Reading Time: 5 minutes
ในสังคมโตเดี่ยว ‘เวลา’ มีราคาที่สูงลิ่ว
ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองในยามเช้า 6 นาฬิกาที่ร้านรวงของคนหาเช้ากินค่ำเริ่มออกเดินทางเพื่อหารายได้แต่ละวัน ในถนนพระราม 3 ซอย 29 ประตูเหล็กกำลังถูกเลื่อนออกที่หน้าบ้านสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูแดง เพื่อต้อนรับเด็ก ๆ จากผู้ปกครองที่อาศัย หรือทำงานในแถบนี้ ระหว่างที่คนเป็นพ่อ-แม่ ต้องออกไปเป็นคนทำงานในทุกวัน
ครูแดง-ศรัญญา เข็มแก้ว ครูใหญ่และผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูแดง เปิดสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้มาแล้ว 20 ปี ต้นตอปัญหาสำคัญที่ครูแดงมองเห็น คือ “เวลา” ของพ่อแม่กลายเป็นของแพงในสังคมโตเดี่ยว
ครูแดง-ศรัญญา เข็มแก้ว ครูใหญ่และผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูแดง
“แรกเริ่มเราเป็นครูอนุบาลที่โรงเรียนวัดน้ำดอกไม้ แล้วเด็กอนุบาลจะเลิกเรียนเร็วแต่ผู้ปกครองหลายคนเขายังไม่สามารถมารับได้เพราะติดงาน ก่อนหน้านี้เด็กเขาก็จะรอพ่อแม่จนกว่าจะมารับ ซึ่งเราเห็นแล้วบางทีเขาก็อยู่ไม่เป็นที่ กลัวจะเกิดอันตราย เราก็เลยเปิดเหมือนห้องเรียนพิเศษไว้สำหรับพ่อแม่ที่จะมารับลูกหลังเลิกงาน”
สถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูแดงรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไปจนถึงก่อนเข้าอนุบาล แต่ที่บ้านครูแดงก็มีเด็กที่อายุน้อยกว่าและมากกว่านั้นเข้ามาอาศัยในระหว่างวันเนื่องจากภาระของแต่ละครอบครัวที่แตกต่างกันไป โดยสามารถจ่ายค่าดูแลได้ทั้งแบบรายวัน รายครึ่งเดือน และรายเดือน เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละครอบครัวที่เข้ามา
ครูแดง เล่าต่อว่า “การที่เรามาเปิดบ้านไม่ใช่ว่าเราจะกอบโกยอย่างเดียว เพราะเราเห็นปัญหาแล้วว่าในครอบครัวสังคมเมืองมันมีปัญหาทั้งเรื่องเวลา ทั้งเรื่องการหาเงิน มันต้องมีจุดตรงกลางที่คนที่เข้ามาทำหน้าที่นี้สามารถเลี้ยงชีพได้ ในขณะที่พ่อแม่ก็อุ่นใจที่การเงินก็คล่องตัวแต่ลูกก็ยังได้ฝึกพัฒนาการไปด้วย มันมีอีกหลายโซนในกทม. ที่ไม่มีใครมาแก้ปัญหาเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือแต่ละครอบครัวก็พบปัญหาการเงิน ในขณะที่เด็ก ๆ ก็ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต”
ปัจจุบัน สังคมไทยมีเด็กอายุ 0-6 ปีทั่วประเทศประมาณ 4 ล้านคน แต่ศูนย์เด็กเล็กภาครัฐทั่วประเทศที่มีอยู่ 50,000 แห่ง (แบ่งเป็น อปท. ประมาณ 19,000 แห่ง, กทม. 200 กว่าแห่ง, โรงเรียนอนุบาลของกระทรวงศึกษาฯ 30,000 แห่ง และหน่วยงานราชการอื่น ๆ) สามารถรองรับเด็กได้เพียง 2.2 ล้านคนเท่านั้น ทำให้มีเด็กอีกประมาณ 2 ล้านคนไม่ได้อยู่ในระบบการดูแลของรัฐ
