(เงา)พ่อแม่ในตัวเรา – Decode

(เงา)พ่อแม่ในตัวเรา

Life MattersPlay Read
Reading Time: 3 minutes

ทุกครั้งที่เลือกอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา และต้องมาเขียนเล่าเรื่อง ก็ยอมรับเลยว่า ต้องใช้ความกล้าหาญประมาณนึง เพราะว่ามันต้องเขียนเรื่องราวข้างในของตัวเอง เพื่อเชื่อมโยงกับหนังสือและก็รู้สึกชื่นชมผู้เขียนหนังสือแนวนี้ทุกครั้ง

การเขียนเรื่องข้างในของตัวเองให้คนอื่นอ่าน มันไม่ง่ายเลยเพราะอย่างแรก คือเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ภายในของตัวเอง ยอมรับสิ่งที่เป็น และเขียนมันออกมา แล้วเราก็ดันชอบอ่านหนังสือแนวนี้ซะด้วยสิ

หนังสือเรื่อง พ่อแม่ในตัวเรา เขียนโดย คุณโตมร ศุขปรีชา เป็นอีกเล่มนึงที่เราเลือกที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน และเขียนถึง เอาจริง ๆ  หนังสือเล่มนี้เราสนใจตั้งแต่ที่คุณโตมรโพรโมต Facebook แล้วว่าจะเขียนหนังสือแนว ๆ นี้ เพราะก่อนหน้านี้เราเคยอ่าน และเคยเขียนถึงหนังสือ เรื่อง Toxic Parent มูฟออนชีวิต ถอนพิษพ่อแม่เผด็จการ แต่ถึงเผด็จการอย่างไร พ่อแม่ก็ยังอยู่ในตัวเรา

ทำไม พ่อแม่ ถึงอยู่ในตัวเรา… 

เอาตั้งแต่กายภาพที่มองเห็นได้ด้วยตา คนภายนอกสามารถมองเราเข้ามาตั้งแต่อยู่ในท้อง เห็นผ่านการอัลตราซาวด์แล้วบอกว่า อุ๊ย จมูกโด่งเหมือนพ่อเลย หรือขายาวเหมือนแม่ อะไรทำนองนั้น จนเราโตขึ้นมาก็จะมองเห็นบุคลิก นิสัยใจคอบางอย่างที่เราได้รับการถ่ายทอดมาจากคนที่บ้าน

แต่ก็ใช่ว่าเราจะได้รับมาแต่สิ่งดี ๆ เพราะเด็กยังไม่มีฟิลเตอร์ในการกรองรับสิ่งดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นตอนเด็ก ๆ อะไรที่ส่งต่อมาจากคนใกล้ตัว เด็กจะรับมาทั้งหมด และบ่มเพาะไว้จนกลายเป็นตัวตน

เมื่อโตมา เราก็เริ่มจะพอรู้แล้วแหละว่า นิสัยที่เราเป็นอยู่นี้ มาจากใคร อาจจะทั้งรู้ต้นตอ และไม่รู้ต้นตอว่ามาจากไหน อาจจะทั้งชอบ และไม่ชอบตัวเองที่เป็นอยู่ ซึ่งในหนังสือบอกกับเราว่า สิ่งนี้คือ “มรดกทางอารมณ์” จากคนรุ่นก่อน

ซึ่งในมรดกทางอารมณ์นั้น อาจจะมีส่วนที่ “เป็นพิษ” กับเราจนกลายเป็นบาดแผลในจิตใจ แถมจะหนีก็หนีไม่ได้ เพราะมันเหมือน เงามืดที่คอยตามติดเราตลอดเวลา

*

เคยไหมที่เรา ไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของคนในบ้านเลย

แต่สุดท้าย เราก็กลายเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ไปด้วย ทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

อาจเป็นเพราะเราได้รับมรดกทางอารมณ์นั้นแบบซ้ำ ๆ มาเป็นเวลานาน 

ในนามของความรัก…

โดยมาก การกระทำอะไรก็แล้วแต่ ที่เกิดจากคนในบ้านมักจะอ้างถึงความรัก ว่าที่ทำไปแบบนั้นแบบนี้ก็เพราะรักและหวังดีนะ แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นความรักจริง ๆ หรือเปล่านะ หรือมันเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัวกันแน่

ซึ่งการทำแบบนี้ ก็อาจทำให้ลูกเกิดความสงสัยในตัวเอง สูญเสียความตัวเองไป จนอาจจะถึงกับไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลยก็ได้นะ

มาลองนึก ๆ ดู เราก็คิดว่า ตั้งแต่เด็กเราก็เคยเจอคำพูดบางอย่างจากคนในบ้าน ที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่ค่อนข้างคิดมาก คิดวน ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จนทำให้บ่อยครั้ง เราไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เหมือนกับว่าถ้าเราคิดจะทำอะไรบางอย่าง ให้เราฮึบ แล้วทำเลย โดยที่ยังไม่ต้องบอกเขา นั่นแหละ ถึงจะกล้าลงมือทำ แต่ก็มีเหมือนกันที่บางครั้งพอจะทำอะไร ก็จะมีเสียงของคนในบ้านดังขึ้นมาในหัว

“อย่าทำเลย ทำไม่ได้หรอก”

พอเสียงนี้มันดังขึ้น …ดังขึ้น จนมันดังกว่าเสียงของตัวเรา ท้ายที่สุดอะไรที่เราคิดไว้ว่าจะทำ สุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำจริง ๆ 

การที่เราโดนพูดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ก็เลยประกอบตัวตนเราให้ทำเราก็แอบสุดขั้วเหมือนกัน คืออะไรที่เราคิดมาดีแล้ว เราจะทำเลย แต่ถ้าอะไรที่เราลังเล เราจะคิดแล้วคิดอีก คิดอยู่นั่นแหละ เอาจริง ๆ บางทีเราก็รู้สึกอึดอัดนะที่ตัวเป็นแบบนี้ บางทีเราก็ช่างแม่งเสียงในหัวสำเร็จ แต่บางครั้งก็ไม่สำเร็จ มีบางครั้งที่เราเคยกล้าพูดกับคนที่บ้านในประเด็นนี้ แต่ก็จะมักมีคำพูดที่ถูกพูดขึ้นมา คืออ้างในนามของความรักและความหวังดี

ในหนังสือได้ขยายความ “มรดกทางอารมณ์ เพิ่มเติมว่า มรดกทางอารมณ์นอกจากจะมาจากพ่อแม่โดยตรงแล้ว อาจจะข้ามรุ่นมาก็ได้ เช่น พ่อแม่อาจเคยโดนปู่ย่าตายายทำอะไรบางอย่างมาจนกลายเป็นพฤติกรรมของเขา และส่งต่อพฤติกรรมนั้นมายังเรา เช่น ความกลัวอะไรบางอย่างในพฤติกรรมของพ่อ ทุกครั้งเราจะคิดนะว่าตอนเด็ก ๆ พ่อ ต้องเคยโดนปู่หรือย่า หรือเคยประสพกับเหตุการณ์อะไรบางอย่างมาแน่ ๆ จนทำให้ตอนที่มีลูกกลัวว่าลูกจะโดนแบบนั้น ก็เลยเกิดการห้ามนู่น ห้ามนี่ ซึ่งมรดกทางอารมณ์นี้เรายอมรับเลยว่าบ่อยครั้ง เราไม่ชอบ ไม่ชอบทั้งพ่อที่มีการแสดงออกมาแบบนั้น และไม่ชอบที่ตัวเองเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจอะไรในบางครั้ง

เพราะเรารู้สึกว่ามันกลายเป็นการปิดกั้นความกล้าอะไรบางอย่างในตัวเรา

ในบางครั้งที่เราโต้แย้งอะไรออกไป บางทีก็ดูเหมือนเราไม่เชื่อฟัง แต่ดูเหมือนขัดกับหลักชาวพุทธที่บอกว่าพ่อแม่คือพระในบ้าน ไม่ควรตั้งคำถาม แต่เราคิดว่าบางทีเราก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเสมอไป เพราะเราก็ตั้งคำถาม 

แต่สเต็ปต่อ ๆ ไปคือเราจะจัดการพ่อแม่ในตัวเราอย่างไร

พ่อแม่ที่เป็นพิษกับลูกแบ่งได้หลายประเภท ซึ่งคุณโจนิซ เว็บบ์ ได้นำเสนอภาพของพ่อแม่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Toxic Parents  ไว้ 12 ประเภท แต่ในหนังสือเล่มนี้จะนำเสนอ 3 ประเภท ดังนี้ (ซึ่งจริง ๆ พ่อแม่อาจจะเป็นแบบผสมผสานกันได้ ไม่จำเป็นต้องแบบใดแบบหนึ่งตายตัว) ซึ่ง 3 ประเภทมีดังนี้

