‘โคทม อารียา’ ฝันถึงรัฐธรรมนูญใหม่ สู้แดดสู้ฝน และทานทน
Reading Time: 3 minutesอ่านคำต่อคำของความหวังท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองในปาฐกถาพิเศษ “วันที่เสียงจากฐานรากงอกงาม รัฐธรรมนูญโดยประชาชน เพื่อฟันฝ่าความขัดแย้งทางการเมือง”
ประจักษ์ ก้องกีรติ
“ตามข่าวการเลือกตั้งญี่ปุ่นหรือเปล่า ผลการเลือกตั้งน่าสนใจมากนะ”
อาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ผู้เขียนรู้จักคุ้นเคยชวนสนทนาระหว่างกินข้าวกลางวันด้วยกันที่โอซาก้า แน่นอนว่าผมติดตามข่าวการเมืองญี่ปุ่นและการเลือกตั้งสภาสูงที่ผ่านไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ด้วยความสนใจในฐานะคนสอนการเมืองเปรียบเทียบ และคนที่ศึกษาเรื่องพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง สำหรับนักวิชาการญี่ปุ่น การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไปสะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และน่าทำความเข้าใจเพิ่มเติมหลายประการ
ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่า ปรกติการเลือกตั้งสภาสูงในญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่คนให้ความตื่นตัวสนใจกันมากนัก เพราะสภาสูงไม่ได้มีอำนาจมากมายในระบบการเมืองญี่ปุ่น อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่สภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่มาในคราวนี้ สื่อและนักวิชาการจับตาการเลือกตั้งสภาสูงเป็นพิเศษ เพราะคาดกันว่าอาจมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ หลังเลือกตั้งเสร็จ เนื่องจากสถานการณ์ความนิยมของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ (Shigeru Ishiba) จากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) กำลังง่อนแง่นเป็นพิเศษ หลังจากที่พรรคสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภาผู้แทนฯ เมื่อปีที่แล้ว บวกกับปัญหาค่าครองชีพพุ่งสูงอย่างรุนแรง (โดยเฉพาะราคาข้าวสารซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของคนญี่ปุ่น) แล้วยังมาเจอกับแรงกดดันจากการเจรจา “ภาษีทรัมป์” กับสหรัฐฯ ความนิยมของรัฐบาลจึงตกต่ำอย่างแรง และหากพรรค LDP สูญเสียที่นั่งเสียงข้างมากในสภาสูง จะทำให้สถานะของนายกฯ อิชิบะ สั่นคลอนอย่างหนักถึงขั้นถูกกดดันจากคนในพรรคด้วยกันให้ลาออก
การเลือกตั้งสภาสูงที่ปรกติจืดชืด จึงมีเดิมพันสูงเป็นพิเศษในครั้งนี้
ผลการเลือกตั้งก็เป็นไปตามคาด พรรค LDP สูญเสียคะแนนอย่างรุนแรง จนไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาสูง นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรรค ที่ไม่ได้เสียงข้างมากทั้งในสภาล่างและสภาสูง เกิดแรงถาโถมจากแวดวงการเมืองและสาธารณะกดดันให้นายกฯ ลาออก แต่เจ้าตัวก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ลาออก (จนถึงขณะที่เขียนบทความนี้) เพราะประเทศชาติกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ จะขอสานต่อภารกิจต่อไป ไม่อยากให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ปัญหาของญี่ปุ่นตอนนี้คือ แม้ประชาชนและแวดวงการเมืองอยากเปลี่ยนตัวนายกฯ เพราะขาดบารมีและการนำที่เข้มแข็ง แต่เอาเข้าจริง ทุกคนก็ตระหนักว่าในพรรค LDP เองไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าอิชิบะอย่างชัดเจนนัก คนอื่นขึ้นมาก็เหมือนเดิมหรืออาจจะแย่กว่า จึงเกิดสภาวะชะงักงัน ไปต่อก็ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงก็ลำบาก
นอกจากดัชนีชี้วัดความนิยมของนายกฯ และพรรครัฐบาลแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ชื่อว่า พรรคซันเซโต (Sanseito) ซึ่งมีผู้นำพรรคชื่อ โซเฮอิ คามิยะ (Sohei Kamiya) พรรคนี้ถูกขนานนามจากสื่อญี่ปุ่น (รวมทั้งสื่อต่างชาติ) ว่าเป็นพรรคประชานิยมฝ่ายขวา หรือพรรคขวาจัด ซึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะตัวแกนนำพรรคเองก็บอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจ กระทั่งลอกเลียนสไตล์ทางการเมือง กระทั่งนโยบายบางอย่างมาจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ รวมถึงเขายังได้ศึกษาแนวทางการเมืองของพรรคการเมืองขวาจัดในเยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศสด้วย
ผลการเลือกตั้งที่พรรคนี้ได้ที่นั่งไป 15 ที่นั่ง จากที่เดิมมีเพียง 1 ที่นั่งในสภาสูง ทำให้มีบทวิเคราะห์มากมายที่พยายามชี้ว่าการเมืองญี่ปุ่นกำลังหันขวา ไปในทิศทางเดียวกับกระแสการเมืองประชานิยมฝ่ายขวาที่เฟื่องฟูในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งผมคิดว่าเป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างตื่นตระหนกและด่วนสรุปจนเกินไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคซันเซโต หาเสียงด้วยนโยบายที่เน้นชาตินิยม (ดังสโลแกน Japanese First ที่ชัดเจนว่าลอกเลียนมาจาก America First ของทรัมป์) และอนุรักษนิยมทางสังคมค่อนข้างสุดโต่ง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีชาวต่างชาติ ต่อต้านสิทธิของ LGBTQ เรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาทตามขนบแบบเดิมคือเป็นแม่บ้านและเลี้ยงลูก ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองทัพที่เข้มแข็ง ต่อต้านแนวคิดที่มีการเสนอให้ผู้หญิงขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ ปลุกเร้าให้คนญี่ปุ่นภูมิใจในวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ และประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในฐานะมหาอำนาจ
แต่ต้องเข้าใจว่า นโยบายบางอย่างที่พรรคซันเซโตนำมาหาเสียงนั้นก็ปรากฏในนโยบายของพรรคการเมืองอนุรักษนิยมอื่นเช่นเดียวกัน เพราะพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจมาอย่างยาวนานต่อเนื่องก็เป็นพรรคแนวอนุรักษนิยมอยู่แล้ว (แต่มีทั้งปีกกลาง ๆ ขวากลาง และขวาจัด) และตัวคามิยะก็เริ่มเล่นการเมืองโดยเป็นผู้สมัครของพรรค LDP มาก่อน ฉะนั้นแนวคิดหลายประการของซันเซโตก็สอดคล้องกับกลุ่มการเมืองขวาจัดในพรรค LDP เช่นกัน ความต่างของซันเซโตคือลีลาและโวหารการหาเสียงที่หวือหวา ดุดัน และเน้นขับเน้นอารมณ์มากกว่าพรรคอื่น ๆ และทำให้แนวคิดบางอย่างที่เคยอยู่ชายขอบ ที่นักการเมืองของพรรคอื่นก็คิดและคนบางกลุ่มในสังคมก็คิด (เช่น วิตกกังวลกับการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติในสังคม) กลายเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาเผยแพร่ในพื้นที่สาธารณะอย่างเปิดเผย
ย้อนกลับไป จุดที่ทำให้พรรคซันเซโตแจ้งเกิดได้คือ ช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤต ที่สร้างความวิตกกังวลให้ประชาชนทั่วไป ผู้ก่อตั้งพรรคเริ่มแรก (พรรคตั้งในปี 2020) เริ่มดึงดูดความสนใจจากประชาชนกลุ่มหนึ่งด้วยนโยบายต่อต้านการฉีดวัคซีน ต่อต้านการสวมหน้ากาก และต่อต้านมาตรการการกักตัวอยู่บ้าน คามิยะและแกนนำพรรคหลายคนเผยแพร่แนวคิดแบบทฤษฎีสมคบคิดว่าเชื้อโควิดเป็นเรื่องหลอกหลวง ไม่ได้อันตรายจริง นอกจากเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับโควิดแล้ว คามิยะและแกนนำยังเสนอทฤษฎีสมคบคิดอีกหลายเรื่องสู่สาธารณะ เช่น มีกลุ่มชนชั้นนำเสรีนิยมระดับโลก (liberal global elite) รวมหัวกันเพื่อทำลายเศรษฐกิจและความเป็นชาติของญี่ปุ่น แกนนำพรรคใช้ช่องทางสื่อออนไลน์และสื่อสังคม โดยเฉพาะ Youtube, Facebook และทวิตเตอร์ (ชื่อเดิม) เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูลและแนวคิดเหล่านี้ จนเริ่มมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเยาวชนที่เป็นผู้ชาย
จากผลการสำรวจและวิจัยของนักวิชาการญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มผู้ติดตามสื่อออนไลน์และต่อมากลายเป็นฐานเสียงของพรรค คือ กลุ่มคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองมาก่อน จำนวนไม่น้อยไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใดอย่างชัดเจน บวกกับบางส่วนที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรค LDP แต่ผิดหวังที่พรรค LDP ละทิ้งความเป็นอนุรักษนิยมในช่วงหลัง (หลังจากการเสียชีวิตของอดีตนายกฯ ชินโซ อาเบะ ซึ่งมีแนวนโยบายแบบขวา พรรค LDP เลือกผู้นำที่มีนโยบายสายกลางมากขึ้นมากุมบังเหียน) ในแง่วัย พรรคได้คะแนนจากกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 40 มากกว่ากลุ่มช่วงอายุอื่น ๆ จากคำให้สัมภาษณ์ของคนหนุ่มสาวที่เลือกซันเซโต หลายคนกล่าวว่าพวกเขาผิดหวังและเบื่อหน่ายกับพรรคการเมืองกระแสหลักทั้งหลายในระบบ โดยเฉพาะการเมืองแบบเดิม ๆ ที่ถูกผูกขาดโดยคนแก่ พรรคซันเซโตถูกมองเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ เพราะกล้าพูดในสิ่งที่แตกต่าง ผู้สมัครจำนวนมากของซันเซโตก็เป็นคนที่ไม่สูงวัยนัก และหาเสียงด้วยลีลาที่ถึงอกถึงใจประชาชน
นักวิชาการญี่ปุ่นบางคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ที่พรรคซันเซโตดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้มาก ก็เพราะเหตุผลสองสามประการ คือ หนึ่ง พรรคใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ความคิดของตน ซึ่งคนรุ่นใหม่ก็คือคนที่ใช้เวลาและติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางนี้มากที่สุด จึงเป็นกลุ่มประชากรที่รับสารของพรรคซันเซโตมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ สอง คนรุ่นใหม่กลับเป็นคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวต่างชาติน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ (ยกเว้นในมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า หรือเกียวโตที่มีการรับนักศึกษาต่างชาติ) ในขณะที่ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยพบเจอกับชาวต่างชาติที่มาดูแลพวกเขาในสถานพยาบาล หรือปฏิสัมพันธ์ผ่านการทำงานและการค้าขาย จึงถูกดึงดูดด้วยวาทกรรมต่อต้านคนต่างชาติของซันเซโตได้ง่ายกว่า นับเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจแต่คงต้องศึกษากันให้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นว่าเหตุใดคนหนุ่มสาวจึงเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคซันเซโต
อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจ ประเด็นหลักที่พบร่วมกันในหมู่คนที่เลือกซันเซโต (ไม่ว่าจะช่วงอายุใด) คือความไม่ไว้วางใจต่อระบบการเมือง ไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงไม่ไว้วางใจผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ อาจารย์มหาวิทยาลัย รวมถึงสื่อ ฐานเสียงของซันเซโตเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดว่า รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญรวมหัวกันปิดบังความจริงต่อประชาชน
ในด้านกลับ คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นของซันเซโตจึงสะท้อนความล้มเหลวของพรรคการเมืองกระแสหลักทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่จะตอบสนองต่อประชาชน คะแนนที่ซันเซโตได้เป็นคะแนนที่เราสามารถเรียกว่า เป็นคะแนนเพื่อการประท้วง (protest vote) ของคนที่อึดอัดคับข้องใจ และหมดศรัทธากับนักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่ง แต่ล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้ประชาชน
แม้ว่าจะมีคนเลือกมากขึ้น แต่นโยบายและแนวคิดแบบขวาสุดโต่งของพรรคซันเซโตถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่น้อย ทั้งจากนักการเมืองพรรคอื่น ๆ จากสื่อ จากปัญญาชน และจากประชาชนทั่วไป
วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงพรรคซันเซโตที่โตเกียวซึ่งมีคนเข้าร่วมเป็นพันคน (จัดการชุมนุมมาจากหลากอาชีพ อาทิ ทนายความ ศิลปิน นักสิทธิมนุษยชน นักเขียน นักดนตรี พวกเขาบอกว่า “เราไม่อาจยอมรับสังคมที่ข้อมูลอันเป็นเท็จและแนวคิดที่กีดกันผู้อื่นถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง” ทั้งยังเสนอว่าการเมืองที่พรรคซันเซโตกำลังนำเสนอนั้น เป็นอันตรายต่อสังคมญี่ปุ่น เพราะจะนำไปสู่ความแตกแยกและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง LGBTQ และชาวต่างชาติที่อาศัยและทำงานในญี่ปุ่น แกนนำการชุมนุมล่ารายชื่อออนไลน์ให้ประชาชนช่วยกันส่งเสียงถึงสภาให้ปฏิเสธนโยบายที่จะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังต่อคนต่างชาติ
นโยบายที่พรรคซันเซโตถูกวิจารณ์มากที่สุดคือ นโยบายที่แข็งกร้าวต่อชาวต่างชาติ และการปลุกกระแสต่อต้านแรงงานต่างชาติ (ซึ่งมีท่วงทำนองของการเหยียดเชื้อชาติ เพราะแรงงานส่วนใหญ่มาจากประเทศในเอเชีย) พวกเขานำเสนอภาพและโวหารที่ปลุกเร้าความกลัว และเล่นกับความกังวลของคนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งว่าชาวต่างชาติกำลัง “บุกและรุกราน” ญี่ปุ่น เข้ามากว้านซื้อที่ดิน เข้ามาแย่งงาน เข้ามาทำให้ค่าแรงของคนงานญี่ปุ่นตกลง เข้ามาเบียดบังสวัสดิการของคนญี่ปุ่น เข้ามาทำให้อาชญากรรมสูงขึ้น และเข้ามาทำให้วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเสื่อมถอยและกำลังถูกกลืนกิน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมญี่ปุ่นมีความอนุรักษนิยมค่อนข้างสูงในเชิงวัฒนธรรม เพราะเป็นสังคมที่เน้นความกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรม และที่ผ่านมาไม่ค่อยเปิดรับคนต่างชาติหรือผู้อพยพ แต่ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้ขาดแคลนแรงงาน (โดยเฉพาะงานในภาคบริการ ก่อสร้าง และการดูแลผู้สูงวัย) จึงต้องหันมาเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจึงสูงขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2024 มีชาวต่างชาติที่อาศัยและทำงานในญี่ปุ่นจำนวน 3.8 ล้านคน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่หากดูเชิงสถิติแล้วพบว่าคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 3% ของประชากรประเทศเท่านั้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับในสหรัฐฯ ยุโรป และอีกหลายประเทศ
นักวิเคราะห์และผู้วางนโยบายจำนวนมากออกมาวิจารณ์การหาเสียงปลุกเร้าของซันเซโตต่อเรื่องแรงงานต่างชาติ ว่าเป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนและสร้างความตื่นตระหนกเกินจริงต่อสาธารณะ เพราะไม่จริงแต่อย่างใดว่าอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้นเพราะชาวต่างชาติ รวมถึงประเด็นว่าคนต่างชาติได้สิทธิและสวัสดิการสูงกว่าคนญี่ปุ่นก็ไม่เป็นความจริง (ในความเป็นจริง ชาวต่างชาติที่มาทำงานในญี่ปุ่นต้องเสียภาษีเหมือนคนญี่ปุ่นทั่วไป) และแรงงานผิดกฎหมายก็แทบไม่เป็นปัญหาในญี่ปุ่น เพราะมีการจัดการที่ดีมาก แรงงานต่างชาติญี่ปุ่นเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่ขาดไม่ได้ และตอบโจทย์สังคมสูงวัย นโยบายที่จะลดแรงงานต่างชาติและตัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของแรงงานต่างชาติจึงถูกวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่จะทำให้สังคมญี่ปุ่นเองเสียประโยชน์
นอกจากนั้น นโยบายหลายอย่างของพรรคซันเซโตยังถูกวิจารณ์ว่าล้าหลังและไม่เข้าใจปัญหา ไม่ว่าจะเป็น นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งพรรคซันเซโตเสนอว่าให้ลดการผลิตพลังงานหมุนเวียน ให้ญี่ปุ่นถอนตัวจาก “ความตกลงปารีส” ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งยังบอกว่าสภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ตายตัวทางวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก! นโยบายที่ให้ผู้หญิงออกจากงานเพื่อจะได้มีเวลา “ผลิตประชากร” ให้ประเทศยิ่งถูกวิจารณ์อย่างหนัก จนพรรคต้องยอมปรับเนื้อหาในประเด็นนี้
ผู้นำพรรคซันเซโตยังเสนอข้อเสนอที่ตกขอบและแหวกแนวอีกหลายอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่น ข้อเสนอให้จักรพรรดิญี่ปุ่นหันกลับไปหาระบบการมีนางสนมเพื่อเพิ่มจำนวนรัชทายาทให้ราชสำนัก จะได้แก้วิกฤตการสืบทอดราชบัลลังก์ เรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างครึกโครมจนพรรคต้องถอนออกจากเว็บไซต์ของพรรค
ดังที่กล่าวแล้วว่า คะแนนที่เพิ่มขึ้นของพรรคซันเซโต ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นมาได้ 5 ปีนี้ เป็นคะแนนที่สะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อพรรคการเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะพรรค LDP ซึ่งเป็นรัฐบาล ความไม่พอใจที่รุมเร้าด้วยภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ชะงักงัน และค่าแรงที่ไม่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถูกพรรคซันเซโตฉวยใช้เป็นโอกาสในการชี้นิ้วกล่าวโทษไปที่ชาวต่างชาติว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ผลการเลือกตั้งในรอบนี้บ่งชี้ถึงความรู้สึกความผิดหวังต่อการเมืองเดิม มากกว่าจะบ่งชี้ถึงคลื่นประชานิยมขวาจัด
