‘อาหารปลอดภัย’ แค่สโลแกน(?) ถ้า Traceability ไม่มีอยู่จริง
Reading Time: 4 minutes“อาหารไม่ปลอดภัย ไม่ใช่อาหาร” แล้วเราจะไว้ใจอาหารบนจานเราได้แค่ไหน เพราะการปนเปื้อนที่พบเจอยังไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
“ตอนนี้คนมองว่าอาชีพนักเขียนเริ่มต้นง่าย ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากสมอง แล้วถ้าฟลุ๊คอาจทำรายได้จากนิยายไม่ใช่แค่หลักแสน แต่เป็นหลักล้าน ไม่ใช่นักเขียนไส้แห้งเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่เป็นอาชีพที่หาเลี้ยงตัวเอง ผ่อนบ้านผ่อนรถได้เลย เผลอ ๆ ยังต่อยอดเอาไปสร้างละครได้อีก คนเลยมาทำอาชีพนักเขียนมากขึ้น”
Bittersweet นักเขียนนิยาย/ซีรีส์ชื่อดังเรื่อง SOTUS ให้ความเห็นต่อปรากฏการณ์ความสำเร็จของอาชีพนักเขียนนิยายออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว วงการนี้จะหวานชื่นหรือขื่นขมแค่ไหน ไปฟังเรื่องเล่าจากคนวงใน ทั้งฝั่งนักเขียน บุญญานี จงทวีพรมงคล และ Bittersweet รวมทั้งฝั่งของแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ กิตติพงษ์ แซ่ลิ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ กวิตา พุกสาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอรี่ล็อก จำกัด ผู้ดูแลแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ธัญวลัย
เริ่มต้นจากกรณีศึกษาของ หนูแดง-บุญญานี จงทวีพรมงคล นักเขียนนิยายออนไลน์ที่มีผลงานกว่า 100 เรื่อง เพื่อดูแนวทางในการสร้างรายได้แบบมืออาชีพ โดยก่อนหน้าที่จะประสบความสำเร็จในจุดนี้ เธอเริ่มต้นด้วยการโพสต์นิยายตามเว็บบอร์ดนิยายที่ชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น ค่ายเด็กดีหรือแจ่มใส เพื่อทดลองนำเสนอการเขียนของตัวเอง ต่อมาจึงมีโอกาสตีพิมพ์รวมเล่มกับสำนักพิมพ์และเริ่มมีรายได้จากอาชีพนักเขียน
โดยงานเขียนของหนูแดงเป็นแนวนิยายวาย (Yaoi) เน้นแนว Boy love หรือความสัมพันธ์โรมานซ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย โดดเด่นด้วยเส้นเรื่องในโลกแฟนตาซี จากการเผยแพร่งานมาระยะหนึ่งทำให้เธอค่อย ๆ มีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้น แต่ช่องทางการขายกลับเป็นไปได้ยาก เพราะในช่วงยุค 2000s นิยายวายยังไม่เป็นที่ยอมรับจากสำนักพิมพ์กระแสหลัก โอกาสการได้ตีพิมพ์จึงมีอย่างจำกัด เธอจึงต้องมองหาช่องทางในการขายหนังสือด้วยตัวเอง ทั้งหนังสือทำมือที่ทำเองขายเอง และต่อมาจึงเริ่มทดลองขายในรูปแบบอีบุ๊ก (Electronic book)
“ตอนที่อีบุ๊กเริ่มเข้ามาราวปี 2554-2555 ตอนนั้นนักเขียนแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมองว่าอีบุ๊กอยู่ได้ไม่นานหรอก เพราะเป็นเรื่องใหม่มาก จับต้องไม่ได้ แต่มีนักเขียนอีกกลุ่มหนึ่งที่เริ่มเอางานไปลงขาย ปรากฏว่าบูม รายได้เยอะมาก ตอนนั้นกระแสวายมันมาแบบใต้ดิน ถ้าบนดินที่ตีพิมพ์วางขายจะถูกจำกัดเรท แต่พอมันลงดินปุ๊บมันเขียนอะไรก็ได้ที่เราอยากเขียน แม้ว่างานเราจะไม่ได้โป๊ แต่พล็อตก็ค่อนข้างแปลก สำนักพิมพ์ไม่พิมพ์แน่นอน เราเลยหันมาทำเล่มเหมือนเปิดพรีออเดอร์ได้สองสามเรื่อง แล้วลองไปทำอีบุ๊กกับเม็บ (MEB) และเจ้าอื่น ๆ จากนั้นเลยลองขายเป็นตอนที่รี๊ดอะไรต์ (readAwrite)“
หลังจากลองผิดลองถูกอยู่ระยะหนึ่ง ผลตอบรับจากการขายนิยายรายตอนที่รี๊ดอะไรต์ในช่วงแรกของหนูแดงเป็นไปค่อนข้างดี ในเดือนแรกเธอมีรายได้ประมาณสามหมื่นบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขายหลายเรื่องและเป็นเรื่องที่เคยดังมาก่อน เธอวางแผนการขายที่ตอนละ 3 บาท หรือ 3 เหรียญ มีส่วนแบ่งให้แพลตฟอร์มเหรียญกว่า ๆ โดยนักเขียนจะได้ตอนละประมาณสองบาทกว่า โดยส่วนใหญ่ระบบการแบ่งรายได้ระหว่างแพลตฟอร์มกับนักเขียนจะแบ่งเปอร์เซ็นต์กันที่ 30/70
นอกจากนั้นยังมีรายได้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ในแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์รี๊ดอะไรต์จะมีระบบ Donate ที่คนอ่านสามารถบริจาคเงินสนับสนุนให้นักเขียนเพื่อเป็นกำลังใจ โดยมีสัดส่วนรายได้ระหว่างแพลตฟอร์มกับนักเขียนที่ 10/90 หรือระบบสนับสนุนของแพลตฟอร์มธัญวลัยที่มีทั้งแบบติดเหรียญ ให้ดาว และใช้กุญแจเพื่อปลดล็อก โดยมีสัดส่วนรายได้ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้รายได้ของนักเขียนอาจถูกหักเพิ่มเติม ในกรณีหักค่าบริการผ่านช่องทางจ่ายเงินของผู้ให้บริการ (Gateway) โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4%
จากประสบการณ์ของหนูแดง เธอวิเคราะห์เพิ่มเติมถึงแผนการขายนิยายออนไลน์ ที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมที่ต่างกันระหว่างกลุ่มคนอ่านอีบุ๊ก และนิยายรายตอน โดยเธอสังเกตว่ากลุ่มที่ซื้ออีบุ๊กมีพฤติกรรมในการซื้อเพื่ออ่านจริง ๆ หรือแก้ปัญหาในการจัดเก็บหนังสือเล่ม นอกจากนั้นราคาของอีบุ๊กยังถูกกว่าหนังสือเล่ม ส่วนคนที่ซื้อนิยายรายตอนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ชอบทดลองอ่านบางตอนก่อน ถ้าถูกใจค่อยซื้ออ่านทั้งเล่มในรูปแบบอีบุ๊ก หรืออาจจะเป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ทุนทรัพย์จำกัด อาศัยเติมเงินวันละบาทสองบาทเพื่อทดลองอ่านก่อนตัดสินใจซื้อ
ด้วยพฤติกรรมการซื้อที่หลากหลายของผู้อ่าน ทำให้นักเขียนจำเป็นต้องมีเทคนิคในการขายนิยายรายตอนรวมทั้งอีบุ๊กในหลายรูปแบบ ยิ่งเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ยิ่งจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ในการขายและสร้างฐานแฟนคลับในระยะยาว เพราะการแข่งขันในตลาดคอนเทนต์ปัจจุบันนั้นเข้มข้นอย่างยิ่ง นักเขียนจึงต้องใส่ใจในแผนการขายและการสื่อสารกับคนอ่าน เช่น การขายตอนพิเศษ หลังจากลงนิยายทั้งเรื่องจบแล้ว หรือให้อ่านฟรีก่อนครึ่งเรื่อง แล้วหลังจากนั้นถึงจะเริ่มติดเหรียญในการตั้งราคาขาย ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ไม่มีสูตรสำเร็จ นักเขียนนิยายออนไลน์จึงต้องเป็นทั้งครีเอทีฟและมาร์เก็ตติ้งให้ครบจบในตัวเอง
ปัจจัยภายนอกอย่างหนึ่งที่ส่งผลกับการแข่งขันของตลาดนิยายออนไลน์ คือปรากฏการณ์ที่ทำให้วงการนี้เติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นคือการล็อกดาวน์อยู่กับบ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะผู้คนที่เบื่อหน่ายเริ่มหันมาหาความบันเทิงจากนิยายออนไลน์เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้นักเขียนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ตบเท้าเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะประสบผลสำเร็จและมีรายได้มากมายเท่าที่หวัง
“ด้วยความที่นักเขียนมันเกิดขึ้นมาง่าย แล้วบูมมากช่วงโควิด เพราะนักเขียนกระโดดมาทำกันเยอะมาก มีการแคปรายได้มาโชว์กันว่าเดือนนี้ได้เป็นหลักแสนหลักล้าน พอมีคอนเทนต์เยอะมาก ๆ ปัญหาจะไม่ใช่กรณีปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่จะเป็นปลาเล็กกินปลาช้า”
หนูแดงสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น โดยอธิบายเพิ่มเติมคำว่าปลาเล็กกินปลาช้าว่า เมื่อมีนักเขียนและงานเขียนจำนวนมาก แพลตฟอร์มจำเป็นต้องมีอัลกอริทึมเพื่อรันให้เห็นผลงานของทุกคน ดังนั้นเองสิ่งที่เกิดขึ้นคืองานเขียนจะมาไวไปไว คนที่ลำบากคือนักเขียนระดับกลาง ๆ ที่มีฐานแฟนคลับน้อย พองานมีคนอ่านน้อยจึงทำให้นักเขียนท้อแท้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยืนระยะภายใต้สถานการณ์ที่มีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันในลักษณะนี้
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากความเห็นของ Bittersweet นักเขียนนิยายออนไลน์ และเจ้าของนิยาย/ซีรีส์ชื่อดังเรื่อง SOTUS โดยปัจจุบันเธอได้พัฒนาไปสู่การเขียนบทซีรีส์ นอกจากนั้นงานเขียนเรื่อง SOTUS ยังถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศอีกหลายเวอร์ชัน และต่อยอดเป็นมังงะในเวอร์ชันญี่ปุ่นและเกาหลี แม้ว่า Bittersweet ยังคงทำงานเขียนออนไลน์อยู่ แต่เน้นไปที่งานเขียนบทมากกว่า สำหรับมุมมองต่อสถานการณ์ในวงการนักเขียนออนไลน์ เธอได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานในการตั้งราคาขายนิยาย ซึ่งนำไปสู่การตัดราคากันเองในวงการนักเขียน ซึ่งเข้าข่ายของสิ่งที่เรียกว่า “ปลาเล็กกินปลาช้า” อย่างชัดเจน
“ตอนนี้มันไม่มีสแตนดาร์ด ถ้าอยากได้เงินเร็ว ๆ ก็พยายามกดราคาให้ต่ำ ๆ ติดเหรียญตอนละบาท หรือว่าขายนิยายเล่มละไม่ถึงร้อย เพื่อให้คนมาซื้อเยอะขึ้น ทำให้คนอ่านเคยชินว่านิยายก็ราคาประมาณนี้แหละ แค่เล่มละ 89 บาท กับจำนวนหน้าประมาณ 200 หน้า แต่จริง ๆ ราคามันถูกเกิน เมื่อก่อนที่ทำกับสำนักพิมพ์ยังมีมาตรฐานราคาอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่มี สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักเขียนหน้าใหม่ที่ไม่มีฐานแฟนคลับ เลยต้องยอมตัดราคาตัวเอง เพื่อให้ขายได้ และให้นักอ่านรู้จักไปก่อน แต่มันจะทำให้ราคาทั้งหมดของนิยายในแพลตฟอร์มออนไลน์ถูกลง ทำให้นักอ่านไปกดราคาของนักเขียนอื่น ๆ ด้วย”
นอกจากนี้ Bittersweet ได้ฝากความเห็นเพิ่มเติมไปยังแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ว่า ในส่วนของการหักเปอร์เซ็นต์จากนักเขียนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่คิดว่าแพลตฟอร์มควรให้โอกาสคือพื้นที่สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ๆ เพราะเป็นเรื่องยากสำหรับนักเขียนโนเนมที่จะสร้างฐานแฟนคลับ เมื่อเทียบกับนักเขียนที่มีชื่ออยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าสิ่งที่แพลตฟอร์มจะเอื้อให้ได้มีหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะอัลกอริทึมที่ช่วยให้นักอ่านได้เห็นผลงานของนักเขียนหน้าใหม่ได้มากขึ้น
เมื่อทดลองสุ่มความเห็นจากผู้อ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของนิยายออนไลน์อย่าง ซาร่าห์ ซึ่งเป็น Gen X ที่มีกำลังซื้อ เธอให้ข้อมูลว่ามีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันในการลดราคา เนื้อหาที่สนุกจนได้รับคอมเมนต์จากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ไปจนถึงการซื้ออีบุ๊กยังสามารถนำไปลดภาษีได้ด้วย แต่เธอค่อนข้างให้น้ำหนักกับเนื้อหาที่มีคุณภาพ และหมวดหมู่หนังสือที่จัดเป็นอันดับท็อปในหน้าแรกของแพลตฟอร์ม
“ดูที่ความสนุกเป็นหลัก ถ้าทดลองอ่านแล้วถูกจริตก็สั่งซื้อเลย ที่สำคัญคือดูได้ว่ามีใครซื้อไปเท่าไหร่แล้ว และคอมเมนต์ว่ายังไง การมีคอมเมนต์มีการติดหัวใจต่าง ๆ ช่วยในการตัดสินใจซื้อด้วย อย่างเรื่อง “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ที่ตอนนี้เป็นละคร ราคาแพงอยู่นะ แต่สนุกก็ซื้อ แล้วบางทีจัดโปรฯ ราคาก็ลดลงอีก แต่บางทีจำกัดเวลา คนไหนแฟร์ ๆ ก็จัดเดือนนึง แต่ส่วนใหญ่จะจัด 7 วัน ”
ลูกค้าที่เทิร์นจากหนังสือเล่มสู่วงการอีบุ๊กอย่างเต็มตัวแบบซาร่าห์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ดึงดูดให้เธอตัดสินใจซื้อนิยายออนไลน์ นั่นคือความสะดวกในการโอนจ่ายผ่านช่องทางชำระเงินออนไลน์ที่มีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งมาพร้อมส่วนลดที่น่าพอใจ โดยเธอให้ข้อมูลว่าระยะแรก ๆ การซื้อจะเป็นระบบโอนจ่ายที่ผูกอยู่กับไม่กี่ธนาคาร ในการโอนยังมีความดีเลย์อยู่บ้าง แต่ระยะหลังได้พัฒนาขึ้นเป็นการโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ รวมทั้งมีระบบกระเป๋าเงินอิเล็กโทรนิกส์(E-wallet) และตัวเลือกอื่น ๆ เช่น การจ่ายเงินตามร้านสะดวกซื้อสำหรับคนที่ไม่มีแอปพลิเคชัน
“จริง ๆ เรามีทุกแพลตฟอร์ม แล้วแต่ละอันจะมีส่วนลดอีก อย่างช่องทางวอลเล็ตได้ส่วนลด 30 หรือ 20 บาท สมมติเล่มหนึ่ง 180 ลดอีกยี่สิบสามสิบ เราก็ซื้ออยู่แล้ว แล้วก็มีการพัฒนาให้ลิงก์กับไลน์หรือเฟซบุ๊กได้เลย รู้สึกโอเคกับการพัฒนาของแพลตฟอร์ม แต่ต้องดูให้ดี ๆ นะ คือจะมีทั้งโอนผ่านเว็บกับผ่านแอป ราคาจะไม่เท่ากัน ถ้าซื้อผ่านเว็บราคาจะถูกกว่า แล้วแต่ระบบปฏิบัติการของมือถือด้วย บางทีนักเขียนก็จะพยายามเตือนว่าให้ซื้อผ่านเว็บนะ ซื้อผ่านแอปราคามันแพง”
หลังจากฟังความเห็นของฝั่งนักเขียนและนักอ่านแล้ว มาดูมุมมองของแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์กันบ้าง ทั้งประเด็นที่นักเขียนยังมีความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน และประเด็นเรื่องอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มที่ส่งผลต่อการมองเห็นงานของนักเขียน รวมทั้งการแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อโปรโมทสินค้าของตัวเอง จนส่งผลต่อมาตรฐานราคาในภาพรวม
เริ่มกันที่เจ้าใหญ่สายอีบุ๊กอย่างแบรนด์ MEB และแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์รี๊ดอะไรต์ (readAwrite) ข้อมูลการเติบโตล่าสุดของแพลตฟอร์มในเครือ MEB ระบุว่ามีอีบุ๊กในระบบมากกว่า 100,000 เล่ม และยอดผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนสูงถึง 10 ล้านราย โดย กิตติพงษ์ แซ่ลิ้ม ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมของธุรกิจว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
