ขยายประเด็น
นวลน้อย ธรรมเสถียร
ปฏิกิริยาต่อปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาหนนี้ ทำให้เห็นชัดอย่างหนึ่งว่า กระแสชาตินิยมไทยนั้นปลุกได้ง่ายมาก
เราได้เห็นท่วงทำนองชาตินิยมที่ประกอบไปด้วยการทวงบุญทวงคุณ การตำหนิว่า เขมรแอบอ้างสมบัติ หรือมรดกทางวัฒนธรรม การปลุกประเด็นทวงคืนพื้นที่บางแห่ง การสนับสนุนการใช้กำลังตัดสินปัญหา และแน่นอนว่าเราได้เห็นความพยายามที่จะทำให้เสียงที่ “เห็นต่าง” เงียบลง บางทีด้วยการข่มขู่ บางครั้งด้วยความหยาบคาย ด้วยเฮทสปีชที่กำลังกลายเป็นความเคยชินของผู้ใช้โซเชียลไปแล้ว
ชาตินิยมอาจมีข้อดีในยามที่ต้องการการรวมพลังสู้ภัยคุกคาม แต่ถ้าไม่ระวังและปล่อยเลยเถิดมันก็อาจจะกลายเป็นภัยที่กัดกินตัวเอง ยังไม่นับว่ามันอาจทำลายโอกาสในการหาทางออกต่อความขัดแย้งแบบสันติ ผู้เขียนอยากจะเล่าเรื่องของชาตินิยมกับผลกระทบที่ฝากเอาไว้อย่างยาวนานในเรื่องหนึ่ง นั่นคือผลของการใช้แนวทางชาตินิยมที่มีส่วนอย่างสำคัญต่อปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ชาตินิยมที่จับต้องได้ง่ายสำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ คือผ่านเสียงเพลง หลายคนคงได้ยินเพลงเก่าที่นำมาร้องกันใหม่หลายเวอร์ชันอย่างเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” เพลงนี้อยู่ในกลุ่มเพลงปลุกใจที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองภายใต้อิทธิพลของกระแสชาตินิยมในยุคที่ จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เพลงนี้เป็นเพลงของคณะสุนทราภรณ์ซึ่งแปลงร่างมาจากวงโฆษณาการและทำหน้าที่ช่วยแปลงสารด้านนโยบายไปสู่การปลุกใจให้พลเรือนนำไปปฏิบัติตาม “บ้านเกิดเมืองนอน” เป็นเพลงที่ชนะการประกวดเพลงปลุกใจในปี 2488 เนื้อเพลงเรียกเร้าความภาคภูมิใจตั้งแต่คำแรก ๆ
“บ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่เหล่า พวกเราล้วนพงษ์เผ่าศิวิไลซ์ เพราะฉะนั้นชวนกันยินดี เปรมปรีดีใจเรียกตนว่าไทย แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาสเขา”
“ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร มอบความเป็นไทยให้พวกเรา แต่ครั้งนานกาลเก่าชาติเราเขาเรียกชาติไทย……”
ต้องขีดเส้นใต้คำว่า คนไทยเป็น “พงษ์เผ่าศิวิไลซ์” และที่ว่า “ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่”
จอมพล ป. หรือจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายทหารที่ชื่นชอบแนวคิดชาตินิยมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสโลกในเวลานั้นที่กำลังกระหึ่มไปด้วยลัทธิชาตินิยมที่เน้นผู้นำ และการทหาร ไม่ว่าจะในตะวันตกหรือตะวันออก ทั้งเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่นล้วนเป็นที่ที่ความคิดนี้เติบกล้ากลายไปเป็นระบบฟาสซิสต์ และเป็นฐานผลักดันให้สามประเทศนี้ทำสงครามโลกครั้งที่สอง
บรรยากาศโลกในเวลานั้นเป็นสถานการณ์ที่เห็นกันว่า กำลังทางทหารคือเงื่อนไขหลักที่จะทำให้ชาติบรรลุความฝันได้ ญี่ปุ่นนั้นขายฝันว่าเอเชียต้องเป็นของเอเชียเท่านั้น การรุกทางทหารของญี่ปุ่นในเอเชียเกิดขึ้นในจังหวะที่เยอรมันนีและอิตาลีเริ่มทำสงครามขึ้นในยุโรปและทำให้มหาอำนาจที่เป็นเจ้าอาณานิคมในเอเชียไม่มีเรี่ยวแรงพอจะปกป้องดินแดนของตนได้ ญี่ปุ่นเข้าจีนแสดงศักยภาพทางทหารสมกับที่เชื่อกันว่าญี่ปุ่นจะมาเป็นผู้ปลดปล่อยเอเชีย แรงผลักดันภายในของญี่ปุ่นคือลัทธิชาตินิยมอันแรงกล้าที่เชื่อในความเหนือกว่าของเชื้อชาติ และวัฒนธรรมของตน ซึ่งความคิดเช่นนี้โดยเนื้อหาแล้วไม่ต่างไปจากเยอรมันนี ภายใต้ฮิตเลอร์
แหล่งข้อมูลหลายแหล่งพูดไว้ตรงกันว่า ไทยนั้นใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอย่างเยอรมันนี และญี่ปุ่นคือโมเดลของชาติที่ขับเคลื่อนด้วยลัทธิชาตินิยมแรงกล้าชนิดที่บางแหล่งยกให้ว่าแนวคิดของญี่ปุ่นในยุคนั้น เป็นความคิดชาตินิยม และทหารนิยมแบบสุดโต่ง
ประเทศภายใต้รัฐบาลของ จอมพล ป. มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างไปในทิศทางสร้างเอกภาพความเป็นชาติผ่านแนวทางชาตินิยม สยามเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย มีการกำหนดธรรมเนียมปฏิบัติให้มีการยืนเคารพธงชาติ มีการประกาศใช้แนวทาง “รัฐนิยม” ซึ่งกล่าวได้สั้น ๆ ว่าเป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ให้ทุกคนเป็น “ไทย” และเป็นไทยแบบสากล หรือแบบสมัยใหม่ ต้องพูดภาษาไทยไม่พูดภาษาอื่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไม่ว่าจะชาติเชื้อใดถือว่าเป็นไทยทั้งสิ้น รัฐบาลบอกกับประชาชนว่า เราไม่มีมอญ ไม่มีจีน ไม่มีมลายูหรืออื่น ๆ มีแต่ไทย และทุกคนต้องมีชื่อไทย โรงเรียนสอนภาษาจีนจำนวนมากที่มีอยู่ในเวลานั้นถูกคุมกำเนิด ภาษาอื่น ๆ รวมถึงภาษาเหนือที่เป็นภาษาถิ่นของคนเฉพาะกลุ่มล้วนถูกลดทอนความสำคัญลง

อันที่จริงการพูด และเขียนภาษาไทยได้ดีย่อมเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะคนในสังคมเดียวกันต้องการภาษาที่ใช้สื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการอย่างอื่น ๆ แต่การห้ามเรียนหรือห้ามใช้ภาษาอื่นกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เพราะภาษาเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ของกลุ่มคน การกดทับภาษาอื่น ๆ จึงเท่ากับเป็นการกดทับอัตลักษณ์คนเหล่านั้น กลายเป็นการลบรากเหง้าของผู้คน นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลดำเนินการในลักษณะที่กลายเป็นการ “ลบ” อัตลักษณ์ของคนกลุ่มต่าง ๆ ออกไป
