Reading Time: 2 minutes
ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
ไม่มีม้านั่งริมทางในเมืองไพศาลขนาดเมก้าอย่างกรุงเทพ มองเผิน ๆ อาจไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต แม้จะพิลึกพิลั่นที่ทุกเมืองในโลกมีและเราไม่มี แต่พอพิจารณาลึกลงไปนี่กลับเป็นเรื่องชวนตระหนกเอามาก ๆ
เมืองทุกเมืองไม่ว่าที่ไหนล้วนมีประชากรสูงวัย เด็กเล็ก คนป่วย คนท้อง คนพิการ คนที่มีสมรรถนะอ่อนด้อยในระดับต่าง ๆ เราไม่ได้มีแต่คนหนุ่มสาวที่แข็งแรง และบ่อยครั้งคนแข็งแรงเองก็อาจเผชิญปัญหาที่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อยขา เป็นตะคริว สะดุดล้ม บาดเจ็บ เป็นลม หมดสติ ความดันพุ่ง น้ำตาลตก ไปจนถึงหัวใจจะวาย และเหล่านี้คือเหตุผลที่เมืองจะต้องมีม้าที่นั่งสาธารณะ และในการบริหารจัดการเมือง…คนเปราะบางกว่าต้องเป็นโจทย์หลัก แต่เมืองหลวงของไทยแลนด์แดนสมายล์ที่อ้างตัวว่าแสนจะเป็นมิตรอารีอ้อมโอบกว่าใครในโลกกลับไม่มีที่ให้คนได้ม้านั่งริมทางเท้าในโจทย์เมือง

ผังเมืองเองก็ประหลาดอยู่เป็นทุน กทม.เป็นเมืองที่มีซอยตัดทะลุจากถนนไปอีกถนนน้อยมาก แปลว่าคนต้องเดินจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดไกลกว่าที่อื่น ซึ่งนอกเหนือจากเป็นที่มาที่ทำให้รถติดทั้งเมืองยังรุมรมมลพิษกับพีเอ็ม 2.5 ภูมิอากาศร้อนก็ร้อนหนักในตัวเมือง ต้นไม้ริมถนนก็น้อย ไม่พอยังยังบ้าตัดบ่อย ๆ จนแล้ง สองข้างทางก็มีแต่ตึกสูงหรูหราที่ไม่มีกันสาดไร้ร่มเงาที่หลบแดด แล้วไหนจะมีการก่อสร้างไม่หยุดหย่อน บาทวิถีก็เสียรูปผุพังเป็นคลื่นหลุมได้ตลอดเวลา …แม้แต่คนหนุ่มสาวแข็งแรงยังเหนื่อยเดินกว่าที่อื่น ๆ
ที่นั่งพักรายทางที่พอหาได้มีเหลือแค่ป้ายรถเมล์ซึ่งก็ที่ตั้งห่างกันเป็นกิโล มิหนำซ้ำที่นั่งก็มีไม่กี่ที่ แทบไม่พอให้คนรอรถเมล์อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนที่เดินสัญจรผ่านจะมาใช้ ซ้ำร้ายที่นั่งที่ป้ายรถเมล์รุ่นใหม่ยังดันวิตถารทำเป็นทรงเมล็ดข้าว …ป่องกลางสอบเรียวหัวท้าย ด้วยสเตนเลสสตีลราคาแพงเนื้อมันวาวลื่น ๆ ติดตั้งเหมือนคนสติไม่สมประกอบคิด คือเอียงเทจนนั่งแล้วไถลจะหล่นลงจ้ำเบ้าเสียให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันคนจรจัดไร้บ้านมานั่งนอน ดูเอาเถิด เมืองศิวิไลซ์นี้กลัวคนไร้บ้านมากกว่ากลัวจะถูกมองว่าไร้สติปัญญา …และหัวจิตหัวใจ