“ภาพรวมยังมีรูมให้โตอยู่สำหรับประเทศไทย ยูสเซอร์เก่าที่มีอายุมากขึ้นแล้ว จากเดิมที่เคยอ่านหนังสือเริ่มเปลี่ยนมาเป็นอีบุ๊กหรืออ่านออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเด็กรุ่นใหม่ไม่ต้องพูดถึง เกิดมาก็คุ้นเคยกับหน้าจอ ดังนั้นเทรนด์ยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนจะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ช่วงโควิดที่บีบให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น ดังนั้นมองว่ายังเป็นขาขึ้นอยู่”
แต่ในท่ามกลางระบบนิเวศที่เอื้อให้วงการนิยายออนไลน์ไต่ระดับขึ้นไปอย่างสวยงาม ยังมีคำถามสำคัญว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายยังพอใจอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มนักเขียนที่มีทั้งประเภทติดลมบนไปแล้ว และกลุ่มที่เป็นมือกลาง ๆ หรือเพิ่งจะเข้าสู่วงการ ผู้บริหารเครือ MEB ยืนยันว่าแพลตฟอร์มยังคงใช้หลักการที่คำนึงถึงทุกฝ่ายแบบเดิม
“สิ่งที่เราทำคือเราให้โอกาสทุกคนเท่า ๆ กัน ไม่ว่าดังหรือไม่ดัง ใหม่หรือไม่ ถ้าหนังสือมาใหม่ก็จะได้อยู่ในหน้า New entry เหมือน ๆ กัน แล้วก็โดนดันไปเรื่อย ๆ เหมือนกันทุกคน ในรี๊ดอะไรต์จะมีหน้า “ใหม่มาแรง” คือเรื่องที่มีสถิติดีในรอบสองสัปดาห์ ซึ่งมีหลายปัจจัยผสมกันไม่ได้ดูแค่ตัวเลขยอดวิวอย่างเดียว แต่ไม่ว่ายังไง คือทุกคนอยู่ภายใต้อัลกอริทึมเดียวกัน แบนเนอร์เรามีการเปิดให้ส่งมาพิจารณา ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ส่งมาได้ แต่ล็อตมันมีจำกัด มันต้องเลือก แต่เราให้โอกาสคุณส่งมาได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้น้ำได้ปุ๋ยเท่ากัน บางต้นงอก บางต้นไม่งอก ซึ่งเราคุมไม่ได้”
ส่วนประเด็นในเรื่องของการโปรโมชันและการแข่งขันด้านการขาย กิตติพงษ์มีความเห็นว่านักเขียนมีอิสระที่จะวางแผนได้ โดยแพลตฟอร์มทำหน้าที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวก เน้นไปที่การพัฒนาระบบหลังบ้านให้ตอบโจทย์การใช้งานที่ง่ายและสะดวกที่สุดเป็นหลัก
“เราทำตารางของการโปรโมชันว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ จบวันไหน โดยพื้นฐานพวกผมเป็นคนขี้เกียจ เราจึงทำระบบให้นักเขียนสร้างเองได้เยอะ ๆ เราจะได้ไม่ต้องคอยติดต่อไป พอเค้าทำโปรโมชัน เท่ากับเราได้เค้ามาช่วยโปรโมทฟรี แทนที่เราจะเสียเงินไปให้เฟซบุ๊กช่วยทำการตลาดให้ ประหยัดไปได้เยอะ แค่มา DEV ระบบให้ใช้ง่าย ๆ ประหยัดคนที่ต้องมาคอยติดต่อด้วย ถ้าเขาขายได้เราก็ได้ด้วย เรามีกระทั่งระบบซัปพอร์ตให้ดาวน์โหลดพวกรูปต่าง ๆ ที่เอาไปใช้ได้เลย เราพยายามคิดว่าจะทำอะไรเพื่อให้นักเขียนนำไปใช้ให้ขายได้มาก ๆ แล้วทุกฝ่ายก็ได้มากขึ้นด้วย”
ในแง่การแข่งขันในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน กิตติพงษ์มีความเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งในตลาดเป็นเรื่องดี หากยืนอยู่บนการแข่งขันที่ช่วยขยายตลาดให้ใหญ่และคึกคักขึ้น แต่หากการแข่งขันที่สู้กันในแง่สงครามราคา อาจต้องถามหากติกาที่ชัดเจนในระยะยาว
“บริษัทต่างชาติบางแห่งอาจจะมีสัญญาหมกเม็ดบ้าง ผมมองว่าระยะยาวมันจะกลับไปทิ่มแทงตัวเอง ชื่อเสียงก็เสีย MEB พยายามจะไม่เล่นอะไรอย่างนั้น ไม่มองอะไรระยะสั้น อย่างคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามา นึกอะไรไม่ออกก็เล่น Price war สปอยล์ลูกค้า ทำตัวเหมือนเว็บขายอีคอมเมิร์ซ ตอนแรกก็ทำตัวเหมือนใจดีกับ Supplier แล้วหลัง ๆ ก็บีบเค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จะเอาอย่างนั้นเหรอ หรือสปอยล์คนอ่านด้วยการให้โค้ดลดเยอะ ๆ แล้วถ้านักอ่านเสพติดเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นเขาจะไม่ยอมจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผลอีกแล้ว”
สำหรับความเห็นของ กวิตา พุกสาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอรี่ล็อก จำกัด ผู้ดูแลแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ชื่อดังอย่างธัญวลัย เธอมองว่าความสามารถในการแข่งขันที่ต่างกันของนักเขียนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งทัศนคติของนักเขียนเองและบริบทที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม
“นักเขียนอาจจะต้องเผื่อใจเยอะนิดนึง ไม่รู้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมของเรารึเปล่า แต่เรามักคิดว่าจะถูกหวยน่ะ ทั้งความหมายโดยตรงและโดยอ้อม คืออาจจะมีคน 1% ที่เป็นแบบนั้นอยู่ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมใจยอมรับมาก ๆ ว่า สิ่งที่เราทำมันอาจจะไม่เวิร์กในช่วงแรก ๆ เราน่าจะต้องเตรียมใจสำหรับเกมยาว”
ส่วนประเด็นเรื่องอัลกอริทึมที่มีผลกับการมองเห็นผลงานของนักเขียนในหน้าแรกของแฟลตฟอร์ม และส่งผลต่อเนื่องถึงการขาย เธอให้ข้อมูลว่าอัลกอรึทึมเป็นเรื่องจำเป็นในการโชว์หน้าฟีดและจัดหน้าร้าน เพราะปริมาณนิยายของธัญวลัยมีมากกว่า 300,000 เรื่อง นอกจากนั้นยังเป็นงานหลังบ้านที่มีทั้งทำเองและใช้บริการจากบริษัทที่เป็นบุคคลที่ 3 (Third party service) เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่
“ดังนั้นเราไม่สามารถไป manipulate ในส่วนของอัลกอริทึมได้ ถ้านักเขียนกังวลว่ามันจะเป็นอย่างนี้รึเปล่า คำตอบคือมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ แล้วที่ยากคือเราไม่สามารถอธิบายเรื่องอัลกอริทึมให้ทุกคนเข้าใจได้ มันคือคณิตศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง”
โดยผู้บริหารแพลตฟอร์มธัญวลัยได้อธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า นอกจากปัจจัยในการคำนวณอัลกอริทึมจะขึ้นอยู่กับยอดการเข้าชมแล้ว ยังล้อไปกับแนวโน้มความนิยมในช่วงเวลานั้น (trending) และค่าเฉลี่ยของนักเขียนในหมวดหมู่นั้น ๆ ด้วย
“ถ้าให้อธิบายในมุมมองของตัวเอง คือ ยกตัวอย่างเช่น trending ในยูทูปคือช่วงนี้คนสนใจดูอะไร มันจะไม่ใช่ยอดสะสมตลอดกาล แต่เป็นยอด ณ ช่วงเวลานั้น เป็นความสนใจของผู้อ่านในช่วงเวลาหนึ่ง เทียบกับตัวเองในอดีต แล้วถูก normalize ด้วยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เหมือนตัดคะแนนอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม ดังนั้นถ้าอิงกลุ่มคือถ้าคุณคะแนนดีกว่าเพื่อน คุณจะได้ที่หนึ่ง แต่ถ้าอันนี้มันจะเทียบกับเพื่อนและเทียบกับตัวเองในอดีตด้วย สมมติมียอดวิวเมื่อวานเท่านี้ แล้ววันนี้มันเพิ่มมา 5 เท่า ก็มีแนวโน้มที่จะขึ้นเทรนดิ้ง แต่ก็ต้องเอาไปอิงกลุ่มด้วย”
กวิตาได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมต่อปัจจัยความสำเร็จอันดับแรกของนักเขียนนิยายออนไลน์ โดยมองว่านักเขียนออนไลน์ในปัจจุบันมีบทบาทเหมือนผู้ประกอบการ (entrepreneur) ควรหาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลด้านแนวเนื้อหา ไปจนถึงข้อมูลเชิงการตลาด ทักษะเหล่านี้คือต้นทุนสำคัญที่จะช่วยให้นักเขียนก้าวสู่การเป็นมืออาชีพอย่างยั่งยืน
โดยยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า แม้แต่ข้อมูลพื้นฐานของแพลตฟอร์มในเครือสตอรี่ล็อกยังมีความแตกต่างกัน เช่น การลงนิยายรายตอนใน Fictionlog เน้นที่นิยายแปลเป็นหลัก โดยเฉพาะนิยายจีน และเป็นคอนเทนต์จากมืออาชีพ (Professional generated content – PGC) มีกลุ่มเป้าหมายทั้งหญิงและชาย ซึ่งมีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ในขณะที่แพลตฟอร์มธัญวลัยคือนิยายที่ผู้หญิงอ่าน แบบที่ไม่ใช่นิยายแปล เป็นแนวที่เข้าใจง่าย เช่น ดราม่าหรือโรแมนติกคอเมดี้ ดังนั้นหากนักเขียนอยากผลิตงานที่ฮิตในแพลตฟอร์มธัญวลัย จำเป็นต้องหาข้อมูลว่ากลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ต้องการอ่านอะไร นี่คือตัวอย่างในการหาข้อมูลก่อนเขียนงานออกมา
“มันไม่มีหรอกที่อยู่ ๆ ก็ปิ๊งแว่บขึ้นมาแล้วเขียนได้เลย สุดท้ายก็ต้องเหนื่อยซักจุดอยู่ดี ดังนั้นคุณต้องหาข้อมูล ต้องพยายามอย่างยิ่งยวด ข้อสองคือต้องมีวินัย ไม่ได้หมายความว่าต้องตื่นมาตีห้าแล้วออกไปวิ่งเหมือนมูราคามิ แต่วินัยในที่นี้หมายถึง “พยายามเท่าที่จะทำได้ และทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน” สิ่งนี้น่าจะใช้ได้กับทุกงาน คือไม่มีคำพูดที่ดูคูลดูเก๋ เพราะสิ่งสำคัญจริง ๆ มันมักจะเป็นเรื่องธรรมดา”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอรี่ล็อก ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมในการอ่านของคนส่วนมากจะชอบเรื่องที่อัปเดตอย่างสม่ำเสมอ คาดเดาได้ว่าได้อ่านช่วงไหน จะจบเมื่อไหร่ และรู้ว่าราคาประมาณเท่าใด เช่น นักเขียนบอกว่าจะลงนิยายเรื่องนี้ทุกวันเวลาสองทุ่ม มีทั้งหมด 50 ตอน อาจจะมีตอนพิเศษอีกสองสามตอนในเวอร์ชันอีบุ๊ก แล้วราคาอีบุ๊กอาจจะราคาแพงกว่ารายตอน การสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยให้คนอ่านเตรียมตัวได้ ท้ายที่สุดแล้วเธอยังเชื่อมั่นว่านักเขียนทุกคนเลือกทำอาชีพนี้ด้วยใจรักเหมือนกันทั้งนั้น
“เชื่อว่าคนที่มาเป็นนักเขียน ทุกคนทำด้วยใจรัก ไม่รักไม่ทำ มันปวดหลังเนอะ มันเหนื่อย มันกินเวลาชีวิต บางทีคิดไม่ออก หรือบางคนถึงกับต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่คนเดียว เพราะต้องการสมาธิ ต้องการพื้นที่ในการทำงาน มันต้อง sacrifice ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจะไม่ตัดสินใคร เพราะไม่ว่างานเขียนของเขาจะเป็นยังไง ที่ยังทำอยู่ เขาต้องชอบสิ่งนั้นจริง ๆ”
ดูเหมือนว่าท่ามกลางความหอมหวานของรายได้ที่มากขึ้นกว่าในอดีต นักเขียนออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องทุ่มเททำงานหนักกว่าเดิม โดยนักเขียนออนไลน์ที่ยืนระยะมายาวนานอย่างหนูแดง ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ฝากไว้ว่า นักเขียนต้องเป็นกึ่ง ๆ อินฟลูเอนเซอร์จึงจะทำให้ผลงานอยู่ในความรับรู้ของคนอ่าน ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะคนอ่านไม่ได้มองเพียงแค่เนื้อหาในงานเขียน แต่มองที่ทัศนคติและแนวทางในการดำเนินชีวิตของนักเขียนที่เขาชื่นชอบ
“เมื่อก่อนจะมีคำพูดว่า เสพแต่งานเขียน อย่าไปดูตัวนักเขียน แต่มาถึงจุดหนึ่งต้องเปลี่ยน เราต้องสร้าง community แชร์เรื่องราวของเรา หรือเปิดคอร์สสอนฟรี ๆ บ้าง เพื่อที่ว่าเวลาเราออกงาน คนที่ชอบทัศนคติเราจะมาติดตาม หรือสำหรับนักเขียนอินโทรเวิร์ดอาจจะใช้อวตาร แอคหลุม เอาไว้พูดคุยกับแฟนคลับ คิดว่าต้องทำ เพราะนี่คือสิ่งสำคัญเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร เหมือนศิลปินน่ะ ที่แต่ก่อนค่ายจะทำให้ แต่ถ้าเราทำงานด้วยตัวเอง มันต้องทำตรงนี้”
ด้าน Bittersweet ให้คำแนะนำในการวางกลยุทธ์การขายซึ่งมีอยู่มากมายหลายสูตร โดยเธอให้ตัวอย่างเคล็ดลับ เช่น หากเป็นนิยายรายตอนอาจจะลงให้อ่านจนจบในเวลาจำกัด แล้วสื่อสารกับคนอ่านว่าหากพ้นช่วงเวลานี้จะเริ่มติดเหรียญ เทคนิคการเปิดให้อ่านฟรีแบบนี้จะช่วยเพิ่มยอดวิวให้สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อนิยายเมื่อเริ่มติดเหรียญ เพราะยอดวิวที่สูงการันตีได้ว่านิยายเรื่องนั้นน่าสนใจ
“ถ้านักเขียนดังมาก ๆ มีฐานแฟนอยู่แล้ว อาจจะใช้วิธีลงนิยายให้อ่านฟรีถึงแค่ 5 ตอน ที่เหลือติดเหรียญหรือแม้แต่กำหนดเวลาเอาไว้ เช่น เปิดฟรีสองวัน หลังจากวันนี้ติดเหรียญ โดยเฉพาะตอนที่มีเซ็กซ์ซีน คือขายดีมาก”
นักเขียนชื่อดังยังเสริมเทคนิคอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งในแง่ของครีเอทีฟและการตลาด เรื่องแรกคือต้องให้ความสำคัญกับความสวยงามของหน้าปก อาจต้องลงทุนจ้างนักวาดมืออาชีพเพื่อดึงดูดให้คนอ่านคลิกเข้ามาดู รวมทั้งใส่ใจกับคำโปรยบนปกที่เป็นจุดขายของนิยาย ส่วนการโปรโมทนิยายทำได้หลายช่องทาง นอกจากโปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ของนักเขียนแล้ว อาจต้องจ้างติ๊กต็อกเกอร์ที่มียอดผู้ติดตามสูงให้โปรโมทนิยายร่วมด้วย
ท้ายที่สุดแล้วนักเขียนอาจต้องหาสมดุลให้ได้ระหว่างความคิดสร้างสรรค์ และความอยู่รอดในฐานะแรงงานตัวเล็ก ๆ บนเงื่อนไขความเป็นจริงของตลาดทุนที่เชี่ยวกรากในปัจจุบัน ในประเด็นนี้ หนูแดงได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองว่าควรปล่อยพลังความสร้างสรรค์อย่างไร ให้สอดคล้องกับเทรนด์ของตลาด เธอยกตัวอย่างว่าในช่วงที่นิยายวายแนววิศวะและหมอกำลังเป็นที่นิยม ในขณะที่เธอต้องการสร้างสรรค์แนวทางที่ต่างออกไป แต่ยังคงเป็นนิยายวายที่คนอ่านติดตาม จึงนำเรื่องอิเหนามาเล่าใหม่ เป็นเรื่องจรกาคนงาม กลับชาติมาเกิด โดยเลือกนำเสนอในแนว comedy ผลปรากฏว่าบรรดาสาววายพากันจิ้นเรื่องอิเหนา จนทำให้เรื่องนี้ได้รับความนิยม
“นั่นคืออีกวิธีหนึ่ง คือเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน แต่ให้นำกระแส มองว่างานเขียนทุกชิ้นมันเป็นงานทดลอง คือนักเขียนบางคนอาจจะเขียนแนวเดิม แต่เราจะฉีกไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะดูความรู้สึกตัวเองก่อน ต้องเขียนแล้วสนุกไม่อยากหลับไม่อยากนอน แต่งานทดลองที่เราทำแล้วมันไม่ปัง ก็ต้องมูฟออนให้ไว ถ้าจะทำอาชีพนักเขียนก็ต้องทำความเข้าใจ จะทำให้คนอ่านมาชอบงานเราทุกชิ้นมันเป็นไปไม่ได้ ต้องมองให้ลึกว่างานนักเขียนต้องอดทนและมีวินัย เพราะมองจากตัวเองแล้ว ถ้าไม่อดทน มีวินัย ไม่รักมันจริง ๆ ก็คงยืนอยู่ไม่ได้จนถึงทุกวันนี้”