกระดับระบบการจัดการแรงงานข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรมนี้ไปในทิศทางใดด้วย

จากข้อเสนอของภาคประชาสังคม นักวิชาการ ผู้ประกอบการ รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ เราจะเห็นมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตร สามารถทำได้โดยการปฏิรูประบบการขึ้นทะเบียนแรงงานให้มีความง่าย ลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย ทำให้เข้าถึงได้สะดวก โปร่งใส และมีความต่อเนื่อง โดยอาจพิจารณาระบบ One-Stop Service ที่มีประสิทธิภาพ หรือการออกบัตรทำงานชั่วคราวในราคาที่เข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง 

ในขณะเดียวกัน การคุ้มครองสิทธิแรงงาน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด จัดให้มีสวัสดิการที่เหมาะสม เช่น ประกันสุขภาพและประกันสังคม และดูแลความปลอดภัยในการทำงาน 

ปัญหาการจัดการแรงงานข้ามชาติในภาคเกษตรถือเป็นสัญญาณเตือน ที่หากไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ความเสียหายอาจลุกลามและส่งผลกระทบต่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเสี่ยงในการสูญเสียสถานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรชั้นนำของโลก การสร้างระบบการจ้างงานที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของภาคเกษตร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิมนุษยชนของแรงงานทุกคน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างสังคมที่เท่าเทียมเกื้อกูลกันมากขึ้น อันจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีตลาดที่เป็นธรรม ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน และมีธรรมาภิบาลที่ดีในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติไทย

ผลงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย IOM ผ่านโครงการทุน เพื่อการรายงานข่าวเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐาน