Reading Time: 3 minutes
… ท่านจะซื้อขายท้องฟ้าและความอบอุ่นของผืนดินได้อย่างไร
หากเราไม่ได้เป็นเจ้าของความสดชื่นของอากาศและความสดใสของน้ำ ท่านจะซื้อมันได้อย่างไร
ผืนดินไม่ได้เป็นของมนุษย์ แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของผืนดิน
ทุกสิ่งเกี่ยวข้องกันดังสายโลหิต ที่เชื่อมโยงครอบครัวของเรา ทุกอย่างเกี่ยวข้องกัน
แม้จะเติบโตขึ้นในเมืองใหญ่ ไม่ได้อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวหรือป่าไม้ที่เต็มไปด้วยอาหาร ผู้เขียนก็พอจะอนุมานได้ว่าการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร ทว่าบนนิยามของความก้าวหน้า โลกไม่อาจหยุดหรืออยู่ได้โดยใช้นาข้าว หรือป่าในการผลิต
แต่ป่าหรือนาเหล่านี้ก็มีมูลค่าในตนเองเช่นกัน ดังที่เห็นจากการเปลี่ยนแปลงไร่นาธรรมดาของชาวบ้าน ไปสู่การทำธุรกิจเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ความหลากหลายทางชีวภาพกลายสภาพเป็นผลผลิตเชิงเดี่ยว กระทั่งการครอบครองคุณค่าและมูลค่าสาธารณสมบัติของกลุ่มบรรษัท จนชาวบ้านไม่อาจดำรงอยู่ได้ ด้วยวิถีชีวิตแบบเดิม
เช่นเดียวกันกับที่ออสเตรเลีย อเมริกา อินเดีย แนวคิดของผู้ล่าอาณานิคมมักไม่เชื่อในความเป็นสาธารณสมบัติ มองว่าแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใช้ หรือสร้างประโยชน์ได้ไม่มากพอ คือ ‘แผ่นดินว่างเปล่า’ ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้แผ่นดินมีมูลค่ามากขึ้น คือการยอมให้ที่ดินเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ปิดล้อมมัน และเริ่มต้นพัฒนาที่ดินในแนวทางที่ยั่งยืน (ในสายตาของผู้มีอำนาจ)
“คนพื้นเมืองในนิวอิงแลนด์ไม่ล้อมที่ดิน ไม่ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง ไม่เลี้ยงปศุสัตว์หรือปรับปรุงดิน มีแต่สิทธิตามธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเราให้ที่ดินซึ่งพวกเขาพอที่จะยังชีพได้ เราก็สามารถถือเอาที่(ดิน)เหลืออย่างถูกต้องตามกฎหมาย” จอห์น วินทรอป ข้าหลวงแห่งอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์
อาจกล่าวได้ว่า การทำลายล้างวิถีเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมเริ่มต้นระหว่าง ค.ศ. 1770 ถึง ค.ศ. 1830 รัฐสภาอังกฤษผ่านกฎหมายกว่า 3,230 ฉบับที่ว่าด้วยและเกี่ยวเนื่องกับ ‘การปิดล้อมสาธาณสมบัติ’ ทุ่งเปิด ทุ่งหญ้า ที่ชุ่มน้ำ ป่า และที่ดินรกร้างไร้เจ้าของ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยเป็นของสาธารณชน กลับถูกปิดล้อม กั้นรั้ว เพื่อทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และล่าสัตว์ เพื่อผลประโยชน์ของ ‘เอกชน’ เพียงเท่านั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว การเจริญเติบโตของทุนนิยมและการถือครองสาธารณสมบัติขยายตัวกว้าง กษัตริย์เริ่มใช้นโยบายตัดไม้ทำลาย ปิดล้อมที่ดินซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรม และจัดแบ่งที่ดินทำการเกษตร ขนาดใหญ่เพื่อให้เช่าในราคาถูก เป็นผลให้ชาวไร่ชาวนาต้องสูญเสียกรรมสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เคยมีร่วมกับกษัตริย์และขุนนาง
ขณะเดียวกัน การปิดล้อมที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน การปิดล้อมทวีความรุนแรงจนปลายค.ศ. 1830 ที่ดินในอังกฤษกว่าครึ่งตกอยู่ในมือของเอกชน
“การปิดล้อมสาธารณสมบัติไม่ได้เป็นเพียงฉากที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อังกฤษเท่านั้น แต่คือหัวใจของการล่าอาณานิคม ที่ขับไล่และถอนรากชนพื้นเมือง ทั้งในทวีปอเมริกา แอฟริกา และเอเชีย”