ปัญหาเล็ก ๆ ของเด็กเล็กที่ถูกมองข้าม คือต้นตอปัญหาใหญ่ที่เกิดเป็นปัญหาหลายประการเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น
โดยเฉพาะในย่านเมือง รวมถึงย่านพระราม 3 แม้จะเป็นศูนย์กลางของเมืองในปัจจุบัน มีห้าง มีออฟฟิศบนตึกสูงมากมาย แต่ในมุมเดียวกัน ย่านแห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยและที่ทำงานของแรงงานรายวันจำนวนมาก ทั้งวินมอเตอร์ไซค์ พนักงานโรงงาน หรือกระทั่งหาบเร่ขายของ สิ่งที่เกิดขึ้นคือระหว่างวันคือช่วงเวลาทำมาหากินของหลายครอบครัว แม้กระทั่งบุตรหลานจะเลิกเรียนแล้วก็ยังไม่สามารถมารับได้ ครูแดงจึงเห็นปัญหานี้และอยากจะอุดรูรั่วของสังคมโตเดี่ยวที่ตนได้เห็น
การเลือกจุดทำเลที่บ้านขนาด 2 คูหาในซอยแห่งนี้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันครูแดงยังเช่าอาศัยอยู่ ก็มาจากลักษณะสังคมของเมืองโตเดี่ยวโดยเฉพาะในย่านนี้ แม้จะเป็นใจกลางเมืองแต่ก็ประกอบไปด้วยแรงงานหาเช้ากินค่ำจำนวนมากที่เวลาที่จะใช้กับครอบครัว โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกจึงกลายเป็นของแพงสำหรับคนเหล่านี้
“ผู้ปกครองที่เข้ามาหาเรามีหลายแบบ หลายอาชีพ ไม่ใช่แค่คนรายได้น้อยแต่หลาย ๆ คนที่ดูมีรายได้มากพอที่จะไปฝากเลี้ยงที่เนอสเซอรี่แพง ๆ ก็มาหาเรา ซึ่งมันทำให้เห็นความจำเป็นของสถานรับเลี้ยงเด็กที่ต้องขยายให้ได้ทุกจุดในเมือง เพราะไม่ว่าตรงไหนก็มีพ่อแม่ที่ยังต้องไปทำงานแต่ไม่สามารถพาลูกไปด้วยได้ ในขณะเดียวกันพ่อแม่ไม่สามารถจะลางานเพื่อมาเลี้ยงลูกได้”
“ในสังคมโตเดี่ยวที่มันผลักให้คนไม่มีเวลา บางคนโชคดียังมีตายายช่วยดูแล บางคนไม่ แต่วัยเด็กมันมีได้แค่หนเดียวไง มันชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยจำเป็นจะต้องมีพื้นที่เหล่านี้ ที่เข้าถึงได้ เข้าถึงง่าย บริการดี เพื่อให้ผู้ปกครองไม่เหนื่อยจากการเป็นแรงงาน และไม่เหนื่อยจากการเป็นพ่อแม่ อีกมุมหนึ่งคือเด็กเล็กจะต้องไม่ถูกละเลยจากการดูแล ซึ่งหากแต่ละมุมเมืองมีพื้นที่เหล่านี้จะสามารถอุดรอยรั่วของสังคมไปได้มาก” ครูแดง กล่าว
เพราะวัยทองของเด็กเปราะบาง สวัสดิการเด็กเล็กจึงต้องหยืดยุ่น ครอบคลุม ถ้วนหน้า
หลังจากน้อง ๆ มากันครบในช่วงเวลาประมาณ 9 นาฬิกา การเรียนที่บ้านครูแดงจะเริ่มต้นขึ้น แต่การเรียนของที่นี่เป็นการเรียนแบบเล่น ๆ หมายความว่า ในช่วงปฐมวัยนี้เด็ก ๆ จะมีการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งทั้งในการฝึกอารมณ์ ฝึกพัฒนาการ ฝึกสัมผัส ซึ่งการเล่นจะทำให้เด็ก ๆ สร้างพัฒนาการของตัวเองได้ดีที่สุด
“เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เราต้องให้เขาได้สร้างพัฒนาการของเขา ผู้ใหญ่อย่างเรามีหน้าที่สร้างพื้นที่ให้เขาได้ลองมากกว่าที่จะบอกเขาว่าต้องทำหรือต้องเป็นอะไร” ครูแดงพูดพลางอมยิ้ม