พ่อแม่หลงตัวเอง พ่อแม่ที่มีลักษณะแบบนี้มักจะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของตัวเองหรือเกี่ยวข้องกับตัวเอง จะเห็นลูกเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวเอง เช่นลูกต้องเก่ง ลูกต้องเรียบร้อย ซึ่งถ้าลูกประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็จะไม่นับเป็นเครดิตของลูก แต่จะนับเป็นเครดิตตัวเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ลูกโตแบบไม่รู้ว่าตัวเอง มีสิทธิ ที่จะเป็นในแบบที่ตัวเองเลือก ซึ่งเมื่อพ่อแม่หลงตัวเองมากก็จะไม่พยายามทำความเข้าใจอารมณ์ลูก ลูกจึงอาจรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองไม่สำคัญ เพราะถูกพ่อแม่ใช้เป็นเครื่องยืนยันอารมณ์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อพ่อแม่มีความเครียดมักมาระบายกับลูก เพื่อให้ลูกเป็นคนรับฟัง และที่ร้ายกว่านั้นอาจมองว่าลูกเป็นต้นเหตุของปัญหา ซึ่งเมื่อลูกโตมาก็อาจทำให้รู้สึกว่างโหวงข้างใน หรือพยายามทำตัวให้ดีเก่ง เพื่อทำให้ที่บ้านภูมิใจ เพื่อให้คู่ควรกับความรัก ซึ่งพ่อแม่ที่เป็นแบบนี้ ตอนเด็ก ๆ อาจเคยเป็นเหยื่อมาเหมือนกัน แล้วจึงพยายามปลูกฝังให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น จึงคิดว่าการบังคับลูกเป็นสิ่งที่ดี

พ่อแม่บ้าอำนาจ หรือแสดงอำนาจ มีความคาบเกี่ยวกับพ่อแม่ที่หลงตัวเองอยู่ พ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับระเบียบวินัยและหน้าที่มากจนเกินไป จนละเลยอารมณ์ความรู้สึกของลูก จนทำให้ลูกไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมารู้แหละว่าการที่พ่อแม่เป็นแบบนั้น เพราะมักจะอาจว่าหวังดีกับลูก อยากให้ลูกประสบความสำเร็จตามมาตรฐานที่ตัวเองตั้งไว้ แต่พ่อแม่แบบนี้มักจะขาดทักษะการสื่อสาร มักสื่อสารออกมาด้วยคำสั่ง พ่อแม่แบบนี้มักจะโตมาในลักษณะเดียวกัน

พ่อแม่ที่ตามใจลูกมากเกินไป ดูเหมือนพ่อแม่แบบนี้ไม่ได้ท็อกซิก แต่พ่อแม่แบบนี้ส่งผลต่อพัฒนาการของลูก พ่อแม่ที่ตามใจ อาจไม่ได้ใส่ใจลูกจริง ๆ ก็ได้ หลายครั้ง พ่อแม่อาจตามใจเพียงเพื่อให้ตัวเองสบายใจก็ได้ หรือกลัวลูกไม่รักตัวเอง การที่พ่อแม่เป็นแบบนี้ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าพ่อแม่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ที่ถูกสืบทอดต่อกันมา

การที่พ่อแม่เป็นพิษประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายว่าว่าลูกจะต้องเป็นแบบนั้นไปด้วย เช่น พ่อแม่เป็นคนบ้าอำนาจ เผด็จการ ลูกเติบโตมาไม่ได้เป็นคนบ้าอำนาจเหมือนพ่อแม่ แต่อาจจะกลายเป็นคนอีกประเภทนึงไปเลยก็ได้ และอาจส่งต่อข้ามรุ่นกันได้

ถ้าเทียบใน 3 ประเภทนี้พ่อแม่เราก็ไม่ได้สุดโต่งขนาดนั้น อาจจะเป็นแบบนั้นแบบนี้บ้างในบางสถานการณ์ แต่เราก็สังเกตจากตัวเราว่า ถ้าบอกอะไรพ่อพ่อจะชอบห้าม หรือมีคำพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เราไม่กล้า ทำให้เมื่อเราโตมา พ่อจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องที่เรากำลังจะทำ ไม่ใช่ไม่บอก แต่จะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ นั่นเพราะว่าเรารู้เลยว่าถ้าเราบอกเขาแล้ว เขาจะพูดว่าอะไร

จริง ๆ พ่อแม่ที่เป็นพิษยังมีอีกหลายประเภท ซึ่งก็ส่งผลต่อการเติบโตของลูกทั้งนั้น และพ่อแม่ก็มักใช้ข้ออ้างในความหวังดีทั้งนั้น เมื่อลูกได้รับพิษนั้นมาแบบไม่ตั้งใจ ทำให้เรามีบางมุมที่เหมือนกับสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวพ่อแม่แบบไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งนั้นก็เหมือนเป็นเงาที่ตามติดตัวเรา จะสลัดหรือปฏิเสธยังไงก็ทำไม่ได้ เพราะเงามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา แล้วเรากล้าเผชิญหน้ากับเงานั้นหรือเปล่า

แนวคิดเรื่อง เงา มาจากนักจิตวิทยา ที่ชื่อว่าคาร์ล กุสตาฟ จุง ซึ่งเงาไม่ได้หมายถึงในด้านมืดอย่างเดียว แต่ในความหมายของจุงจะหมายถึงด้านที่ถูกกดทับในจิตใจ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธ ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงา คือส่วนหนึ่งของเรา ซึ่งเงานี้จะเป็นด้านที่เราไม่ต้องการให้ใครมองเห็น หรือบางทีเงาอาจเป็นอะไรบางอย่างที่มีอิทธิพลกับเรามาก ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวแต่กลับส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา เช่น ความกลัว อันนี้ถ้ามองจากตัวเราเอง เงาสำหรับเราคือความไม่กล้าตัดสินใจในบางเรื่อง เพราะเมื่อจะตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ มักมีเสียงในหัวลอยมา

ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว ว่ามีเงาบางอย่างตามติดเราอยู่ ถ้าเราไม่รู้จักเงาตัวเองเลย มันก็มีโอกาสที่เงาจะควบคุมเราไม่รู้ตัว อย่างสำหรับเราเงาของเราอาจจะหมายถึงความกลัว กลัวอะไรไม่รู้ เลยทำให้ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ ถ้าเราไม่สนใจเงาของเราเลย มันก็จะยิ่งปล่อยให้เราเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำไมไม่กล้าตัดสินใจนะ แล้วในหลาย ๆ เหตุการณ์เราก็ปล่อยให้มันเป็นไป โดยที่เราไม่ได้ตัดสินใจ แล้วเราก็จะมาหงุดหงิดตัวเอง ในหลาย ๆ ครั้ง การตัดสินใจเผชิญหน้ากับเงา มันไม่ใช่การปฏิเสธหรือการพยายามกำจัด แต่เราต้องมองเห็นเงานั้น และเท่าทันเงานั้น ถ้าเราเห็นเงาแล้วลองพิจารณาเงานั้น เราอาจสามารถดึงเอาพลังงานบางอย่างจากเงานั้นออกมาได้ จริง ๆ สำหรับเราอาจจะไม่ต้องดึงพลังงานอะไรมาจากเงาเลยก็ได้ แค่มองเห็น เท่าทันว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เพราะอะไร อาจจะช่วยหยุดอาการที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้ ซึ่งบางทีในบางเหตุการณ์การมองเห็นเงานั้น ก็ทำให้เราเปลี่ยนได้จริง ๆ อย่างเราไม่กล้าทำอะไรซักอย่างนึง แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ทำเราก็ต้องพยายามอยู่นิ่ง ๆ พิจารณาว่า อะไรที่ทำให้เราไม่กล้าทำสิ่งนั้น ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นไหม ถ้าต้องทำ ค่อย ๆ ทำไปทีละเล็ก ทีละน้อยได้ไหม เพราะบางทีสิ่งที่เราคิดอาจจะดูใหญ่จนเรากลัวไม่กล้าทำ ต้องค่อย ๆ แตกรายละเอียด แล้วค่อย ๆ ทำไปทีละสเต็ปอาจจะดีกว่า        

การเยียวยาตัวเอง บางคนอาจมีบาดแผลลึกจากพ่อแม่เป็นพิษ จริงอยู่ว่ามันอาจสลัดออกไปได้ทั้งหมด แต่อาจเริ่มได้ด้วยการเผชิญหน้า แม้บาดแผลนั้นอาจจะเจ็บปวดเมื่อต้องกลับไปเผชิญหน้า แต่ถ้าเราอยากเยียวยาตัวเองก็ควรกล้าเผชิญหน้าซึ่งในบางคนอาจจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนผ่าน