เศษซากจากการทำลายที่ วันทนา ศิวะ นักคิดและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมค้นพบ ถูกบรรจุลงในหนังสือ ‘ประชาธิปไตยผืนดิน: ความยุติธรรม ความยั่งยืน และสันติภาพ’
แม้หนังสือเล่มนี้จะเผยแพร่เมื่อราวพ.ศ. 2558 แต่วันทนาบอกว่า ประชาธิปไตยผืนดินไม่ได้เป็นแนวคิด ที่มีมาแต่โบราณเท่านั้น แต่คือศิลาจารึกที่บันทึกเรื่องราวการต่อสู้และต่อต้านของประชาชนรากหญ้า ในยุคสมัยที่เศรษฐกิจแบบล้างผลาญก้าวล้ำนิยามของความยั่งยืน และการประกอบร่างอุดมการณ์ที่ว่า การกลับไปควบคุมประชาธิปไตยเหนืออาหาร น้ำ และความอยู่รอดทางนิเวศ คือเสรีภาพของประชาชน
ข้าขอท้าทายให้ท่านปิดล้อมที่ดินหนึ่งตารางหลา
ข้าขอท้าทายพวกท่านแต่ละคน ข้าขอท้าทายพวกท่านเป็นกลุ่ม
ท่านอาจพบกันในศาลของท่าน ท่านอาจตัดสินอย่างไรได้ตามต้องการ
ข้าจะประณามมัน
เพราะข้ามีสิทธิที่จะนำสัตว์ของข้าเข้าไปในที่ดินผืนนี้และทุก ๆ ส่วนของมัน
นโบายการปิดล้อมสาธารณสมบัติของอังกฤษถูกกระทำซ้ำอีกครั้งในอินเดีย ค.ศ. 1865 กฎหมายป่าไม้ฉบับแรกของอินเดียถูกบังคับใช้จากสภานิติบัญญัติสูงสุด ให้อำนาจแก่รัฐบาล ในการประกาศให้ป่าและที่ดินซึ่งยังไม่ได้รังวัดเป็นป่าสงวน
วันทนาบอกว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘การจัดการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์’ เพราะหลักคิดของนักล่าอาณานิคมไม่ใช่การประเมินผลผลิตทางชีวภาพของที่ดิน แต่เป็นการประเมินความสามารถในการสร้างรายได้ของที่ดิน โดยมีรัฐเป็นตัวกลาง
เมื่อเป็นเช่นนั้น สิทธิการผลิตและการใช้ทรัพยากรของชนพื้นเมืองจึงสลายหายไป เช่นเดียวกับป่า ป่ากลายเป็นทรัพย์สินและแหล่งสร้างรายได้ของรัฐ แนวคิดของการรักษาป่าจึงเกิดขึ้นผ่านการปิดล้อม และแปลงทรัพยากรทั้งหลายให้เป็นเพื่อการค้า ซึ่งกระบวนการดังกล่าวยังได้สร้าง ‘ที่ดินที่ไม่มีประโยชน์ทางนิเวศ’ โดยผู้ที่ได้รับกระทบมากที่สุดก็คือผู้ที่ใช้ความมหัศจรรย์ของนิเวศ ในการดำรงชีวิตนั่นเอง
“ชาวไร่ชาวนาถูกบังคับให้ปลูกครามแทนที่จะปลูกพืชอาหาร การขูดรีดทางการค้าในเขตชนบทค่อย ๆ ทำลายสิทธิเก็บกินของชาวไร่ชาวนา สิทธิที่เสื่อมสลายและที่ดินซึ่งไม่ได้ทำประโยชน์ เป็นสาเหตุหลักของความยากจน”
ธรัมปาล นักประวัติศาสตร์ผู้มากอิทธิพลของอินเดียกล่าวไว้ว่า ความสามารถในการพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียเปลี่ยนไปมากหลังการเข้ามาของนักล่าอาณานิคมที่ดิน ก่อนหน้านี้ทรัพยากรร้อยละ 80 ถึง 95 ถูกใช้ในระดับท้องถิ่น เพื่อรักษา โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ทว่าหลังยุคสมัยของอังกฤษ ทรัพยากรกว่าร้อยละ 90 กลับถูกจับจ่ายใช้สอยโดยจักรวรรดิอังกฤษ
ประชาธิปไตยผืนดิน เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถเข้าถึงทรัพยากรของโลก หากนั่นทำให้ชีวิตอยู่รอด ผ่านระบบเศรษฐกิจที่เน้นการยังชีพเป็นหลัก ทว่าเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีกลับปฏิเสธการเข้าถึงทรัพยากรรูปแบบดังกล่าว และให้สิทธิในการลิดรอดระบบเศรษฐกิจยังชีพที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตนอกโลกาภิวัตน์
ผลร้ายของการรุกฆาตครั้งนี้ นอกจากการแลกเปลี่ยนทรัพยากรจะปรับเปลี่ยนไป สิทธิของบริษัทได้เข้าแทนที่สิทธิของผู้คนที่จะมีชีวิต สิ่งแลกเปลี่ยนของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ คือความยากจนและหิวโหยที่เพิ่มขึ้น ความเสียหายต่อระบบนิเวศ และผู้คนที่ถูกทอดทิ้งและทิ้งถิ่นที่อยู่
… แกะของท่านซึ่งเคยเชื่อง ขี้ขลาดและกินน้อย
ปัจจุบันข้าได้ยินมาว่า กลายเป็นสัตว์ที่ตะกละตะกลามและดุร้ายมาก
มันกลืนกินคน บริโภค ทำลาย กลืนกินไร่นา บ้านและเมืองทั้งเมือง
ในทางปฏิบัติ การสร้างประชาธิปไตยผืนดินสำหรับวันทนาจำเป็นต้องเชื่อมโยงท้องถิ่นกับโลก และสิ่งจำเป็นสำหรับโลกหลังโลกาภิวัฒน์ คือ เมล็ดพันธุ์ อาหาร และน้ำ ที่ปัจจุบันตกอยู่ในอันตราย อันตรายที่ว่าคือสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งอนุญาตให้บริษัทในโลกจดสิทธิบัตรกับอะไรก็ได้บนโลก โดยมีเกณฑ์ 3 อย่างคือ เป็นของใหม่ มีขั้นตอนการประดิษฐ์และคิดค้นเพิ่ม และมีประโยชน์
ซึ่งวันทนา ค้นพบว่า สิทธิบัตรส่วนใหญ่อาศัยการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมของท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ พืชยา หรือสิ่งมีชีวิต มาผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น สิทธิบัตรจึงไม่ได้มีพื้นฐานจากการคิดค้น แต่ตั้งต้นโดยใช้ความหลากหลายทางชีวภาพ และความรู้ชุมชนเป็นเครื่องมือในการกีดกันชุมชนเสียเอง
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ และบริษัท W.R. Grace เคยเป็นเจ้าของสิทธิบัตรหมายเลข 436257 โดยเป็นสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ ‘การคิดค้นใช้ต้นสะเดาเพื่อควบคุมโรคและศัตรูพืชในการเกษตร’
สะเดา (Azadirachta indica) หรือ azad darakht ในภาษาเปอร์เซียที่แปลว่า ‘ต้นไม้สาธารณะ’ เป็นพืชที่ใช้เป็นยาสมุนไพรปราบศัตรูพืชและรักษาโรคในอินเดียมากว่าสองสหัสวรรษ ทว่าภายหลัง การถือครองสิทธิบัตรของสองโจรสลัดทางชีวภาพ ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ต้นสะเดาได้อย่างเสรี
แม้ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2005 ซึ่งเป็นวันสตรีสากล วันทนาและพวกพ้องได้รับชัยชนะเหนือสองโจรสลัดดังกล่าว ประชาชนกว่าหนึ่งแสนคนเข้าร่วมการรณรงค์ จนเป็นเหตุให้สำนักงานสิทธิบัตรเพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวไป กรณีดังกล่าวได้สะท้อนความน่ากลัวที่สุดของเศรษฐกิจการค้าเสรีที่กำลังปล้นชิงความหลากหลายทางชีวภาพและการอยู่รอดของมนุษย์ด้วยความชอบธรรมทางกฎหมาย
ยังมีอีกหลายกรณี ที่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ใช้ความชอบธรรมทางกฎหมาย โจรกรรมองค์ความรู้ของชนพื้นเมือง ครอบงำ และผลักพวกเขาออกจากสารบบของการผลิต
อย่างไรก็ดี รูปธรรมของประชาธิปไตยผืนดินก็เกิดขึ้นแล้วในบางแห่ง เทอร์รา มาเดร (Terra Madre) เครือข่ายเกษตรกรรายย่อย ชาวประมง ผู้ผลิตอาหารพื้นบ้าน จวบจนนักวิชาการและนักกิจกรรม ได้เกิดขึ้น ณ เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เพื่อต่อต้านระบบอาหารที่ตัดวงจรความหลากหลายของชีวิต ผ่านแนวคิดอาหารเนิบช้า (Slow food) ขบวนการที่เน้นการปลูกและกินอาหารที่ดี เป็นอาหารที่มี ประโยชน์ และเต็มไปด้วยความหลากหลายอันเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงสังคม
ชุมชนผู้ผลิตมะม่วงตากแห้ง กลุ่มผู้หญิงกินแมลงจากกรุงวากาดูกู ชุมชนเบาบับผู้ผลิตใบกะเพราจากประเทศเบนิน คนเลี้ยงแกะเร่ร่อนจากอินเดีย กระทั่งผู้ผลิตข้าวหอมมะลิจากไทย ฯลฯ โดยเครือข่ายแห่งความหลากหลายนี้ ล้วนเป็นผู้ผลิตพื้นบ้านที่มีศักยภาพมากพอที่จะเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และวัฒนธรรมอันหลากหลายให้ดำรงต่อไป
การเกิดขึ้นของขบวนการดังกล่าว กลายเป็นคำถามสำคัญว่า เราและโลกต้องการการผลิตโดยผู้คนที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเพียงไม่กี่ราย?