ตลอด 20 ปีของการเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูแดง มีผู้ปกครองมาฝากบุตรหลานให้ครูแดงเลี้ยงดูในหลักร้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ครูแดงเห็นมาตลอด คือสวัสดิการเด็กเล็กทั้งในแง่กฏเกณฑ์และการปฏิบัติยังไม่เคยถ้วนหน้าอย่างจริงจังสักที
“สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเป็นเรื่องจำเป็นมาก โดยเฉพาะในมหานคร จริง ๆ แล้วมันสะท้อนว่าหากเราสามารถสร้างสวัสดิการให้เด็กทุกคนสามารถเติบโตได้ดี คนเป็นผู้ปกครองจะเหนื่อยน้อยลง จะมีเวลาเพื่อเลี้ยงดูลูกมากขึ้น แต่พอสวัสดิการเด็กเล็กมันยังเกิดขึ้นไม่ถ้วนหน้า สวัสดิการอื่น ๆ มันก็เหมือนถูกมองไม่เห็น เพราะต้นตอของปัญหาไม่ถูกจัดการในโครงสร้าง” ครูแดง กล่าว
ครูแป๊ะ-เจริญสมบัติ เข็มแก้ว สามีครูแดง
ปัญหาดังกล่าวสะท้อนด้วยภาพของสถานรับเลี้ยงเด็กแบบชุมชนที่มีจำนวนลดน้อยลงเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างเครือข่ายมากขึ้นในทุกวัน แต่ในความเป็นจริง การที่กลไกรัฐไม่สามารถสนับสนุนให้เกิดการอุดรอยโหว่เหล่านี้ ซ้ำร้าย หลายครั้งการเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กยังเข้าเนื้อและมีความเสี่ยงหลายประการ ทำให้การวางโครงสร้างเพื่อสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้ายังไม่สามารถเกิดขึ้นจริง
“เราเองก็เป็นประธานเครือข่ายบ้านร่วมพัฒนาเด็ก มันเห็นคนที่เขาสนใจในงานนี้นะ แต่ในการยืนระยะมันเป็นอีกเรื่องเลย มันไม่ใช่แค่เรารักเด็กแล้วจะทำได้ นอกจากการพัฒนาตัวเองเพื่อพัฒนาเด็กแล้ว มันคือการประคับประคองค่าใช้จ่ายอย่างไรไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บ แต่ว่าก็บาดเจ็บกันไปเยอะตั้งแต่โควิด ทำให้คนที่เข้ามาทำงานตรงนี้ก็ไม่มี การเข้าถึงเด็ก ๆ เพื่อดูแลวัยทองของพวกเขาก็ไม่เกิด” ครูแดง กล่าว
ประการแรก คือเรื่องพื้นที่และเงินทุน บ้านครูแดงเป็นบ้านเช่าหลังหนึ่ง แม้ครูแดงจะอยู่ในเครือข่ายชุมชนของมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ซึ่งพยายามวางโครงสร้างเพื่อช่วยเหลือสถานรับเลี้ยงเด็กตามชุมชนเมืองต่าง ๆ แต่การจะก่อตั้งได้จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนหนึ่ง โดยลักษณะของสถานรับเลี้ยงเด็กแบบบ้านครูแดง ถูกจัดอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กแบบเอกชน(บุคคล)
แม้ในมหานครจะเต็มไปด้วยชุมชนเล็กใหญ่ แต่ด้วยความเป็นสังคมโตเดี่ยว การต้องหาพื้นที่กลางเพื่อดูแลลูกหลายสำหรับพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานถือเป็นการอุดรอยรั่วของเวลาที่หายไปได้
ถึงอย่างนั้น การตั้งพื้นที่สถานที่รับเลี้ยงเด็กที่ใกล้ชิดกับชุมชน มักจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล(บ้านเช่า) เสียเป็นส่วนใหญ่ หรือกระทั่งสถานรับเลี้ยงเด็กหลายแห่งใช้พื้นที่บ้านตัวเอง ถึงอย่างนั้น ความชุมชนเมืองที่เป็นสถานะทางกายภาพที่ผู้คนมาอาศัยรวมกัน แต่ไม่ได้มีการจดทะเบียน การจัดตั้ง ทำให้ติดปัญหาสิทธิเหนือผืนดิน และการผูกการสนับสนุนเข้ากับข้อบัญญัติชุมชน ทำให้สถานรับเลี้ยงเด็กจำนวนมากเข้าไม่ถึงเงินทุนและการช่วยเหลืออื่น ๆ จากทั้งกทม. เองรวมถึงภาครัฐ
“ถ้าตอนที่เริ่มรีโนเวทที่นี่ใช้เงินไปประมาณ 200,000 บาท เพราะเราต้องจัดทำบ้านใหม่ให้ดูสะอาด ซ่อมนู่นนี่ ไม่นับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนทั้งค่าเช่าที่ ค่าบุคลากร ค่าน้ำ-ไฟ ค่าอาหาร ซึ่งตกเดือนละประมาณ 20,000-30,000 กว่า พอมันไม่มีเงินสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือทั้งในตอนตั้งต้นและยืนระยะ ทำให้สถานรับเลี้ยงเด็กใกล้ชุมชนเหล่านี้ปิดตัวลงไป”
พอรายจ่ายมากเข้าในแต่ละวัน ทำให้สถานรับเลี้ยงต้องรับเด็กจำนวนมากเพื่อให้พอกับรายจ่ายในแต่ละเดือน แต่สถานรับเลี้ยงประเภทนี้อยู่ภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์(พม.) และการรับเลี้ยงเด็กเกินจำนวน 6 คน จำเป็นจะต้องมีใบอนุญาต ซึ่งกระบวนการในการขอใบอนุญาตนั้นมีความยาก ทั้งในแง่การปรับปรุงมาตรฐานให้ตรงตามเกณฑ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งในการปรับปรุงเพื่อผ่านมาตรฐาน
“ตัวมาตรฐานของสถานรับเลี้ยงที่หลายคนทำตามได้ยากอย่างพวกการต้องติดแอร์ การติดประตูกั้น ซึ่งของเหล่านี้ใช้เงินเป็นหลักหมื่นนะ อย่างแต่ก่อนบ้านครูแดงก็เป็นประตูเหล็กกั้น แต่พม. มาตรวจและให้ติดเป็นประตูบานกระจก พอทีนี้บ้านตามเขตชุมชนเมืองมันจะเป็นตึกคูหาแบบบ้านเก่า ๆ มันเปลี่ยนครั้งหนึ่งมันใช้เงินประมาณครึ่งแสนให้เต็มบริเวณหน้าบ้าน คำถามคือเราจะเอาเงินมาจากไหน เพราะรายได้ต่อเดือนเมื่อถั่วเฉลี่ยก็มากอยู่แล้ว
ในส่วนนี้เราก็อยากให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสร้างบทบาทของการสนับสนุนมากขึ้น นอกจากการกำกับควบคุมแล้ว เพราะถ้าหน่วยงานรัฐกำกับควบคุมอย่างเดียวแต่ขาดการสนับสนุน การร่วมสร้างความช่วยเหลือจากประชาชนด้วยกันจะยิ่งลดน้อยลง” ครูแดง กล่าว
อีกข้อหนึ่งของความไม่ยืดหยุ่นจากสวัสดิการของรัฐ คือเกณฑ์การรับเด็กในสถานรับเลี้ยง แม้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา กทม. ปรับให้มีการรับเด็กอ่อนเข้าสถานรับเลี้ยงตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป แต่ครูแดงมองว่า เป็นเรื่องที่ดีแต่ยังไม่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ซึ่งอย่างการใช้เกณฑ์การรับเด็กอ่อนเข้ามานั้นปรับใช้ในทุกพื้นที่
“เราเปิดมาตั้งแต่สถานรับเลี้ยงจะรับเด็กได้ตอนอายุ 2 ปี 6 เดือน จนปรับมาเป็น 1 ปี จนกระทั่งล่าสุดคือ 3 เดือน แต่ที่ผ่านมาเราก็รับมาตลอดเพราะรู้สึกว่าพ่อแม่ก็ต้องจำเป็นไปทำงาน แต่เด็กเหล่านี้จะอยู่กับใคร?