แนวทางรัฐนิยมนี้ใช่ว่าจะทำตามกันได้ง่าย ๆ เนื่องจากสวนทางกับพฤติกรรมความเคยชินทั่วไป และยังเพิ่มภาระด้านเศรษฐกิจ การกำหนดให้ประชาชนแต่งกายแบบสมัยใหม่ที่ “เป็นสากล” เช่น ใส่กางเกง กระโปรง หมวก ถุงเท้ารองเท้า ไม่นุ่งโสร่ง ไม่กินหมาก เลิกใช้โจงกระเบน หลายข้อแม้จะเป็นสิ่งที่ดีเช่นการสวมรองเท้า การปกปิดร่างกายให้สุภาพ แต่ปัจจัยเหล่านี้สำหรับคนยากจนนับว่า สวนทางกับสถานะทางเศรษฐกิจในเวลานั้น ที่สำคัญคือความคิดต่อเรื่องความสุภาพในการแต่งกายของผู้คนในแต่ละกลุ่มล้วนแตกต่างกัน
แม้ว่าในประกาศจะใช้คำว่า “แนวทาง” ก็จริง แต่เวลานำไปปฏิบัติมีสภาพกึ่งบังคับกลาย ๆ เช่นในพื้นที่ภาคใต้ มีความพยายามให้ข้าราชการสร้าง “แรงจูงใจ” ให้ประชาชนทำตามแนวทางรัฐนิยมนี้ด้วยการงดให้บริการคนที่ไม่ทำตาม ทางราชการยังขอความร่วมมือจากพ่อค้าไม่ให้นำผ้าโสร่งเข้าไปขาย มีรายงานว่าโรงงานเลิกทอผ้าโสร่ง (พุทธพล มงคลวรวรรณ: โสร่ง รัฐนิยมและความเป็นมาของโปสเตอร์แผ่นหนึ่ง, 2557)
งานเขียนที่ศึกษาเรื่องนี้อีกชิ้นหนึ่งระบุถึงกรณีที่ อดุลย์ ณ สายบุรี ผู้แทนนราธิวาสว่าเคยอภิปรายในรัฐสภาเมื่อปี 2487 เรื่องว่ารัฐบาลผลักดันประชาชนในพื้นที่มากเกินไปทำให้ไม่รู้สึกอยากเป็นคนไทย ทั้งนี้เพราะพี่ชายของเขาถูกจับเนื่องจากแต่งกายแบบมลายูเดินในตลาด (ปาตานีฟอรั่ม 20 ก.พ. 2019) พี่น้องตระกูล ณ สายบุรีนี้เป็นเชื้อสายของอดีตเจ้าเมืองสายบุรี แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดแรงเปรียบเทียบกับบุคคลธรรมดาจะยิ่งรุนแรงเพียงใด ผลอย่างหนึ่งของเรื่องนี้จึงทำให้ผู้คนในพื้นที่ต่อต้านสิ่งที่เป็นไทย และยิ่งหันหลังให้กับภาษาไทยทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ นอกจากนั้นยังทำให้ชาวบ้านไม่กล้าไปติดต่อกับราชการ ซึ่งแน่นอนว่ากระทบสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับราชการ ลดความเชื่อมั่นต่อระบบกลไกราชการที่ควรเป็นที่พึ่งของประชาชน
แม้แต่ในสังคมไทยทั่วไป แนวทางหรือข้อกำหนดนี้ก็เป็นการมองข้ามพฤติกรรมทั่วไปของประชาชนที่การใส่ผ้าถุง นุ่งผ้าขะม้า โพกศีรษะ เดินเท้าเปล่า กินหมาก ทูนของบนศีรษะ ฯลฯ เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่พฤติกรรมเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ดู “ล้าหลัง” ดังจะเห็นได้จากโปสเตอร์ที่ติดเผยแพร่แก่ประชาชนระบุชัดเจนว่าหากจะเป็น “ไทยอารยะ” จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการแต่งกาย อัตลักษณ์ใหม่ของความเป็นไทยที่รัฐบาลพยายามจะสร้างให้พลเมืองต้องมีนั้นจึงต้องมีความสากลและ “ศิวิไลซ์” ด้วยดังที่ปรากฏ”ในเนื้อเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” อัตลักษณ์ใหม่ไม่ใช่แค่เป็น “ไทย” เท่านั้น แต่ต้อง “ศิวิไลซ์” โดยมองเห็นได้ผ่านการใส่ถุงน่องรองเท้า กระโปรง กางเกงและหมวก เท่ากับว่าเรานั้นได้หมายตาไปที่ตะวันตกให้เป็นแม่แบบความ “ศิวิไลซ์” นั่นเอง
จอมพล ป. นั้น เป็นหนึ่งในนายทหารกลุ่มคณะราษฎรก็จริง แต่เป็นที่รู้กันว่า ภายในคณะราษฎรเอง สมาชิกได้แตกหน่อความคิดออกเป็นหลายกลุ่ม จอมพล ป. มีความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนายปรีดี พนมยงค์ และถ้าไปอ่านความคิดของปรีดีที่มีต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรีของ จอมพล ป. จะพบว่ามีความเห็นแย้งอย่างหนักมากในเรื่องที่ จอมพล ป. เดินตามกระแสชาตินิยม บทความของนายปรีดีเรื่อง “การหนุนให้หลวงพิบูลฯ เอาอย่างฮิตเลอร์และให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามให้เป็นประเทศไทย” (เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์) บวกกับบทความของปรีดีเองที่อธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือรวมข้อเขียนของปรีดี พนมยงค์ใน “ปรีดี พนมยงค์ กับสังคมไทย” ให้ข้อมูลไว้ว่าความคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นไทยนั้นอันที่จริงสืบเนื่องมาจากความต้องการอยาก “รวมดินแดนคนไทย”
สิ่งที่จุดพลุให้ความคิดนี้ คือแผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการได้มาจากการไปดูงานกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสที่ฮานอย แผนที่นี้ระบุว่ามีคนเชื้อสายไทยอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่กระจัดกระจายไปทั่วในอินโดจีน ในประเทศจีนเช่นในมณฑลกวางสีและยูนนาน เมียนมาและในมณฑลอัสสัมของอินเดีย หลังจากนั้นทีมงานของ จอมพล ป. ได้หยิบเอาหลักฐานต่าง ๆ มาอ้างว่าคนเหล่านั้น คือคนเชื้อสายไทยแม้ว่าจะไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และหลายเรื่องปรีดีระบุว่าเป็นความเข้าใจผิดด้วยซ้ำ สรุปว่าแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนชื่อประเทศและสร้างเอกภาพบนความเป็น “ไทย” นั้นมาจากความต้องการที่จะ “รวมคนไทยและดินแดนไทย” นั่นเอง
แรงผลักดันเช่นนี้เห็นได้จากในเนื้อเพลง “แหลมทอง” เพลงปลุกใจอีกเพลงหนึ่งที่ออกมาในห้วงเวลาเดียวกันที่แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ เนื้อเพลงตอนหนึ่งระบุว่า
“แหลมทองไทยเข้าครองเป็นแดนไทย รักกันไว้เราลูกไทยในแดนทอง
แหลมทองไทยเข้าครองเป็นแดนไทย แล้วย้ายแยกแตกกันไปเป็นสาขา
ไทยสยามอยู่แม่น้ำเจ้าพระยา และปิง วัง ยมนา น่าน นที…
โขงสาครไทยเข้าจองครองที่กิน สาลวินไทยใหญ่อยู่เป็นที่
ไทยอิสลามอยู่แม่น้ำตานี ต่อลงไปไทยก็มีอยู่เหมือนกัน”
ผู้เขียนสะดุดตรงที่บอกว่า “ไทยอิสลามอยู่แม่น้ำตานี” นี่เอง
ดั้งนั้น แม้แต่คนมลายูที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำตานี (แม่น้ำปัตตานี) ก็กลายมาเป็น “ไทยอิสลาม” เพื่อที่จะได้เข้าพวกความเป็นคนไทยด้วย เพลงปลุกใจในยุคนี้เอ่ยถึงการรวมเชื้อชาติไทยอย่างเช่นเพลงมหาอาณาจักรที่บอกว่า
“ไทย ๆ ๆ ๆ จงใหญ่ไชโย ไทย ๆ ๆ ๆ จงใหญ่ไชโย เลือดเรารู้จางหรือเป็นอย่างไร มีอยู่แยะไปไกลถิ่นหลวง มารวมเป็นแผ่นแคว้นทั้งปวง ต่างดวงทุกหยาดชาติเชื้อไทย….” ถ้าพิจารณาในแง่นี้ก็จะเข้าใจว่า ทำไม จอมพล ป. จึงใช้แนวทางรัฐนิยมที่กำหนดว่า ทุกคนมีสายเลือดไทยเหมือนกันหมด ลบความเป็นเชื้อชาติที่แตกต่างกันเสียสิ้น
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของรัฐบาลสวนทางความรู้สึกคนบางกลุ่ม เช่น คนมลายูในภาคใต้ที่ตระหนักว่า แม้ตนจะเป็นพลเมืองไทยแต่ไม่ได้เชื้อชาติไทย การก้าวข้ามขั้นไปผนวกเชื้อชาติกลับกลายเป็นการสร้างความรู้สึกว่าจะถูก “กลืน” ทำให้ลืมความเป็นมลายู คนรุ่นใหม่บางคนในพื้นที่ที่ผู้เขียนรู้จักยังย้ำประเด็นนี้ ว่าพวกเขาเติบโตมาในลักษณะที่ไม่เข้าใจตัวตนของตนเอง เมื่อได้ตื่นขึ้นมาพบกับอัตลักษณ์มลายู เพราะปฏิสัมพันธ์กับคนเชื้อสายเดียวกันในที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการ “ตื่น” จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การ “ค้นพบ” ตัวเองของมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นกระแสที่มาแรงมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา และมีเค้าลางว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป การลุกขึ้นมาแต่งกายแบบมลายู เรียนภาษามลายูซึ่งตกหล่นไปมากในเชิงภาษาเขียน การค้นหาอดีต เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่อง trending ทั้งสิ้นในสังคมมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ปัญหาเรื่องของอัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นเป็นสนุก ในอดีตผู้คนหลายกลุ่มพิพาทกันมามากมายหลายหน เพราะสาเหตุเรื่องนี้ แม้แต่ในเวลานี้เราก็ยังมีปัญหากับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเพราะการแย่งชิงความเป็นเจ้าของ “รำไทย” “ชุดไทย” “ตำรับอาหารไทย” หรือ “สงกรานต์” ฯลฯ และถ้าสำรวจกระแสของฝ่ายขวาในยุโรปในเวลานี้ก็จะพบว่า สิ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือความหวาดกลัวของคนขาวว่ามุสลิมที่โยกย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในหลายประเทศในยุโรปกำลังเปลี่ยนประเทศของพวกเขาให้กลายเป็นพื้นที่ของมุสลิมและจะกลืนอัตลักษณ์ความเป็นคริสต์และวัฒนธรรมแบบที่พวกเขาสร้างสมมายาวนาน พฤติกรรมหลายอย่างของมุสลิมถูกนำมาโฆษณาว่าเป็นความพยายามกลืนชาติจากภายใน เช่น การพากันไปละหมาดในที่สาธารณะ การแต่งกายแบบมุสลิม คือปิดบังใบหน้าและร่างกายอย่างมิดชิดของสตรีมุสลิมะห์ การแปรสภาพศาสนสถานของคริสต์ให้เป็นมัสยิด ฯลฯ ทั้งหมดนี้กระพือความหวาดกลัวว่าตะวันตกกำลังจะถูกมุสลิม “กลืน” นี่เป็นตัวอย่างของความหวาดกลัวในเรื่องการกลืนอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นในภาวะปัจจุบันและนับวันจะแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ความหวาดกลัวของคนเชื้อสายมลายูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีความจริงจังไม่แพ้กัน นี่เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ประกอบกันเข้ามาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐไทยของประชากรในพื้นที่

ย้อนกลับไปเรื่องของ จอมพล ป. กับการผลักดันความคิดรวมไทย ซึ่งอันที่จริงแล้วความคิดนี้ผลิดอกออกผลจากการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในการเข้าร่วมหนนั้นมีรายงานที่แบ่งเป็นสองสาย สายที่เป็นทางการบอกว่า ไทยต้องการจะเป็นกลาง แต่ทว่าทำไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นยื่นเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้ กล่าวคือขอยกพลผ่านแดนเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2484 หรือ 2484 รายงานทางการระบุว่า แม้ไทยจะต่อสู้ แต่รัฐบาลไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อมากไปจึงสั่งหยุดยิงในช่วงเช้า และตกลงยอมให้ทหารญี่ปุ่นยกพล “ผ่านแดน” ไปยังเป้าหมายต่อไปได้
แน่นอนว่า เรื่องนี้มีผู้เห็นแย้ง เช่น มีเอกสารรายงานของแชปแมน ผู้แทนสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยที่ส่งถึงต้นสังกัด เอกสารที่ลงวันที่ 18 ส.ค. 1942 นี้ยังสามารถหาอ่านได้ในเว็บไซต์ Office of the Historian ให้ข้อมูลว่า ที่ว่าฝ่ายไทยต่อสู้ต้านทานญี่ปุ่นอย่างดุเดือดนั้นเอาเข้าจริงตัวแทนสหรัฐฯ ไม่มีรายงานจริงจังในเรื่องนี้ แชปแมนบอกว่าเท่าที่รู้มีบางจุดเท่านั้นที่มีการต่อสู้ขัดขืนญี่ปุ่น เช่นที่สงขลาและอาจจะที่ประจวบคีรีขันธ์ด้วยท่วงทำนองในรายงานแบบนี้ยังคงปรากฏในข้อเขียนต่อ ๆ มาว่า แท้ที่จริงไทยไม่ได้ต้องการจะต้านทานจริงจังแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าไทยเองก็คาดหวังผลประโยชน์ที่จะได้จากญี่ปุ่นเช่นกันนั่นคือเรื่องการได้ดินแดนคืนและไทยก็ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับสหรัฐฯ และอังกฤษ กลายเป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวของญี่ปุ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กระโจนเข้าทำสงครามกับสองชาตินี้
ช่วงแรก ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำสงครามโดยอาศัยความไวเป็นต่อ ยกกำลังพลที่ขึ้นบกในไทย โดยเฉพาะกำลังพลจากปัตตานีเดินทางผ่านแดนไทยเข้าไปตีอังกฤษที่คาบสมุทรมลายู อังกฤษที่ไม่ได้เตรียมตัวมากนักแตกพ่ายอย่างไม่เป็นท่าภายในเวลาแค่สองเดือนถูกญี่ปุ่นตีกระเจิงตั้งแต่ทางตอนเหนือไปจนถึงสิงคโปร์ ต้องหนีไปตั้งหลักที่อินเดีย ส่วนไทยนั้น แม้จะไม่ได้ส่งทหารเข้าสนับสนุนญี่ปุ่นในการเข้ารบต่าง ๆ แต่ก็สนับสนุนในเชิงสิ่งอำนวยความสะดวก ในปัตตานี อาคารพาณิชย์หลายหลังถูกญี่ปุ่นยึดเป็นที่ทำการ รวมทั้งรถและอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นนำไปใช้สนับสนุนการทำสงครามของตนเอง หลังจากที่เป็นพันธมิตรร่วมในสงครามโลกกับญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นตบรางวัลไทยด้วยการคืน “สี่รัฐมาลัย” ที่อังกฤษได้ไปก่อนหน้านั้นให้ไทย ญี่ปุ่นไม่เพียงมอบกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรีและเปอร์ลิสคืนให้ไทยเท่านั้น แต่ยังมอบ “สหรัฐไทยเดิม” อันหมายถึงรัฐฉาน หรือเชียงตุง ที่ยึดได้จากอังกฤษให้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นและไทยแพ้สงคราม ซึ่งก็เท่ากับว่าจะต้องถูกปรับ ดินแดนที่ได้มาเหล่านั้นก็ต้องคืนไป ญี่ปุ่นต้องชดใช้ในฐานะเป็นอาชญากรสงครามเช่นเดียวกันกับอิตาลีและเยอรมันนี ซึ่งผู้นำคือฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายอย่างที่เป็นที่รู้กัน ความพ่ายแพ้หนนั้นถือว่าราคาแพงอย่างยิ่ง แต่ไทยและผู้นำไทยรอดตัวเพราะมีสิ่งที่ช่วยไว้ได้ก็คือการมีกลุ่มเสรีไทยที่ตั้งขึ้นมาต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ เป็นเหตุให้สหรัฐฯ และอังกฤษยอมว่า การประกาศสงครามกับทั้งสองประเทศก่อนหน้านั้นถือเป็นโมฆะ จอมพล ป. เองก็รอดพ้นจากการถูกลงโทษในฐานะเป็นอาชญากรสงครามมาได้เพราะมีการต่อรองช่วยเหลือให้ขึ้นศาลในประเทศแทน และท้ายที่สุดรอดพ้นจากการถูกลงโทษไป
สงครามโลกครั้งที่สองปิดฉากการอยู่ในอำนาจครั้งแรกของ จอมพล ป. ลงในปี 2487 ไทยได้รัฐบาลใหม่หลายชุดและหนึ่งในนั้น คือรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ที่นายปรีดีสนับสนุน ช่วงเวลานี้เองที่หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ตวนมีนาลหรือโต๊ะมีนา ครูสอนศาสนา ประธานคณะกรรมการกลางอิสลามของปัตตานีกับกลุ่มผู้นำในพื้นที่ได้ยื่นข้อเสนอเจ็ดข้อที่มีเนื้อหาเป็นข้อเรียกร้องอำนาจในการจัดการตัวเองต่อรัฐบาล รัฐบาลตอบรับว่า บางข้อทำได้บางข้อทำไม่ได้ แต่ทว่าก็มีการหารือกัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่กำลังเจรจาต่อรองกันนั้นได้มีการทำรัฐประหารครั้งสำคัญในปี 2490 โดยกลุ่มนิยม จอมพล ป. นำโดยพล.ท.ผิณ ชุณหะวัณ ซึ่งเปิดทางให้นายควง อภัยวงศ์ที่อยู่ในสายเดียวกันกับ จอมพล ป. ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนกลุ่มนายปรีดีต่างหลบหนีออกนอกประเทศ ในช่วงเวลาภายใต้รัฐบาลนายควงนี้เองที่หะยีสุหลงถูกจับและถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ หลังออกมาจากเรือนจำก็เป็นยุคที่ จอมพล ป. ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหนที่สอง หลังจากนั้นหะยีสุหลงก็ถูกทำให้สูญหายไป

ดังนั้น เราจะพบว่าแนวทางการจัดการปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น สัมพันธ์กับบรรยากาศการเมืองไทย และแนวคิดในทางการเมืองของผู้นำประเทศอย่างใกล้ชิด เมื่อผู้นำแข็งกร้าว แนวทางที่นำไปใช้ก็แข็งกร้าวและดุดันตามไปด้วย ซึ่งทิ้งผลสะเทือนเอาไว้อย่างชนิดตามทำความเข้าใจกันแทบไม่ไหวเลยทีเดียว