“เมื่อบริษัทและรัฐบาลร่วมมือกันใกล้ชิด การอารยะขัดขืนเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องสิทธิของเรา”
ผืนป่า ใบไม้ เม็ดดิน เปลวไฟ เมล็ดพันธุ์ และแม่น้ำ ที่เล่นแร่แปรธาตุโดยธรรมชาติและนิเวศ จนกลายมาเป็นพื้นฐานของอาหารในชีวิตประจำวัน คือเสรีภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ทว่าสิ่งเหล่านี้กำลังถูกจักรวรรดิสมัยใหม่เข้าครอบครอง ซึ่งหากเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ เราจะสูญเสียเสรีภาพ ชีวิต และประชาธิปไตย เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของชนพื้นเมือง แต่เป็นเรื่องของมนุษย์
วันทนายืนยันว่า ประชาธิปไตยผืนดินไม่ได้เสนอเพียงการกระทำทางกายภาพเท่านั้น แต่เป็นเสรีภาพทางความคิดและความมั่นคงภายในจิตใจ ที่ยึดมั่นร่วมกันว่าโลกคือบ้านของเรา และความมั่นคงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเคารพระบบทางนิเวศที่โลกให้มา และก่อร่างสร้างมันอีกครั้งหนึ่งด้วยชุมชนที่เป็นสาธารณะ หาใช่เผด็จการบริษัท
ชุมชนที่เป็นสาธารณะสามารถเอาชนะความขาดแคลน ความยากจนข้นแค้นที่เกิดจากการแบ่งแยก และควบคุมการผลิต กระเทาะแก่นความเชื่อมโยงระหว่างรัฐและบริษัทด้วยอำนาจจากฐานราก พัฒนาและแปรเปลี่ยนให้เป็นกลยุทธ์ใหม่ ปลดม่านบังตาและโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำกัดเสรีภาพ เพื่อเปลี่ยนประชาธิปไตยที่ตายแล้วให้มีชีวิตอีกครั้ง
การปิดล้อมสาธารณสมบัติถูกกระทำซ้ำอีกครั้ง (อีกครั้ง) ในประเทศไทย โดยนาย เอช เสลด ผู้ชำนาญการป่าไม้ชาวอังกฤษ ที่เข้ามาเปลี่ยนป่าไม้ของประเทศไทยให้กลายเป็น ‘ป่าที่สร้างเงิน’ ซึ่งตั้งแต่เข้าสู่ยุคสัมปทานป่าของประเทศไทยถึงหลังยุคนโยบายทวงคืนผืนป่า ในนามของการบริหารป่าโดยรัฐ จากผืนป่า 172 ล้านไร่ หลงเหลือเพียงราว 100 ล้านไร่เท่านั้น
และภายใต้ผืนป่าที่หายไป ยังซุกซ่อนปัญหาเรื่องสิทธิทำกินของคนชาติพันธุ์และชนพื้นเมือง ความหลากหลายทางชีวภาพกลายเป็นผลผลิตเชิงเดี่ยว บาดแผลจากสัมปทานป่า หรือเรื่องราวอีกมากมายโดยผืนป่า ที่เหล่าบริษัทได้ปล้นสะดมความเป็นธรรม และสิทธิบนสาธารณสมบัติจนหลายสายน้ำต้องติดเชื้อและแผ่นดินต้องปนเปื้อน
แม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเด็นข้างต้นจะแตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือข้อเสนอ เฉกเช่นที่พบในหนังสือ ‘ประชาธิปไตยผืนดิน: ความยุติธรรม ความยั่งยืน และสันติภาพ’ คือการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่นโยบายระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ เพื่อเริ่มต้นความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในวันที่ยังไม่สายเกินไป
… เผด็จการไม่ได้กลืนกินเฉพาะส่วน แต่กลืนกินชีวิตทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
การต่อสู้และปกป้องเสรีภาพก็เช่นกัน ไม่อาจแยกส่วนได้อีกต่อไป
ประชาธิปไตยผืนดินทำให้เรามีอำนาจที่จะสร้างและปกป้องเสรีภาพที่หลากหลาย
นี่ไม่ใช่จุดจบของประวัติศาสตร์ แต่จะเป็นการเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
Playread : ประชาธิปไตยผืนดิน : ความยุติธรรม ความยั่งยืน และสันติภาพ
ผู้เขียน : วันทนา ศิวะ
แปล : วิไล ตระกูลสิน
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา
PlayRead : คอลัมน์คิด/อ่านหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี