Reading Time: 3 minutes
2568 ปีที่คำว่า “ถ้วนหน้า” ยังไม่ถึงมือคนทั้งประเทศ
3,078 บาท คือเส้นความยากจนใหม่ของประเทศไทยในปี 2568 พูดโดยง่ายคือ ใครที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่านี้ คือคนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ประเทศนี้ยังมีคนจนกว่า 3 ล้านคน และคนจนรุนแรงอีกกว่า 8 แสนราย แต่ในรัฐธรรมนูญที่เรายึดถือร่วมกัน สิทธิทางสังคมกลับถูกเขียนไว้เป็นเพียง “หน้าที่ของรัฐ” ซึ่งจะทำ หรือไม่ทำก็ได้
นี่คือภาพตั้งต้นของ “ความไม่ถ้วนหน้า” ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ในประเทศที่เศรษฐี 40 อันดับแรกถือครองทรัพย์สินกว่า 28 บาทในทุก 100 บาทของความมั่งคั่งทั้งประเทศ และในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 100 บาท มีเพียง 15 บาท ที่เป็นสวัสดิการของประชาชน 66 ล้านคน ซึ่งมีส่วนแบ่งเท่ากับงบสวัสดิการของข้าราชการ 5 ล้านคนในประเทศ
นี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดทางเทคนิค แต่คือ ภาพสะท้อนเชิงโครงสร้างของรัฐ ที่รัฐที่ยังไม่เข้าใจคำว่า “ถ้วนหน้า” อย่างแท้จริง
ประเทศที่ยังไม่ถ้วนหน้า
เวทีเสวนาว่าด้วย “รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า” นักกิจกรรมและนักวิชาการหลายคนตั้งคำถามว่า เราอยู่ตรงไหนในเส้นทางนี้ “เส้นความยากจนขยับขึ้น แต่เส้นชีวิตของคนจำนวนมากกลับไม่ขยับตาม”
นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ จากขบวนการ We Fair ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อเส้นความยากจนอยู่ที่ 3,078 บาท คนชราที่ได้เบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท ย่อมต่ำกว่าเส้นจนถึงห้าเท่า” ภายใต้ระบบเช่นนี้ ความเหลื่อมล้ำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนบางกลุ่ม “ขยันน้อยกว่า” แต่มันฝังอยู่ในโครงสร้างที่เลือกว่าจะช่วยใคร และไม่ช่วยใคร ระบบราชการที่ยังจัดสรรงบประมาณแบบ “แบ่งตามสถานะ” มากกว่า “แบ่งตามความจำเป็น” คือภาพสะท้อนของรัฐที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “บางชีวิตมีค่ากว่าบางชีวิต”
“ค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการเฉลี่ยหัวละสองหมื่นบาท แต่ของประชาชนอยู่ที่สามพันกว่า”
ไผ่ – วีแฟร์ ยกตัวเลขบนเวที ก่อนจะเว้นจังหวะนิ่ง เหมือนให้ผู้ฟังคิดเองต่อ
“เราจึงต้องพูดคำว่า ‘ถ้วนหน้า’ ไม่ใช่แค่พูดคำว่า ‘สงเคราะห์’ ”
รัฐสวัสดิการที่แท้จริง ไม่ใช่การโยนเศษสตางค์ให้คนจน แต่มันคือการยอมรับว่าความมั่นคงในชีวิตคือ “สิทธิ์ขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไม่ว่าคุณจะจน รวย แก่ หรือพิการ
สิทธิ์ที่ (เพียงแค่) เขียนไว้ แต่ใช้ไม่ได้จริง
ปิยบุตร แสงกนกกุล เล่าย้อนกลับไปถึง “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เปลี่ยนสิทธิของประชาชนให้กลายเป็น ‘หน้าที่ของรัฐ’ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้” คำพูดนี้คือแผลใหญ่ในโครงสร้างการเมืองไทยเพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่เอกสารกฎหมาย แต่คือสัญญาร่วมกันของประชาชนว่า “เราจะปกป้องกันและกันอย่างไร” แต่ในประเทศไทยสิทธิเหล่านั้นกลับกลายเป็นข้อความที่รอ “การตีความของรัฐ” อยู่เสมอ
ปิยบุตรเล่าว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศประกาศชัดในรัฐธรรมนูญว่า “รัฐของตนคือ Social State” คือรัฐที่ยึดหลักความเท่าเทียม ความเป็นพี่น้อง และการพึ่งพาอาศัยกันในสังคม แต่ไทยเพียงแค่ “ลอกโครง” ใส่คำสวย ๆ อย่าง “สิทธิ์ได้รับบริการทางการแพทย์” ลงในหมวดสิทธิ์ โดยเว้นช่องให้กฎหมายลูกมาตัดตอนภายหลัง
“เขียนไว้กว้าง ๆ ว่ามีสิทธิ์ได้รับบริการสาธารณสุขโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แล้วค่อยไปเขียนในกฎหมายลูกว่าจำกัดเฉพาะผู้ยากไร้”
ปิยบุตรพูดชัดเจนว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การไม่มีสิทธิ์ในรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การ ทำให้สิทธิ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงไม่ได้
เขาสรุปในช่วงท้ายว่า
“รัฐธรรมนูญสำคัญ แต่ไม่พอ ต้องมีพรรคการเมืองที่ผลักดันต้องมีขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนที่กดดันและต้องมีการต่อสู้ทางความคิดที่ทำให้รัฐสวัสดิการกลายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้”
การเมืองประชาธิปไตยสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
รศ. ดร. เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ชี้ว่า การต่อสู้เรื่องรัฐสวัสดิการในไทย “ก้าวกระโดด” หลังปี 2563 ช่วงที่ขบวนประชาธิปไตยบนท้องถนนเริ่มพูดถึงคำว่า “รัฐสวัสดิการ” อย่างเปิดเผย
เก่งกิจเล่าประสบการณ์ทำงานกับเครือข่ายบำนาญว่า สิบปีก่อน คำว่ารัฐสวัสดิการยังเป็นคำที่คนไม่กล้าใช้ด้วยซ้ำ เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องซ้ายสุดโต่ง แต่หลังปี 2563 แนวคิดนี้กลายเป็น “ฉันทามติใหม่” ในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่เริ่มเข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ได้จบที่คูหาเลือกตั้ง แต่ต้องขยายไปสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ คือความเท่าเทียมในการเข้าถึงชีวิตที่มั่นคง
“คุณจะพูดเรื่องความเท่าเทียมในระบอบประชาธิปไตยได้ยังไงในเมื่อคนหนึ่งมีเงินในบัญชีห้าหมื่น ส่วนอีกคนมีห้าร้อยล้าน”
เก่งกิจเรียกสิ่งนี้ว่า “โครงสร้างปีศาจ” ระบบที่ทำให้คนต้องช่วยเหลือตัวเองในขณะที่รัฐยืนดูอยู่ห่าง ๆ
บนเส้นทางนี้ เขาชี้ว่า “พรรคการเมือง” คือด่านสำคัญที่ยังไม่เปิด “หลายพรรคพูดเรื่องสวัสดิการ แต่ไม่มีใคร ‘ลงทุนทางการเมือง’ กับมันจริง ๆ” เพราะการผลักดันรัฐสวัสดิการไม่ใช่แค่การเพิ่มงบ แต่มันคือการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของรัฐและทุน และนั่นคือสิ่งที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ “ไม่กล้าแตะ”
แรงงานไร้เสียง-แบ่งแยก รัฐสวัสดิการที่ไม่มีวันเป็นเรื่องของทุกคน
ผศ. ดร. กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ จากเครือข่ายแรงงานตั้งคำถามบนเวทีเดียวกันว่า ในเมื่อคนทำงานนอกระบบมีมากกว่าครึ่งประเทศ เหตุใดระบบสวัสดิการจึงยังออกแบบเพื่อคนในระบบเท่านั้น ในประเทศไทย สหภาพแรงงานที่จดทะเบียนมีสมาชิกไม่ถึง 3% ของแรงงานทั้งหมด และระบบประกันสังคมยังจำกัดสิทธิ์เฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบจ้างงานชัดเจนแรงงานรับจ้างรายวัน แม่ค้ารถเข็น ฟรีแลนซ์ หรือไรเดอร์ ล้วนอยู่นอกกรอบพวกเขาจ่ายภาษีทางอ้อมทุกวัน แต่ไม่เคยได้สิทธิ์ตอบแทนในฐานะ “ผู้ร่วมสร้างเศรษฐกิจ”
“โครงสร้างแบบนี้ทำให้แรงงานถูกทำให้มองไม่เห็นและเมื่อแรงงานไม่ถูกเห็น รัฐก็ไม่จำเป็นต้องตอบสนอง”
เขาเสนอให้ขบวนการแรงงาน “ขยายคำว่าแรงงาน” จาก “ผู้ใช้แรงในโรงงาน” ไปสู่ “ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ” เพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานร่วมกัน จากประกันสังคมถ้วนหน้า ถึงบำนาญถ้วนหน้า
นี่คือหัวใจของแนวคิด “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” เพราะถ้าแรงงานยังถูกแยกเป็นกลุ่ม ๆ การเรียกร้องรัฐสวัสดิการก็จะไม่มีวันเป็นเรื่องของทุกคน
การเมืองแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
อ. สุนีย์ ไชยรส หนึ่งในนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่อยู่กับประเด็นนี้มายาวนาน พูดสั้น ๆ ว่า ประเทศไทยติดกระดุมเม็ดแรกผิด เราเลือกสงเคราะห์ก่อนเลือกศักดิ์ศรี
เธออธิบายว่า รัฐไทยยังมองคนจนเป็น “ผู้รับการช่วยเหลือ” มากกว่า “เจ้าของสิทธิ์” การออกแบบนโยบายจึงเต็มไปด้วยคำว่า “สำหรับผู้ยากไร้” “สำหรับผู้พิการ” “สำหรับกลุ่มเปราะบาง” แต่ไม่เคยใช้คำว่า “สำหรับทุกคน” ซึ่งนั่นคือรากที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมกลายเป็น ระบบปกติ
“รัฐสวัสดิการไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณ มันคือเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
เธอพูดชัด และมันคือประโยคที่กลายเป็นหมุดหมายของเวทีเสวนาฯในครั้งนี้
‘ประชาธิปไตย’ คือเงื่อนไขของรัฐสวัสดิการ
ทั้งนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ไผ่-วีแฟร์ และปิยบุตร ต่างย้ำว่า “รัฐสวัสดิการไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีประชาธิปไตย” เพราะทุกนโยบายสวัสดิการสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่ประกันสังคมปี 2533, บัตรทอง 30 บาทปี 2545, การศึกษาฟรี, จนถึงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ล้วนเกิดขึ้นในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
“ก่อนหน้านั้น เบี้ยยังชีพเรียกว่า ‘เบี้ยอนาถา’ เพราะมันไม่ใช่สิทธิ์ แต่เป็นทานจากรัฐ” ไผ่ วีแฟร์ ย้ำบนเวที
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คำว่า “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ไม่ใช่แค่แนวคิดสวยหรู แต่มันคือโครงสร้างที่ทำให้ “สิทธิทางสังคม” เป็นจริงได้ เมื่อรัฐมาจากเสียงของคนส่วนใหญ่ มันย่อมต้องตอบสนองต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ด้วย
ปีแห่งการรณรงค์รัฐธรรมนูญ สนามนี้ที่ประชาชนต้องเข้าไปยืน
ในช่วงท้ายของเวที ปิยบุตรพูดถึง “โอกาส” ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า เมื่อประเทศจะมีการลงประชามติว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขาเรียกช่วงเวลานั้นว่า “หนึ่งปีทองของการรณรงค์”
“อย่าให้เป็นปีแห่งการเมืองของนักเลือกตั้งเท่านั้น แต่ให้เป็นปีแห่งการเมืองของประชาชน”
เขาชี้ว่า สนามรัฐธรรมนูญครั้งใหม่นี้ คือพื้นที่สำคัญในการผลักดันให้ “สิทธิทางสังคม” กลายเป็น “สิทธิตามรัฐธรรมนูญจริง ๆ” ไม่ใช่เพียงข้อความในหมวด 4 ที่รอให้ใครมาทำให้เป็นจริง เพราะถ้าประชาชนไม่เข้าไปเขียนกติกาเอง รัฐสวัสดิการก็จะยังเป็นเพียง “โครงการ” ที่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อย ๆ ตามรัฐบาล แต่ไม่เคยกลายเป็น “สัญญาร่วมกันของสังคม”
“จากสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ เราต้องทำให้มันเป็นไปได้ และสุดท้ายต้องทำให้มันเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้” ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าว
ถ้วนหน้า = สังคมที่มองเห็นกันและกัน
รัฐสวัสดิการถ้วนหน้าไม่ใช่เพียงนโยบายมันคือ กระบวนการของการเห็นคุณค่ากันและกันในฐานะพลเมืองเท่ากัน คือการที่รัฐไม่ปล่อยให้ใครตกหล่นไม่ว่าเขาจะอยู่ในระบบหรืออยู่นอกระบบ ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เพราะความเคารพ
ในประเทศที่งบประมาณของประชาชน 66 ล้านคน เท่ากับงบสวัสดิการข้าราชการ 5 ล้านคน
ในประเทศที่คนทำงานครึ่งประเทศยังอยู่นอกระบบ
ในประเทศที่เด็ก 0–6 ปีเกือบล้านคนตกหล่นจากเงินอุดหนุน
และผู้สูงอายุสิบสองล้านคนได้เพียง 600 บาทต่อเดือน
คำว่า “ถ้วนหน้า” จึงไม่ควรเป็นแค่คำขยาย แต่ควรเป็น “สัญญารัฐ ประชาชน” ที่ต้องเกิดขึ้นจริง
หากย้อนไปดูตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา เราอาจพูดได้เต็มปากว่าประเทศไทยมี “โครงการสวัสดิการมากมาย” แต่ยังไม่มี “ระบบสวัสดิการที่แท้จริง” เราอาจไม่จนลง แต่เราก็ไม่มั่นคงขึ้น เราอาจเข้าถึงบริการบางอย่างได้ แต่ยังต้องอ้อนวอนขอรับสิทธิ์ที่ควรเป็นของเราแต่แรก รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า จึงไม่ใช่คำแฟชั่นของภาคประชาสังคม แต่มันคือเงื่อนไขเดียวของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย
เพราะในวันที่สิทธิทุกคนได้รับการคุ้มครอง นั่นคือวันที่รัฐเข้าใจคำว่า “ศักดิ์ศรี” และประชาชนเข้าใจคำว่า “รัฐของเรา” อย่างแท้จริง