การหาเสียงที่หวือหวาและลีลาที่แปลกใหม่ของพรรคซันเซโต ทำให้สื่อต่างชาติทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะพาดหัวข่าวได้ง่าย แต่ก็อาจทำให้สื่อจำนวนมากประเมินความสำเร็จของพรรคน้องใหม่นี้อย่างเกินจริง หากเราดูที่ตัวเลขในสภา ณ ปัจจุบัน พรรคซันเซโตมีที่นั่ง 15 จาก 248 ที่นั่งในสภาสูง ส่วนในสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งสำคัญกว่า) พรรคซันเซโตมีที่นั่งเพียง 3 ที่นั่งจาก 465 ที่นั่ง ฉะนั้น จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถผลักดันนโยบายหรือกฎหมายที่นำไปสู่การเปลี่ยนญี่ปุ่นให้หันขวาประชานิยมสุดโต่งได้
ในภาพรวม กระแสประชานิยมฝ่ายขวาในญี่ปุ่นยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ พรรค LDP แม้จะได้รับความนิยมลดลงแต่ก็ยังเป็นพรรคใหญ่ที่แข็งแรง พรรคฝ่ายค้านแนวซ้ายกลางและเสรีนิยมก็ยังมีที่นั่งมากกว่าพรรคซันเซโต และด้วยระบบการเมืองและเลือกตั้งของญี่ปุ่น ก็ยากที่พรรคฝ่ายขวาที่ชูชาตินิยมแบบสุดโต่งจะชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่งและได้อำนาจบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้การเมืองแบบชาตินิยมสุดโต่งยังไม่ได้กลายเป็นกระแสหลักในญี่ปุ่น แต่เราก็ไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่ากระแสความนิยมต่อพรรคซันเซโตจะจางหายไปหรือไม่ พรรคการเมืองและสังคมญี่ปุ่นกำลังเจอกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ กระแสของพรรคซันเซโตเป็นหนึ่งในสัญญาณบ่งชี้ถึงความท้าทายนี้
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ผลการเลือกตั้งคาดเดาได้ การเมืองสู้กันไปตามระบบภายใต้กติกาที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่าย การเมืองไม่สวิงไปมา ไม่มีการแบ่งขั้วรุนแรงระหว่างขวาจัดหรือซ้ายจัด มีพรรคการเมืองเดียวที่ครองอำนาจอยู่หลายทศวรรษตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกด้วยการเล่นการเมืองแนวทางสายกลางและอนุรักษนิยมแบบอ่อน ๆ และพื้นฐานเศรษฐกิจมีความมั่นคง รัฐเอื้ออำนวยให้ประชากรส่วนใหญ่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี ข้อดีก็คือ สังคมการเมืองปราศจากความขัดแย้งรุนแรง แต่ข้ออ่อนก็คือ ทำให้ชนชั้นนำในภาคส่วนต่าง ๆ นิ่งนอนใจและคิดว่าสภาวะดังกล่าวจะไม่แปรเปลี่ยน
แต่ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะงักงันต่อเนื่อง เงินเฟ้อที่พุ่งสูง สวนทางกับค่าจ้างค่าแรงที่ไม่ขยับ ทำให้ครอบครัวคนธรรมดาในญี่ปุ่นรู้สึกว่าชีวิตมีความลำบากกว่าเดิม เมื่อมาเจอกับข่าวคราวคอร์รัปชันอื้อฉาวของนักการเมือง และการนำที่ไม่มีประสิทธิภาพของพรรครัฐบาล ก็ทำให้คนรู้สึกวิตกกังวลกับทิศทางของประเทศ ในภาวะเช่นนี้ พรรคอย่างซันเซโตก็ฉวยใช้วาทกรรมและเครื่องมืออย่างโซเชียลมีเดียในการสร้างความนิยมให้กับตนเองโดยเล่นกับความรู้สึกอึดอัดของประชาชน ทั้งนี้ วิธีที่จะหยุดยั้งการเมืองแบบขวาจัดและชาตินิยมแบบสุดโต่งได้ชงัดที่สุด ก็คือพรรคการเมืองทุกพรรคต้องเลิกมองประชาชนเป็นของตาย และหันมาฟังเสียงความเดือดร้อนของประชาชนอย่างจริงจัง พร้อมกับนำเสนอแนวนโยบายการแก้ปัญหาทั้งเรื่องค่าครองชีพ สวัสดิการ ค่าจ้าง และแรงงานต่างชาติที่รอบคอบ หนักแน่น และตรงจุด โดยไม่ปลุกปั่นหรือไหลไปตามกระแสชาตินิยมแบบสุดโต่ง ซึ่งมีแต่จะทำให้ปัญหาทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
ภาพประกอบบทความ: AFP