ศีลธรรมแบบเลือกจำ : ว่าด้วยการลืมอย่างสะดวกของฝ่ายอนุรักษนิยม
Reading Time: < 1 minuteการลืมอย่างสะดวกของฝ่ายอนุรักษนิยม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง แต่แทรกซึมอยู่ในกระบวนการทำงานของระบบราชการ และการเมืองในทุกระดับ
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยคนรุ่นใหม่นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 มาจนถึงการประท้วงช่วงปีพ.ศ. 2563-2564 ภาพประชาชนจำนวนมากออกมาบนท้องถนนอาจจะเป็นภาพแห่ง “ความหวัง” สำหรับใครที่เชื่อมั่นว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนบนท้องถนนเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมประชาธิปไตย
หากพิจารณาสถานการณ์ในประเทศไทยทุกวันนี้ เราอยู่ในความเงียบงันหลังการประท้วงครั้งใหญ่มานานเกือบห้าปี ความเป็นไปในรัฐสภาไม่ได้ถูกใจประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยมีความหวังกับการเลือกตั้งมากนัก แย่กว่านั้น เรายังคงเป็นประเทศที่จองจำนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 50 คน ยังไม่นับว่าอย่างน้อยร้อยกว่าคนต้องลี้ภัยไปต่างแดน ทั้งรุ่นเก่าตั้งแต่สมัยคสช. ยึดอำนาจ จนถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องกลายเป็นจำเลยคดีมาตรา 112 จากการแสดงออกทางการเมือง เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ทั้งหมดนี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกสิ้นหวังใน “Silence Period” ช่วงเวลาที่ท้องถนนว่างเปล่า ผู้ร่วมขบวนการประชาธิปไตยหลายคนถูกกดปราบ ถูกทำให้เงียบด้วยเครื่องมือทางกฎหมาย
“ตลอดประวัติศาสตร์การเมืองโลก ประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ตลอดชีวิต”
Decode นั่งสนทนากับ รศ.ดร. กนกรัตน์ เลิศชูสกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ชวนเรามองโลกแล้วย้อนกลับมามองการเมืองไทย เพื่อทำความเข้าใจพลวัตของการเมืองภาคประชาชน
นี่คือช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังจริงหรือไม่?
มีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นบ้างในความเงียบงัน?
ความเงียบนั้นสำคัญต่อการต่อสู้อย่างไร?
เป็นคำถามที่เราอยากชวนถอดรหัสเพื่อเข้าใจ Silence Period ช่วงเวลาที่ความเงียบยังดังก้องอยู่ในใจของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายคน
“เวลาเราพูดถึงการลุกขึ้นของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง มันไม่ใช่เฉพาะการชุมนุมประท้วง… เราไม่สามารถชุมนุมกันได้ห้าปีสิบปี มันเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมมันก็จะถดถอยลงด้วยเงื่อนไขเยอะแยะไปหมด ทั้งการปราบปรามจากรัฐ ทรัพยากรที่อาจจะร่อยหรอ หรือไม่เห็นถึงชัยชนะว่าชุมนุมไปแล้วได้ประโยชน์อะไร เราก็จะเห็นการถดถอยของการชุมนุมประท้วง เราจะรู้สึกว่า ม็อบจบ ทุกอย่างจบ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น”
อ.กนกรัตน์ค่อย ๆ อธิบายให้เห็นภาพว่า วัฏจักรของการเมืองภาคประชาชนและการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่เท่ากับวัฏจักรของการเกิดขึ้นและการสลายไปของการชุมนุมประท้วงบนท้องถนน การรวมตัวกันของประชาชนผ่านวิธีการชุมนุม เป็นเพียงเฟสหนึ่งในกระบวนการที่ไม่มีวันจบของการต่อรองทางอำนาจ เพื่อขับเคลื่อนสังคมประชาธิปไตย
“ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา กฎหมายการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ LGBTI+ เริ่มต้นมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ณ วันนั้น ความรักของคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าคุณมีหลักฐานว่าเจอใครรักกับเพศเดียวกัน คุณจับพวกเขาติดคุกได้เลย แต่การเรียกร้องในวันนั้นเมื่อปีค.ศ. 1960 ไม่ได้ทำให้เกิดกฎหมาย ไม่ได้ทำให้คนในสหรัฐอเมริกายอมรับสิทธิความเท่าเทียมกันของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ผ่านไป 40 ปี กฎหมายฉบับนี้ผ่านในต้นทศวรรษ 1990-2000 (แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ประชาชนในสหรัฐอเมริกาเกิน 50% ในปัจจุบันยอมรับสิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมากกว่าผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต นั่นแปลว่าอะไร มันใช้เวลา 60 กว่าปีในการทำให้กฎหมายฉบับนี้ผ่าน และทำให้คนที่แม้จะอยู่ฝั่งริพับลิกันหรือฝั่งอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นฝั่งที่ค่อนข้างจะเคร่งศาสนา หันมายอมรับ สิ่งเหล่านี้เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า Fluctuated-Increasing Trend (แนวโน้มขาขึ้นแบบผันผวน) มันเกิดจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า แพ้ ถูกปราบปราม ผลักดันต่อ”
หากเราคิดต่อจากตัวอย่างที่อ.กนกรัตน์ยกขึ้นมาเล่า มองไปใกล้ ๆ ตัวในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ เราเห็นปรากฏการณ์การลุกฮือของประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความเหลื่อมล้ำ และความไร้ประสิทธิภาพของผู้มีอำนาจในสภาฯ ออกมาประท้วงบนท้องถนนขับไล่รัฐบาลทั้งในอินโดนีเซีย เนปาล และล่าสุดที่ฟิลิปปินส์
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การลุกฮือครั้งแรก และแน่นอนว่า ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ตัวอย่างที่น่าสนใจในการทำความเข้าใจพลวัตของการเมืองภาคประชาชน คือการต่อสู้ของประชาชนชาวเนปาล ย้อนกลับไปปีพ.ศ. 2533 การปฏิวัติโดยประชาชนเนปาลสามารถล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และนำไปสู่การปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญแบบหลายพรรคการเมือง ไม่เพียงเท่านั้น การประท้วงครั้งต่อมารวมถึงการประท้วงใหญ่ในปีพ.ศ. 2549 นำไปสู่การล้มล้างระบอบกษัตริย์และสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย
เกือบ 20 ปีผ่านไป จากชนวนการปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของรัฐบาล ขับเคลื่อนด้วยความโกรธและความไม่พอใจที่ก่อร่างสร้างตัวมานานต่อการทุจริตคอร์รัปชันและระบบพวกพ้องของผู้มีอำนาจ วันนี้เราจึงเห็นคนรุ่นใหม่ Gen Z ในเนปาลลุกขึ้นมาประท้วงใหญ่อีกครั้ง
อะไรทำให้ครั้งนี้ ผู้ประท้วงเจนซีในเนปาลสามารถล้มรัฐบาลลงได้ภายใน 48 ชั่วโมง?
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้การประท้วงในอินโดนีเซียสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายเมืองทั่วประเทศ และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี?
ใครทำอะไรที่ไหนบ้างในช่วง 60 กว่าปี หลังการประท้วงเพื่อสมรสเท่าเทียมในสหรัฐฯ จนถึงวันที่ผ่านกฎหมาย?
คำตอบคือมีหลายอย่างเกิดขึ้นและเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง Silence Period ทั้งก่อนและหลังการประท้วงใหญ่ ในวัฏจักรของการเมืองภาคประชาชนทั่วโลก
การประท้วงที่โค่นล้มรัฐบาลเนปาลในเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ไม่ได้อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นเองโดยแยกขาดจากปัจจัยอื่น เครือข่ายคนรุ่นใหม่ในโลกออนไลน์ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาหลายปี ในแบบที่คนรุ่นเก่า และผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองแบบเดิมอาจจะมองไม่เห็น
“ที่เราเรียกมันว่า Silence Period เพราะเราไม่เห็นผู้คนบนถนน เราไม่เห็นเขาในพื้นที่สาธารณะ …Silence Period คือ Golden Period จังหวะทองของคนที่เรียกร้องสิทธิทางการเมือง เรียกร้องประชาธิปไตย ถ้าอยากจะเห็นโอกาสในการผลักดันสิ่งที่เราเรียกร้องในระยะยาว มันต้องใช้โอกาสในช่วง Silence Period ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด”
ในวัฏจักรของการเมืองภาคประชาชนทั่วโลก การเปลี่ยนพลวัตการขับเคลื่อนประชาธิปไตยจากการเคลื่อนไหวบนท้องถนนแบบตอบโต้ ไปสู่การทำงานทางการเมืองเชิงรุกและเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในช่วง Silence Period เป็นกระบวนการที่มักเกิดขึ้นในช่วงที่เราเห็นท้องถนนว่างเปล่า หนึ่งในกลยุทธ์เชิงรุกที่ว่าคือการสร้างความเป็นสถาบันจากการชุมนุม
“เราเห็นการเกิดขึ้นขององค์กรแบบใหม่ ๆ ที่ไปเกาะเกี่ยวคนที่เคยอยู่บนท้องถนนที่เสี่ยงภัย มาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทำกิจกรรมที่หลากหลาย จากเดิมที่เราไม่รู้ใครเป็นใคร เราเห็นการสร้างเครือข่าย มันเรียกว่าการออร์แกไนซ์ (organize) เอาพลังของคนเหล่านี้มาทำให้เกิดองค์กร เกิดกลุ่มก้อนที่เข้าไปผลักดันการเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในมิติที่หลากหลาย นี่คือช่วงที่เรียกว่า Institutionalizing Protest ก็คือทำให้การชุมนุมประท้วงกลายเป็นสถาบันการเมืองภาคประชาชนมากขึ้น”
เราเห็นปรากฏการณ์ที่อ.กนกรัตน์อธิบายในหลายประเทศรวมถึงไทย หลังการประท้วงปีพ.ศ. 2564 ของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะไม่เห็นการชุมนุมครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนท้องถนนอีก แต่เราเห็นเครือข่ายการเมืองภาคประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ตั้งขึ้นในช่วงระหว่างหรือหลังการชุมนุม เป็นตัวแทนไปแลกเปลี่ยน พูดคุย ยื่นจดหมาย และเรียกร้องให้การเกิดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งในไทยและบนเวทีโลก
ตัดภาพไปที่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หลังจากการประท้วงครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2562 กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลจีนถูกใช้จับกุมแกนนำประชาธิปไตยหลายคน ทำให้ฮ่องกงอยู่ในช่วง Silence Period มาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกงยังไม่ล่มสลาย ชาวฮ่องกงที่สนับสนุนประชาธิปไตยช่วยกันสร้าง “วงกลมเศรษฐกิจสีเหลือง” หรือ Yellow Economic Circle ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจที่สนับสนุนการประท้วงอย่างเปิดเผย พร้อมรณรงค์ให้สนับสนุนและซื้อบริการจากร้านค้าเหล่านี้ โดยถือเป็นการต่อต้านรัฐบาลและการควบคุมของจีนผ่านทางเลือกของผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน นี่คือการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาแห่งความเงียบงันที่ไม่สามารถชุมนุมประท้วงเหมือนเดิมได้