เมืองใหญ่ทั้งโลกมีเก้าอี้ตั้งเรียงรายริมถนนให้คนนั่งทุกเมืองก็มีคนไร้บ้านเหมือนกันทั้งนั้น และมีมากกว่าไทยแลนด์หลายเท่า แต่นอกจากเขาจะไม่เอาเรื่องไม่เกี่ยวกันมารวมกันเขายังเลือกประชากรเปราะบางก่อน และคนไร้บ้านเองก็รวมอยู่ในกลุ่มคนเปราะบางนั้นด้วย การไร้บ้านของประชากรถูกถือเป็นความล้มเหลวในการบริหารจัดการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นความรับผิดชอบของรัฐที่ต้องให้ความเกื้อกูลประมาณหนึ่ง หากยังไม่สามารถดูแลให้ทุกคนสามารถจ่ายที่จะมีที่อยู่อาศัยได้ …ไม่ใช่ขับไล่ให้พ้นหูพ้นตาจากหน้าถนนเหมือนสุกรสุนัข แล้วหลอกตัวเองว่าคนเหล่านี้ไม่มีอยู่แบบที่นี่
ปัญหาหลักที่ทำให้คนต้องออกมานอนบนถนนคือราคาที่ดินในเมืองที่ถีบตัวสูงขึ้นทุกขณะจิต ซ้ำเติมด้วยปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่ทำให้ประชากรมีรายได้ไม่พอจ่ายค่าเช่า หรือแย่กว่านั้นคือปัญหาการว่างงาน ในเมืองใหญ่ต่อให้ไม่มีงานทำ…คนก็ยังได้สามารถมีอาหารจากความเอื้อเฟื้อของผู้คน …แต่ที่ซุกหัวนอนเป็นอีกเรื่อง คนไร้บ้านหากไม่มีปัญหาทางจิตคนเหล่านี้ก็แทบไม่สร้างปัญหาต่อชุมชนแต่อย่างใด แต่การไร้บ้านยังแปลว่าขาดแคลนที่อาบน้ำและซักเสื้อผ้า และยังรวมถึงไม่มีเงินพอสำหรับซื้อเสื้อผ้าใหม่กับตัดผมเผ้า ซึ่งก็ทำให้คนไร้บ้านดูมอมแมมสกปรก และน่ารังเกียจ
คนไร้บ้านเป็นคนจนเมืองมาก่อน และคนจนเมืองเป็นปัญหาซับซ้อน ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการบริหารจัดการเมืองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการประเทศ เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ การศึกษา ความเจริญ และโอกาสงาน พอทุกสิ่งอย่างของประเทศกระจุกอยู่แต่ในเมืองหลวง เมื่อคนไม่สามารถมีรายได้เพียงพอจะอยู่รอดในแวดล้อม เขาก็ต้องเข้ามาหางานทำในเมือง คนจนเมืองส่วนใหญ่จึงเป็นคนต่างจังหวัดแทบทั้งนั้น และปัญหาที่ไม่เคยถูกพูดถึงก็คือคนเหล่านี้ไม่ได้มีภูมิลำเนาในกรุงเทพทั้ง ๆ ที่ทั้งชีวิตอยู่ในกรุงเทพ …จ่ายภาษี สร้างเมือง แต่ไม่มีโอกาสกระทั่งโหวตเลือกผู้ว่าที่จะมองเห็นพวกเขา
ค่าแรงที่หาได้แน่นอนว่าดีกว่าที่บ้านเกิด แต่ก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของเมือง และหลายคนก็ไม่ได้เข้ามาทำงานเพื่อเลี้ยงแต่ตัวเองแต่ยังมีภาระหาเลี้ยงดูครอบครัวที่ต่างจังหวัดด้วย หลายคนทำงานกลางเมืองแต่ไม่สามารถจ่ายค่าที่พักไหวก็ต้องย้ายไปอยู่ชานเมืองที่ขยายไกลออกไปเรื่อย ๆ และลงเอยต้องจ่ายค่าเดินทางเพิ่มตาม และหลายคนต้องกลายเป็นคนไร้บ้านทั้ง ๆ ที่มีงานทำ แต่ส่วนใหญ่การไร้บ้านคือไร้งาน ตอนมีงานเงินก็หมดไปกับค่าครองชีพ เมื่อไร้งานก็ไม่มีเงินพอจะประคองชีวิตต่อ และพอไร้บ้านก็พาลไร้ที่อาบน้ำซักผ้าและไร้สุขอนามัยอย่างที่เล่า โอกาสที่จะมีงานทำกระทั่งชั่วครั้งชั่วคราวก็ยิ่งยาก วนไปวนมา หลายคนทิ้งบ้านเกิดมาทำงานนานจนครอบครัวกระจัดกระจาย ไร้ญาติขาดมิตรและที่ทำกิน หลายคนมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้ยา ปัญหาชีวิต และครอบครัวเองก็ยากจนไม่สามารถติดตามดูแล
หลังโควิดคนจำนวนมากไร้งาน และปัญหาคนไร้บ้านหนักขึ้นตาม ประเทศที่เจริญแล้วล้วนให้ที่พักพิงคนไร้บ้านเท่าที่ทำได้ เพราะต่อให้ไม่ทำงานทุกคนก็จ่ายภาษีทั้งสิ้น…ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และมีความเป็นประชากรรวมทั้งความเป็นคนอย่างเท่าเทียม บางประเทศออกแบบที่นั่งในสวนสาธารณะให้ดึงออกมาเป็นเตียงให้คนไร้บ้านนอน และพับเก็บเป็นม้านั่งปกติได้ตอนกลางวัน บางประเทศจัดทำคอกพับเป็นที่นอนให้คนไร้บ้านในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และพับเก็บได้ในตอนกลางวันเหมือนกัน หลายประเทศมีตู้ใส่อาหารที่ยังไม่เสียหรือใกล้หมดอายุให้คนเอาอาหารเหลือกินมาใส่ไว้ให้คนไร้บ้านด้วย คนไร้บ้านเป็นความรับผิดชอบของคนทั้งเมืองที่ต้องเกื้อกูล
ที่สำคัญกว่าอื่นใด มันคือทัศนะคติของเมือง เมืองต้องโอบอุ้มผู้อาศัยทุกคน คนรวย คนจน คนแข็งแรง อ่อนล้า เปราะบาง
ต่างจากเมืองเทวดาของเรา ที่ทุ่มเททุกวิถีทาง กระทั่งทำที่นั่งป้ายรถเมล์ที่นั่งไม่ได้ เพื่อไม่ให้คนไร้บ้านถูกมองเห็น พยายามหลอกตัวเองว่ากรุงเทพเป็นเมืองคนรวย เต็มไปด้วยห้างเรืองรอง แต่ไม่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลคนจนเมืองที่เคยเป็นฟันเฟืองและยังคงเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเมืองให้เรืองรอง คนที่เหลือของเมืองจึงสูญสิ้นพื้นที่ที่เป็นชีวิตชีวาของเมืองไปด้วย เพราะที่นั่งริมทางเท้าไม่ได้เป็นแค่ที่พักยามอ่อนล้าเท่านั้น มันยังเป็นที่ที่คนรายได้น้อยที่อาศัยอยู่ในห้องแออัดสามารถออกมานั่งสูดอากาศ ให้ได้หลบเลี่ยงความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ประจำวันในครอบครัวชั่วครู่ยาม
เป็นที่เล็ก ๆ ให้คนทำงานออฟฟิศได้ออกมาพักสมองผ่อนคลายช่วงสั้น ๆ ระหว่างชั่วโมงทำงาน เป็นที่ที่คนทำงานแรงงานได้ใช้นั่งกินข้าวกลางวันแทนที่จะนั่งกินกันตามพื้นห้องน้ำ หรือบรรไดหนีไฟ หรือกระทั่งบนทางเท้าเองอย่างที่เห็นทั่วไปตามหน่วยงานต่าง ๆ เป็นหมุดหมายใช้นั่งรอเพื่อนฝูง เป็นที่นัดพบ เป็นสมาคมเล็ก ๆ ที่ซึ่งคนแก่จะได้เผอิญมีปฏิสัมพันธ์กับคนหนุ่มสาว เด็ก ๆ จะได้เผอิญคุ้นเคยกับคนสูงวัย คนแปลกหน้าได้เผอิญทำความรู้จักกัน หรือกระทั่งคนไม่รู้จักกันจะได้เผอิญตกหลุมรัก
…เป็นที่ที่อาจไม่มีอะไรมากไปกว่าให้คนได้นั่งมองท้องฟ้า อ่านหนังสือ เล่นมือถือ โดยมีคนที่แม้จะไม่รู้จักกันรายล้อมเคียงข้าง ให้ไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป ในเมืองเดียวดายที่ผู้คนใช้ชีวิตแยกกั้นห่างเหินห้องใครห้องมันในรวงผึ้งของตึกคอนโด
ภาพประกอบเรื่อง : ภาณุพัฒน์ บุญรื่น