แม้ว่าสหรัฐฯ และอังกฤษไม่ชอบใจนักกับการที่ จอมพล ป. ขึ้นสู่อำนาจอีก แต่เมื่อรัฐบาล จอมพล ป. ขานรับตะวันตกในเรื่องการปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขัน ทั้งอังกฤษและสหรัฐฯ ก็ให้การสนับสนุน จอมพล ป. อย่างเต็มที่เช่นกัน เพราะถือว่า คอมมิวนิสต์คือภัยคุกคามในรูปใหม่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ หลังจากนั้นการอยู่ในอำนาจของ จอมพล ป. และนายทหารคนอื่น ๆ ที่ตามมาก็ราบรื่นไม่มีอุปสรรคจากมหาอำนาจภายนอก ตราบใดก็ตามที่ตอบโจทย์เรื่องปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้ หลังจากหมดยุค จอมพล ป. การเมืองไทยก็อยู่ภายใต้รัฐบาลทหารชุดแล้วชุดเล่าอย่างยาวนาน กลายเป็นช่วงเวลาของการบ่มเพาะความรุนแรงเพราะบรรยากาศของการปราบปรามศัตรูทางการเมืองใด ๆ ล้วนทำได้ภายใต้ข้ออ้างการปราบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่การกำจัดหะยีสุหลงกลายเป็นการฝากบทเรียนสำคัญให้กลุ่มมลายูมุสลิมในพื้นที่เรื่องผลของการต่อสู้แบบสันติวิธี
แม้ว่าปัจจุบันการบังคับให้ทุกคนเป็นคนเชื้อชาติไทยได้หมดไปแล้ว แต่ผลพวงของสิ่งที่ทำก่อนหน้านี้ทำให้เกิดสภาพอึมครึมเรื่องอัตลักษณ์ของประชากรกลุ่มนี้ในพื้นที่ แม้ จอมพล ป. และแนวทางรัฐนิยมไม่มีผลแต่ในทางปฏิบัติเรื่องนี้ส่งผลต่อวิธีคิดของคนไทยทั่วไปตลอดจนข้าราชการจำนวนไม่น้อย อดีตผู้นำบางคนมองเห็นปัญหานี้อย่างชัดเจนและพยายามที่จะเตือนสติคนไทย เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีก็เคยกล่าวไว้เมื่อต้นเดือนก.พ. 2519 ว่าที่ผ่านมาเกิดสภาพบังคับให้แขกเป็นไทย “การแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คิดอย่างไร ก็ไม่ออกเพราะเราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ตัวที่เป็นปัญหาก็คือ การหลอกว่าตัวเขาเป็นคนไทย” (อ้างในบทความ “สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ มติชนออนไลน์ 27 ก.พ. 67)
อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวกับประชากรในพื้นที่นี้ยังถูกปฏิเสธ เช่น อดีตของพวกเขายังเป็นประเด็นที่หลายคนไม่ยอมรับ ตัวอย่างเช่นการเรียกดินแดนส่วนหนึ่งว่า “ปาตานี” ซึ่ง ศัพท์คำนี้ปรากฏในเอกสารเก่าจำนวนมากของต่างประเทศแต่หลายคนยังปฏิเสธไม่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม การปฎิเสธในระยะหลังนี้ ผู้เขียนอยากจะเชื่อว่า ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ แต่อาจมาจากความกลัวที่ว่าการยอมรับการดำรงอยู่ของอดีตจะกลายไปเป็นการปูทาง หรือเปิดทางให้กับการอ้างความเป็นเจ้าของเหนือดินแดนนี้ของกลุ่มคนที่ต่อสู้ในพื้นที่
จนถึงวันนี้ เราก็ยังคงย่ำอยู่กับที่ในเรื่องตัวตนในอดีตของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้แต่ศัพท์ที่จะเรียกพวกเขาก็ยังกำหนดต่าง ๆ นานากันไปแล้วแต่จริตของแต่ละฝ่าย เช่น คนมลายูในพื้นที่เรียกตัวเองว่า มลายูมุสลิม ส่วนอีกหลายคนยืนหยัดเรียกพวกเขาว่า ไทยอิสลาม เหมือนดังในเพลงบ้านเกิดเมืองนอน บ้างก็ใช้ว่า ไทยมุสลิม หรือไม่ก็มุสลิมไทย เชื่อได้ว่า เรื่องนี้คงจะยังเป็นปัญหาไปอีกนาน