ขณะเดียวกัน การประท้วงที่เนปาลแสดงให้เราเห็นว่า การสร้างความเป็นสถาบันแบบหลวม ๆ ในโลกดิจิทัลช่วง Slience Period สามารถช่วยผลักดันให้เกิดการชุมนุมประท้วงและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้อย่างทรงพลัง เพราะก่อนที่เราจะเห็นภาพเจนซีเนปาลประท้วงรัฐบาลเต็มท้องถนน พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อปัญหาการว่างงานและการคอร์รัปชันมานานหลายปี แฮชแท็ก “#NepoKid” ที่เปิดเผยและเสียดสีวิถีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของลูกหลานชนชั้นนำทางการเมือง กลายเป็นกระแสไวรัลในช่วงหลายเดือนก่อนการประท้วง ช่วยสร้างอัตลักษณ์ร่วมระหว่างคนรุ่นใหม่ที่เจ็บปวดจากความเหลื่อมล้ำ จนทำให้การประท้วงในโลกออฟไลน์เกิดขึ้นได้จริงเมื่อรัฐบาลประกาศแบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจทำลายสถาบันออนไลน์ที่มีความหมายต่อพวกเขา
“เราต้องทำให้การเมืองภาคประชาชนมีพลังมากขึ้นโดยการเอาไปเกาะเกี่ยวกับพรรคการเมืองต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าไปอยู่ภายใต้พรรคการเมืองนะ แต่ไปสร้างอำนาจต่อรองกดดันพรรคการเมืองที่ต้องการเสียงสนับสนุนจากกลุ่มเรา ให้ผลักดันวาระ (agenda) ผลักดันโครงสร้างทางการเมืองที่ต่อรองได้”
อีกหนึ่งกระบวนการและความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วง Silence Period คือการทำให้ข้อเรียกร้องบนท้องถนนเข้าไปอยู่ในสภา อ.กนกรัตน์ ยกตัวอย่างการเติบโตของพรรคกรีนและพรรคที่ชูประเด็นทางสิ่งแวดล้อมในยุโรป ที่เกิดขึ้นหลังจากการชุมนุมประท้วงเรื่องสิ่งแวดล้อมเจอการปราบปรามครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1960-1970 นักกิจกรรมที่เคยร่วมประท้วงส่วนหนึ่งหันมาสร้างพรรคการเมือง หรือไปต่อรองกับพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว เพื่อผลักดันประเด็นที่เคยเรียกร้องในการชุมนุมให้กลายเป็นนโยบายของพรรคการเมือง จนป็นวาระทางการเมืองของประเทศ
กระบวนการนี้ค่อนข้างชัดเจนเมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคประชาชนในปัจจุบัน เราเห็นอดีตนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เคยชุมนุมประท้วงต่อต้านการยึดอำนาจของคสช. เมื่อปีพ.ศ. 2557 เข้ามาขับเคลื่อนประชาธิปไตยผ่านบทบาทนักการเมือง ในขณะที่บางส่วนเลือกทำงานผลักดันพรรคการเมืองเพื่อขับเคลื่อนวาระต่าง ๆ ซึ่งโยงกับอีกกระบวนการที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงเงียบงัน นั่นคือการพยายามผลักดันและเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
“มันคือการทำให้การชุมนุมประท้วงเป็นพลังในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย ทางรัฐธรรมนูญ ทางโครงสร้างทางการเมือง …เพราะฉะนั้นเราจะยังเห็นการชุมนุมประท้วงอยู่บ้างเล็ก ๆ แต่เป็นการชุมนุมเพื่อกดดันทั้งพรรคการเมืองและฝ่ายอนุรักษนิยม หรือกระบวนการในสภา”
การต่อสู้เพื่อผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยที่ผ่านการรวมตัวประท้วงและเรียกร้องมาอย่างยาวนาน อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำให้ข้อเรียกร้องในการประท้วงกลายเป็นวาระทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมในช่วง Sience Period
จริงอยู่ ใช่ว่าทุกความพยายามจะเป็นผล แต่หากเราพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างละเอียด เราจะเห็นว่ามันเกิดขึ้นอยู่ตลอด
จาก 10 ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ที่รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ประกาศในเดือนสิงหาคมปีพ.ศ. 2563 สู่การพูดถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในรัฐสภาโดยส.ส.พรรคก้าวไกล ไปจนถึงการที่เราได้เห็นจุดยืนที่แตกต่างกันของแต่ละพรรคการเมืองเรื่องการแก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 ในช่วงการเลือกตั้งปีพ.ศ. 2566 แม้การเปลี่ยนแปลงในประเด็นนี้จะยังไม่มีความคืบหน้าทางกฎหมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในแบบที่หลายคนอาจจะไม่เคยกล้าจินตนาการไปถึง
“ในช่วงที่ไม่มีการชุมนุมประท้วงใหญ่ เราจะเห็นโอกาสใหม่ของการขยายพันธมิตร เพราะเราต้องยอมรับว่าในการชุมนุมประท้วงมันเต็มไปด้วยประเด็นที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายที่ประนีประนอม หรือฝ่ายเสรีนิยมฝ่ายต่าง ๆ อาจจะไม่เห็นด้วยต่อข้อเรียกร้องบางอย่างของการชุมนุมที่อาจจะแหลมคมเกินไป แต่หลังจากการชุมนุมยุติลง มันคือเวลาในการค่อย ๆ พูดคุยเจรจา เพื่อที่จะให้เราขยายพันธมิตรไปสู่กลุ่มใหม่ ๆ ได้”
อีกกระบวนการและความเคลื่อนไหวหนึ่งที่เราเห็นเกิดขึ้นในการต่อสู้ทางการเมืองทั่วโลกในช่วง Silence Period คือการขยายพันธมิตร ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมปีพ.ศ. 2541 อดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตประกาศลาออกจากตำแหน่ง นับเป็นจุดสิ้นสุดของ “ยุคระเบียบใหม่” ที่ใช้ปกครองอินโดนีเซียมานานถึง 32 ปี
ภาพที่โลกเห็น คือขบวนการนักศึกษาที่ออกมาประท้วงตามเมืองต่าง ๆ นับแสนคน ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ขับไล่จอมเผด็จการออกไปได้ แต่หากเราลองพิจารณาช่วง Silence Period ก่อนหน้าการประท้วง แม้เผด็จการซูฮาร์โตจะใช้อำนาจปราบปรามผู้เห็นต่างและจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แต่ฝ่ายประชาธิปไตยในอินโดนีเซียไม่เคยนิ่งเฉย พวกเขาพยายามขยายเครือข่ายและเจรจาแบบลับ ๆ อยู่ตลอด มีการการจัดตั้งเครือข่ายระหว่างผู้นำศาสนา ทั้งมุสลิม คริสต์ และกลุ่มอื่น ๆ ที่พบปะกันอย่างเงียบ ๆ เพื่อสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เมื่อการประท้วงของนักศึกษาปะทุขึ้น การชุมนุมจึงไม่ถูกมองว่าขับเคลื่อนโดยศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็นฉันทามติระดับชาติ นอกจากนี้ยังมีการขยายเครือข่ายผู้คนในแวดวงวิชาการ รวมไปถึงการเจราจาแบบลับ ๆ กับผู้นำทางการทหารที่ผิดหวังในตัวซูฮาร์โต
ความเคลื่อนไหวในช่วงที่ถูกปิดปากให้เงียบทั้งหมดนี้ ล้วนนำไปสู่ชัยชนะของการเมืองภาคประชาชน
แม้แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยาวนานของประเทศเพื่อนบ้านใกล้ไทยอย่างเมียนมา จนนำไปสู่สงครามที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกจับอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร ที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่สำหรับอ.กนกรัตน์ ในฐานะคนที่เฝ้ามองการขยายตัวและพัฒนาการของการเมืองภาคประชาชน การต่อสู้ของชาวเมียนมายังคงเป็นแนวโน้มขาขึ้นในภาพรวม
“ถ้าเรานึกถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในเมียนมา มันเกิดขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1988 ปรากฏการณ์ 8888 วันที่ 8 เดือน 8 ปี 88 เราเห็นการลุกขึ้นฮือครั้งแรกของมวลชนนักศึกษา จุดจบของการชุมนุมครั้งนั้นคืออะไร ความพ่ายแพ้ นักศึกษาถูกปราบ ถูกขับออกมาจากพื้นที่ แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มอื่น ๆ ด้วย จากนั้นเราเห็นการกลับไปของกลุ่มนักศึกษาในการไปผลักดันพรรคการเมืองที่พวกเขาต้องการ และประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แม้ว่าจะถูกปราบในระยะต่อมาในเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เราก็เห็นการขยายตัวของพันธมิตรของกลุ่มนักศึกษาไปยังกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มอื่น ๆ ไปยังพันธมิตรที่อยู่นอกประเทศ เพื่อน ๆ ของเขาที่ลี้ภัยออกนอกประเทศ มันเป็นเครือข่ายแบบที่เราไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
บทสนทนากับอ.กนกรัตน์ รวมถึงตัวอย่างทั้งหมดที่ยกมาเพิ่มเติมนี้ ชวนให้เรามองเห็นว่า ช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน หรือ Silence Period เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนที่กระตือรือร้นในการสร้างการเปลี่ยนแปลง (Active Citizen) ใช้เวลานี้พัฒนากลยุทธ์ สร้างเครือข่ายและรากฐานที่มั่นคง เปลี่ยนความโกรธแค้นของสาธารณชนที่เกิดขึ้นชั่วครู่ให้กลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยั่งยืน
“ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 เราเห็นเลยว่าเทรนด์การขยายตัวของแนวคิดเสรีนิยมโลก มันเติบโตแบบ Increasing Trend (แนวโน้มขาขึ้น) ตลอด แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่า โห จังหวะนี้พรรคอนุรักษนิยมยึดรัฐบาลทั่วยุโรป แต่เรารู้เลยว่า มันคือการต่อสู้และประลองกำลังกันตลอดเวลา และมันก็มีการขยายตัวของแนวคิดแบบเสรีนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ”
แต่ความหวังในความเงียบงัน และจังหวะทองของ Silence Period ไม่ได้เป็นของฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะแม้แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมหรือเผด็จการก็ใช้ช่วงจังหวะเวลานี้ในการปรับตัวเพื่อกลับมามีอำนาจอยู่ตลอด
หากมองปรากฏการณ์การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เราจะเห็นว่าฝ่ายริพับลิกันใช้ช่วงเวลาแห่งความเงียบได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่น้อยเลยทีเดียว ในขณะที่พรรคเดโมแครตครองอำนาจและกำหนดวาระแห่งชาติ ฝ่ายขวากำลังวุ่นอยู่กับการสร้างสิ่งที่เรียกกันว่าประชานิยมปีกขวา ผ่านทั้งสื่อและเครือข่ายชาวอเมริกันรากหญ้าทั่วประเทศ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอำนาจทางการเมืองไม่ได้หมายถึงแค่การชนะการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานอย่างอดทน และมีกลยุทธ์ในการสร้างขบวนการในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะพ่ายแพ้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี บทความนี้อยากจบด้วยความหวัง
เมื่อการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชนล้มเหลวหรือถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ประชาชนจำนวนมากอาจรู้สึกสิ้นหวัง แต่แก่นของ Silence Period หรือช่วงเวลาแห่งความเงียบงันทางการเมือง ชวนให้เรามองเห็นว่า
หากเข้าใจ เราอาจมองเห็นว่า ช่วงเวลาแห่งความเงียบมีประโยชน์ต่อขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะทุกความพยายามที่แม้ดูเหมือนจะเล็กน้อย กลับเป็นส่วนสำคัญของการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอด เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองแห่งอนาคตอย่างเงียบ ๆ เพื่อช่วยให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาที่ใช่ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชนอย่างทรงพลัง