แน่นอนว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพ่อแม่ของตัวเองได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำได้คือจัดการกับตัวเอง สลัดพ่อแม่คนเก่าที่เป็นพิษกับเรา และเรียนรู้ที่จะเป็นพ่อแม่ให้ตัวเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่างที่เราบอกไปก็คือ มันต้องเริ่มต้นจากการเผชิญหน้ากับบาดแผลตัวเอง ยอมรับความเป็นจริงเสียก่อน ในการเยียวยาตัวเอง แก่นแท้ของมันคือ ให้ความเมตตากรุณากับตัวเองให้มากที่สุด เพราะการเป็นพ่อแม่ให้ตัวเองนั้น คือกระบวนการที่เราจะมอบความรัก ความเคารพ ให้กับเด็กน้อยคนนั้นที่ในสมัย วัยเด็กไม่เคยได้รับ อย่างเช่นชื่นชมตัวเอง เมื่อทำสิ่งดีดี การเยียวยาตัวเองอาจเริ่มจากอะไรง่าย ๆ เช่นการจดบันทึก อารมณ์ความรู้สึกของเราในแต่ละวัน เพราะเมื่อเราเขียนออกมาจากสมองผ่านมือ ตาเราจะเห็น ซึ่งดีกว่าปล่อยฟุ้ง ๆ ผ่านความคิดเราเท่านั้น จริง ๆ มันก็คือวิธีการคุยกับตัวเองอีกวิธีนึง

นอกจากการเขียนแล้ว เราสามารถใช้การอ่านเพื่อทำความเข้าใจได้ด้วย

กระบวนการเยียวยานั้น ต้องใช้เวลา ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องใจเย็น ๆ อย่างถ้าเราเกิดในวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญในเรื่องความกตัญญู พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ แต่ว่า ถ้าพ่อแม่เป็นพิษกับเราล่ะ เราแค่รู้สึกว่าถ้าพ่อแม่เป็นแบบนั้น เราก็มีสิทธิปกป้องตัวเอง เราต้องสร้างขอบเขตของตัวเองว่าแค่ไหนคืออันนี้พ่อแม่กำลังล้ำเส้นนะ แต่นั่นแหละ ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าเราสามารถปกป้องตัวเองได้ เพราะเกิดมาในวัฒนธรรมแห่งความกตัญญู และถ้ายิ่งเราเกิดมาในประเทศที่รัฐสวัสดิการไม่ดี ไม่มีอะไรรองรับผู้สูงวัย แน่นอนว่าพ่อแม่ก็จะยิ่งคาดหวังในตัวลูกมากขึ้นว่าเมื่อยามเขาแก่เฒ่า เราต้องมาดูแล นี่ก็จะยิ่งบีบคั้นตัวเราเองไปอีก การสร้างขอบเขตอย่าทำเพื่อความสะใจ ต้องทำเพื่อจุดประสงค์เพราะดูแลใจเรา และอาจจะเป็นผลดีกับพ่อแม่ด้วย

สำหรับบางคนที่พ่อแม่สร้างความเจ็บช้ำให้ลูก จนบางครั้งมันยากเกินกว่าที่ลูกจะให้อภัยได้ แถมบางครั้งพ่อแม่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำไปนั้นได้สร้างบาดแผลให้ลูก ถ้าถามว่าลูกสามารถให้อภัยพ่อแม่ได้ไหม ดร. ซูซานบอกในหนังสือว่า ลูกสามารถให้อภัยพ่อแม่ที่เป็นพิษได้ แต่การให้อภัยต้องเกิดจากจิตใจที่ราบเรียบปลอดโปร่งจริง ๆ อย่าด่วนให้อภัยเร็วจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ หัวใจสำคัญของการให้อภัย คือให้อภัยเมื่อเราพร้อม และการให้อภัยอาจไม่จำเป็นต้องกลับไปคืนดีเสมอไป แต่อาจเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากความแค้น ความโกรธ การจัดการกับความเจ็บปวดในใจ 

การเยียวยาตัวเอง เป็นสิ่งที่คนอื่นช่วยทำให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องกล้าเผชิญหน้ากับมัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่างไรพ่อแม่ก็ยังอยู่ในตัวเราเสมอ