การปรับลดอายุรอบล่าสุดเป็นเรื่องดีมาก เพราะก่อนหน้านั้นเราเห็นปัญหาว่าหลังจากแม่คลอดลูกออกมาแล้วจะได้สิทธิลาคลอดแค่ 90 วัน ที่ผ่านมามันมีคำถามว่าแล้วช่วงเวลาหลังจากนั้นใครดูแลเด็ก ซึ่งช่วงวัยนี้ถูกมองข้ามมาตลอดทั้ง ๆ ที่วัยเด็กอ่อนหรือ 3 เดือน – 5 ขวบ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชี้วัดต่อพัฒนาการของเด็กได้เลย”
รวมถึงปัญหาของเวลาที่หายไปในสังคมโตเดี่ยว ที่สถานรับเลี้ยงเด็กต้องมีระยะเวลาเปิด-ปิดที่ยืดหยุ่น โดยปกติแล้วสถานรับเลี้ยงเด็กของบ้านครูแดงจะเปิดทำการในเวลา 07.00-17.30 ซึ่งแต่ละที่จะมีปรับเปลี่ยนไปบวกลบประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ในชุมชนเมืองหลายคนคือการที่เวลาแทบทั้งวันถูกใช้ไปกับการทำงาน โดยเฉพาะการทำโอทีที่ดูเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานไปแล้ว จากเดิมวันละ 8 ชั่วโมงก็ทบไปเป็น 10-12 ชั่วโมง
“อย่างของที่บ้านครูแดงคือเรากล้าพูดเลยว่าพ่อแม่ทุกคนต้องทำโอที เพราะเป็นพนักงานโรงงาน หรือถ้ารับจ้างทั่วไปก็ต้องตามแต่ลูกค้าจะเรียกใช้ สถานรับเลี้ยงเด็กจะเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นที่ช่วยแก้ไขปัญหาสวัสดิการถ้วนหน้าได้”
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมโตเดี่ยวในยุคสมัยปัจจุบัน ครูแดงมองเห็นว่าเด็กจำนวนมากกำลังอยู่ในสภาวะออเทียม หรือสมาธิสั้น ซึ่งปัญหานี้เกิดจากการที่พ่อแม่อาจไม่ได้มีเวลาดูแลมากนัก ทำให้ฝากลูกไว้กับยูทูป มือถือ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการเด็กชัดเจน ปัญหานี้ไม่ได้สิ้นสุดคือการที่เด็กอ่านออก เขียนช้า แต่ยังส่งผลต่อทักษะการสื่อสารของเขาไปจนโต
“หลายบ้านที่นำลูกมาฝากไว้กับเรา แรก ๆ เราปรับตัวหนักมากเพราะเด็กเขาก็จะชินแบบหนึ่ง กลายเป็นเข้าสังคมยาก เรียกหาแต่มือถือ สถานรับเลี้ยงเด็กมันเลยไม่ได้เป็นแค่ฝากให้ใครดูแลลูกหลายระหว่างวัน แต่มันคือคำถามว่าสังคมจะร่วมสร้างเยาวชนให้เติบโตมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพได้อย่างไร แล้วเราจะเรียกร้องให้พวกเขาต้องเป็นคนแบบนั้น คนแบบนี้ แต่ในวัยเด็กถ้าเราไม่ได้สนับสนุนเขาเลย มันก็ย้อนแย้งกัน” ครูแดง กล่าว
เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ‘ใช้คนทั้งหมู่บ้านก็ไม่พอ’ หากไร้สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า
บ้านครูแดงถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพ ไม่เพียงแต่การดูแลที่มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญที่เด็กในช่วงวัยนี้ควรได้เรียนรู้ แต่ยังทำให้เห็นการบูรณาการของหลายภาคส่วนในการร่วมสร้างประชากรคุณภาพขึ้นมา
ครูแดงยังมีอีกบทบาทหนึ่งนั่นคือ ประธานเครือข่ายบ้านร่วมพัฒนาเด็ก ภายใต้การ ซึ่งบ้านครูแดงก็เป็นอีกหลังหนึ่งในโครงการนี้ แม้เราจะต้องการให้เกิดสถานรับเลี้ยงเด็กเพื่อรองรับหลายครอบครัวที่จำเป็นต้องทำงานหนักและไม่สามารถอยู่กับลูกหลายได้ตลอดทั้งวัน แต่หากไม่มีโครงสร้างที่จะทำให้การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งมีความแข็งแรง การพัฒนาของเด็กก็จะไม่ต่อเนื่อง และกลายเป็นหลักค้ำที่โอนเอียงไม่แน่นอน
“การสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งหนึ่งมันเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุนแต่มันคือ การสะสมองค์ความรู้ในการสร้างพัฒนาการเด็กคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันทำคนเดียวไม่ได้ จะผลักภาระไปให้พ่อแม่ให้มีเวลาเพิ่มก็ไม่ได้ จะโยนงานมาที่สถานรับเลี้ยงอย่างเดียวก็ไม่ถูก ในขณะที่เราไม่สามารถรอภาครัฐจัดสรรสวัสดิการให้ครอบคลุม มันจำเป็นต้องมีเบาะรองรับที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยเลี้ยงเด็ก” ครูแดง กล่าว
เครือข่ายบ้านร่วมพัฒนาเด็ก เป็นโครงการภายใต้มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ซึ่งสถานรับเลี้ยงเด็กในโครงการมีราว ๆ 130 หลัง กระจายตามเขตชุมชนของเมืองโดยเฉพาะจุดของประชาชนที่รายได้ต่ำเพื่อสถานรับเลี้ยงเด็กในโครงการเข้าถึงกลุ่มครอบครัวเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
ครูแดงเล่าว่า เครือข่ายนี้ประกอบไปด้วยผู้คนที่เดิมเป็นชาวบ้านรับจ้างเลี้ยงเด็ก มีแต่ไกวเปลให้กิน นอน ไม่มีกิจกรรม มีบ้านแต่ขาดคุณภาพ หรือบางบ้านแม่ผูกขาเด็กไว้เอาอาหารกลางวันมาให้กิน ซึ่งฉายภาพให้เห็นว่า อาชีพนี้มีความจำเป็นต่อสังคมเมือง แต่การจะเข้าถึงสถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชนหรือของรัฐ อาจติดทั้งเงื่อนไขทางเวลา ค่าใช้จ่าย การสร้างเครือข่ายโดยคนในชุมชน ให้สถานรับเลี้ยงใกล้ชิดกับชุมชน จะเป็นทางออกที่ทำให้เกิดเครือข่ายและพัฒนาเยาวชนได้อย่างต่อเนื่อง
การสร้างเครือข่ายบ้านร่วมพัฒนาเด็ก ทำให้ยังเห็นตัวเลขของการเข้าช่วยเหลือที่ยังเข้าไม่ถึง สะท้อนถึงพื้นที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเขตคนจนเมืองที่ทำให้โครงการยังร่วมกันสร้างเครือข่ายเพื่อให้ความช่วยเหลือนี้เข้าถึงเด็กได้อีกจำนวนมาก
“มีหลายคนเหมือนกันที่เขาทำอาชีพนี้เป็นการหากิน แต่อาจจะยังไม่มีความรู้ ไม่มีมาตรฐานที่ถูกต้อง มันเลยเป็นการสร้างเบาะรองรับขึ้นมาของเครือข่ายฯ ว่าเขาก็สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ในขณะที่ส่วนเว้าแหว่งของสังคมก็ได้รับการเติมเต็ม คำว่าเครือข่ายจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการรวมกลุ่ม แต่หมายถึงการใช้ผู้คนเป็นโครงสร้างเบาะรองรับของประชาชนด้วยกันเอง”
ครูแดงเล่าเสริมว่า เด็กอ่อนในพื้นที่ที่เมืองมองไม่เห็นคือคนจนเมืองยังมีอีกมาก การเข้าถึงเด็กเหล่านี้ยังหมายถึงการได้พูดคุยกับครอบครัวของเด็ก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องทำให้พวกเขามองเห็นว่าการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพยังสามารถเข้าถึงได้
การทำงานของเครือข่ายฯ ไม่เพียงแต่พัฒนาศักยภาพของคุณครูประจำแต่ละบ้าน ในแต่ละปีจะมีการอบรมสถานประกอบการแต่ละหลังเพื่อให้เห็นจุดอ่อน-จุดแข็ง วิธีการทำงาน และศักยภาพของพื้นที่ เพื่อส่งเสริมแต่ละจุดอย่างเป็นระบบ อีกประการที่สำคัญคือการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่ด้วย ไม่ใช่แค่การปรับตัวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่รวมถึงการลบความเชื่อเก่า สร้างความหวังใหม่ให้กับพ่อแม่ยุคใหม่ด้วย
อลงกรณ์ ชยานุกูล คุณพ่อลูก 4 หนึ่งในผู้ปกครองที่มาฝากบุตรหลายไว้กับบ้านครูแดงไว้ถึง 4 รุ่นแล้ว เล่าให้ฟังว่า การเป็นพ่อแม่คนเป็นเรื่องยาก การมีเบาะรองรับสำหรับผู้ปกครองจะเป็นการช่วยเหลือได้มากในวันที่ภาระต่างมีมากมายบนบ่า
อลงกรณ์ ชยานุกูล
“ตอนมีลูกคนแรกต้องฝากเลี้ยงไว้ที่ต่างจังหวัด และมาทำงานกรุงเทพฯ เพราะว่าถ้าเอาลูกมาด้วยก็กังวลอีกว่าลูกจะอยู่กับใคร แต่พอมีลูกคนที่สองก็ค่อนข้างเครียดว่าจะฝากไว้ที่ไหน ประกอบกับมีข่าวที่สถานรับเลี้ยงเด็กทำร้ายร่างกายเด็ก จนกระทั่งมาเจอบ้านครูแดง แรก ๆ เราก็ฝากเลี้ยงเป็นรายอาทิตย์ แต่ช่วงหลังมาเราก็มั่นใจว่าเขาสามารถเสริมสร้างพัฒนาการลูกเราได้ ก็เลยฝากไว้จนตอนนี้คนที่ 4 แล้ว”
อลงกรณ์ เล่าว่า หากเป็นพ่อแม่ที่รายได้น้อยจะไม่ค่อยคาดหวังกับสวัสดิการรัฐ นอกจากเข้าถึงยาก บริการไม่ดี หลายคนจึงเลือกหาเงินไว้ให้มาก ๆ และนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่ไว้ใจ แต่ยิ่งนานวันเข้า ช่วงเวลาที่ใช้กับลูกยิ่งลดน้อยลง การมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่สามารถให้ค่าบริการ ช่วยเหลือกันในหลายด้าน ทำให้เริ่มแบ่งเวลาอย่างเป็นระบบเพื่อใช้เวลาในการเสริมสร้างพัฒนาการของลูกและยังสามารถทำงานเพื่อหาเงินได้ในเวลาเดียวกัน
“อย่างที่บ้านครูแดงจะมีการเรียกประชุมอยู่เรื่อย ๆ ทั้งแบบคุยกันรวมและคุยแยก ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ปัญหาของพ่อแม่คนอื่น ๆ ที่สะท้อนปัญหาของตัวเรา บางทีมันก็ได้พูดคุยกัน บางทีก็ได้วิธีการใหม่ ๆ ในการเลี้ยงลูก ในวันที่รัฐอาจจะไม่ได้เห็นเรามากขนาดนั้น แต่เรายังเห็นกันเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันขยายใหญ่เป็นเครือข่ายที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอะไรบางอย่าง เพราะเสียงของพวกเรามากขึ้น”
“บางหลังก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ คือฝากเลี้ยงเลย ฝากดูแล จนลืมไปว่านี่เป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะฉะนั้นแล้วสถานรับเลี้ยงเด็กที่ดีสำหรับเราคือที่ ๆ ช่วยเรามองเห็นและทำได้จริงเกี่ยวกับพัฒนาการของลูกเรา เพราะสุดท้ายเราเองนี่แหละที่จะเป็นตัวแปรสำคัญว่าเด็ก ๆ เขาจะเติบโตมาเป็นยังไง” อลงกรณ์ กล่าว
เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้านก็ไม่พอ หากไร้สวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าที่ทำให้เห็นว่า การเลี้ยงเด็กไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทั้งสังคมว่าจะสร้างคนแบบไหนขึ้นมาในอนาคต
‘มีลูกเมื่อพร้อม’ จะหายไป ถ้าสังคมไทยมีสวัสดิการถ้วนหน้า
หนึ่งในคำถามที่มักปรากฏขึ้นบนโลกปัจจุบัน คือการตั้งคำถามต่อผู้มีรายได้ต่ำกับการมีลูกสักคนหนึ่ง ว่าถ้าหากทรัพยากรและฐานะทางสังคม ทางเศรษฐกิจไม่พร้อม กลายเป็นสังคมตัดสินว่ากลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ควรจะมีลูก
แต่ในช่วง 5 ปีหลัง สภาวะที่คนไม่อยากมีลูกมีจำนวนมากขึ้น ยิ่งสะท้อนสภาพสังคมทั้งไทยและทั่วโลก ว่าท่ามกลางโลกที่โกลาหล การมีประชากรเพิ่มขึ้นในครัวเรือนกลายเป็นความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อสภาวะประชากรขาดแคลนในหลากมิติ
ครูแดงตั้งคำถามกลับกัน คำว่า มีลูกเมื่อพร้อมจะหายไป หากสังคมมีเบาะรองรับที่ชื่อสวัสดิการให้กับคนที่ได้ชื่อพ่อ-แม่
“แม้สถานรับเลี้ยงของเราจะมีราคาถูก แต่ก็มีคนทุกกลุ่มเข้ามาฝากลูกไว้กับเรา มีทั้งต่างชาติที่เป็นครูสอนภาษา ทั้งแรงงานข้ามชาติที่ได้ค่าจ้างรายวัน มีพนักงานออฟฟิศเงินเดือนครึ่งแสนที่ทำงานในย่านนี้รวมถึงพนักงานโรงงานที่ต้องทำโอทีเกินครึ่งวัน”
“แต่ทั้งหมดนี้มันประกอบไปด้วยผู้ปกครองหลายแบบ ทั้งพ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว คุณแม่วัยใส ผู้เสพสารเสพติด มันทำให้เราเห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ยังไม่พบเบาะรองรับให้กับคนทุกกลุ่ม หลายบ้านที่ต้องแยกทางกันกลายเป็นผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยวเราก็เจอเหตุผลว่าเวลาที่หายไปในสังคมโตเดี่ยวทำให้คนไม่เข้าใจกันมากขึ้น คุณแม่วัยใสที่เจอปัญหาครอบครัวมาตั้งแต่เด็กและเกือบจะส่งต่อปัญหานี้ให้ลูก ซึ่งสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าจะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าการจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ดีได้ ครอบครัวต้องมีเบาะรองรับ พ่อแม่ต้องไม่ทำงานหนักมากไป สวัสดิการของเด็กเล็กคือเบาะรองรับที่จะโอมอุ้มคนทั้งสังคมและมองเห็นปัญหาที่มันเป็นอยู่” ครูแดง กล่าว
ในช่วงวัยเด็กของครูแดง ครูแดงเคยจมน้ำและเกือบเสียชีวิต หลังจากรอดวันนั้นมาได้ ครูแดงก็ตั้งใจจะช่วยเหลือคนอื่นจากที่ตัวได้มีชีวิตรอด และเมื่อโตขึ้นครูแดงก็พบว่ายังมีอีกหลายคนที่แม้ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์จมน้ำเหมือนตน แต่สภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจ อาจทำให้มีชีวิตรอดได้ยาก
“การเป็นพ่อแม่คนไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะลูกคนที่เท่าไหร่เราก็ยังมีความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่ครั้งแรกเสมอ ขนาดเรามีความรู้ ความเข้าใจ หรือพอจะเข้าถึงทุนทรัพย์บ้างเรายังรู้สึกว่ายากเลย แล้วพ่อแม่หลาย ๆ คนที่เขามีน้อยกว่าเรา เราเข้าใจเลยว่ามันต้องขวนขวายขนาดไหน บางทีเขาแค่ต้องการแสงจุดเล็ก ๆ ให้เขาคลำทางได้ต่อ สิ่งที่เราพยายามผลักดันทั้งสวัสดิการที่ทำการโครงการ ทั้งการช่วยเหลือชุมชน มันก็เหมือนกัน แต่พอแสงหลายดวงมารวมกันมันก็สว่างขึ้น เราเชื่อว่าสวัสดิการมันก็เป็นแบบนั้นนะ มันต้องทำไปพร้อม ๆ กัน”
คำว่า ‘มีลูกเมื่อพร้อม’ จึงไม่ใช่แค่คำแนะนำเชิงศีลธรรม แต่เป็นผลผลิตของสังคมที่ผลักภาระทั้งหมดไปให้ปัจเจกแบกรับลำพัง
ความพร้อมถูกทำให้แคบลงเหลือเพียงเงิน เวลา และทรัพยากรของครอบครัวเดียว โดยไม่เคยมองว่าการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่งคือเรื่องของสังคมทั้งสังคม เมื่อพ่อแม่ต้องวิ่งแข่งกับปากท้อง ทำงานหนักเกินกำลัง ความไม่พร้อมจึงไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคล หากคือความล้มเหลวของโครงสร้างที่ไม่เคยจัดวางเบาะรองรับได้ครอบคลุม
สวัสดิการถ้วนหน้าจึงไม่ใช่การสงเคราะห์คนมีลูก แต่คือการยอมรับความจริงว่าเด็กทุกคนควรเริ่มต้นชีวิตบนเส้นฐานที่ใกล้เคียงกัน การมีศูนย์เด็กเล็กที่เข้าถึงได้ เงินอุดหนุนที่เพียงพอ การลาคลอดที่ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเลือกระหว่างงานกับลูก ล้วนเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดชีวิตใหม่ ไม่ใช่เพื่อลบความรับผิดชอบของพ่อแม่ แต่เพื่อไม่ให้ความยากจน ความเปราะบาง หรืออุบัติเหตุทางชีวิต กลายเป็นเครื่องจองจำเด็กตั้งแต่ยังไม่ทันได้เลือกอะไรด้วยตนเอง
เมื่อสังคมมีสวัสดิการเป็นฐาน สิทธิของเด็กจะปลี่ยนความหมายและนำไปสู่การตั้งคำถามร่วมกันว่า เราจะช่วยกันดูแลเด็กคนหนึ่งให้เติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร เพราะในโลกที่ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่มีใครพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้คนกล้าตัดสินใจมีลูกที่จะกลายเป็นประชากรที่ร่วมกันพัฒนาสังคมในอนาคต ไม่ใช่ความมั่นคงของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือความเชื่อว่าหากล้ม จะไม่ตกลงไปในความว่างเปล่าเพียงลำพัง