‘Sham Election’ เพราะยังหวังในประชาธิปไตยและสันติภาพจาก ‘กองทัพเมียนมา’ ไม่ได้ – Decode

‘Sham Election’ เพราะยังหวังในประชาธิปไตยและสันติภาพจาก ‘กองทัพเมียนมา’ ไม่ได้

Crack Politics
Reading Time: 5 minutes

“ผมทำเป็นแค่งานข่าว และก็ชอบทำข่าวด้วย อาจต้องอาศัยความบ้าด้วย ตอนแรกก็มีความกลัวอยู่บ้าง แต่ถ้าเอาแต่กลัวก็คงทำงานนี้ไม่ได้” เนบิวพูดพลางหัวเราะ

แม้การรัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จะพรากอนาคตและชีวิตแสนสงบสุขบนดินแดนบ้านเกิดของผู้คนไปมากมาย แต่เมล็ดพันธุ์แห่งการต่อต้านก็ปลิวกระจายไปทั่วทุกหนแห่งเช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นปลิวไปติดใจ เนมิว นักข่าวชาวเมียนมา หนึ่งในสมาชิกของสำนักข่าว AAMIJ News ที่ก่อตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อ 4 ปีก่อน 

เพียงไม่กี่วันหลังยึดอำนาจ เนมิวเล่าว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตเกือบทั่วประเทศถูกตัดขาด บางคนที่ใช้ได้ก็จำเป็นต้องเปิดใช้ VPN เพื่อปกปิดตำแหน่งอุปกรณ์ที่ใช้ เพราะทุกคนอาจถูกจับโทษฐานที่ใช้อินเทอร์เน็ต คนทำงานข่าวยิ่งแล้วใหญ่ นักข่าวแทบทุกคนจำเป็นต้องหนีการไล่ล่าของกองทัพ ย้ายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อที่จะรับข่าวสาร และยังสามารถทำงานข่าวได้อย่างปลอดภัย “ไม่ต้องสนเลยว่าทหารจะรู้รึเปล่าว่าเราเป็นนักข่าว เราต้องหนีออกจากบ้านไว้ก่อน” เนมิวบอก

International Center for Not-For-Profit Law (INCL) รายงานว่ามีนักข่าวกว่าครึ่งหนึ่งถูกจับกุมภายในสามเดือนแรกหลังการรัฐประหาร เมื่อสิ้นสุดปี 2021 มีนักข่าวอยู่ในเรือนจำมากถึง 73% อย่างไรก็ดี ตัวเลขการจับกุมนักข่าวค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละปีจากการที่นักข่าวหลายคนได้หลบซ่อนตัวและปฏิบัติงานข่าวอยู่นอกประเทศ​ นักข่าวกว่า 50% ถูกจับกุมเพราะบันทึกภาพการประท้วงและรายงานความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยการรวบรวมข้อมูลของ INCL ถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าตลอดสี่ปีภายใต้รัฐบาลทหาร มีนักข่าวกว่า 220 คนจาก 110 สำนักข่าวถูกจับกุม กว่า 176 คนถูกตั้งข้อหาว่ายุยงปลุกปั่น และเผยแพร่ข่าวปลอม มีโทษจำคุกรายบุคคลอยู่ที่ 10-27 ปี และขณะนี้มีอีก 49 คนที่ยังอยู่ในเรือนจำ 

เนมิวเล่าว่า แม้ช่วงแรกเขาจะยังทำข่าวภายในประเทศได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความรุนแรงก็ยิ่งมากขึ้น รัฐบาลทหารและกองทัพเพิ่มมาตรฐานตอบโต้ประชาชนและฝ่ายต่อต้านด้วยอาวุธและกระสุนจริง ตัวเลขของผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจนนับแทบไม่ไหว สื่อถูกครอบงำโดยรัฐ สำนักข่าวอิสระหลายที่ถูกตรวจค้นตลอดเวลา เช่นเดียวกับความปลอดภัยของนักข่าวที่ลดลงทุกขณะ นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เนบิวย้ายออกนอกประเทศ

“สำนักข่าว AAMIJ ของเราก็มีนักข่าวคนหนึ่งที่ถูกจับไป โดนสั่งจำคุก 8 ปี ตอนนี้ก็ยังอยู่ในเรือนจำ” เนมิวบอก

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2023 Myat Thu Kyaw นักข่าวชาวเมียนมาจากสำนักข่าว AAMIJ News ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมขณะรายงานข่าวและถ่ายภาพบนถนน Pansodan ในเมืองย่างกุ้ง ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม ศาลทหารในเรือนจำ Insein ได้ตัดสินจำคุกนักข่าวรายนี้เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหายุยงปลุกปั่น ภายใต้มาตรา 505 (a) แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุว่า “ผู้ที่เผยแพร่ข่าว ข่าวลือ หรือรายงานใด ๆ ด้วยเจตนาว่าข้าราชการ ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกเฉย ละเลยหน้าที่ หรือละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ของตน” จะถือว่าทำความผิด

28 มกราคม 2025 Myat Thu Kyaw ถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 5 ปีครึ่งตามมาตรา 52 (b) ตามกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ที่ไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มที่ก่อความรุนแรง แต่หมายรวมถึงกลุ่มนักกิจกรรม กลุ่มขบวนการอารยะขัดขืน (CDM) ผู้ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้าน หรือแม้กระทั่งนักข่าวที่รายงานหรือให้ความเห็นทางการเมือง ปัจจุบันเขายังคงอยู่ในเรือนจำ และมีแนวโน้มว่าอาจเผชิญข้อหาเพิ่มเติมที่อาจทำให้ เขาต้องอยู่ในเรือนจำสูงสุด 14 ปี

อุณหภูมิของคดี Myat Thu Kyaw ยังไม่ทันลด AAMIJ News ก็ต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลทหารอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลทหารได้ยื่นฟ้อง AAMIJ News ในข้อหา ‘ละเมิดกฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง’ จากกรณีที่สำนักข่าว AAMIJ News รายงานข่าวโดยกล่าวหาว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด คดีความนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง องค์กรสื่อทั้งในประเทศและระหว่างประเทศต่างออกแถลงการณ์ประณาม ‘การใช้กฎหมายเลือกตั้งเป็นเครื่องปราบปรามเสรีภาพสื่อ’

เมียนมาอยู่ในอันดับที่ 169 จาก 180 จากดัชนีชี้วัดเสรีภาพสื่อของโลกในปี 2025 เป็นประเทศที่คุมขังนักข่าวเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน นักข่าวที่เปิดโปงการทำงานของรัฐบาลถูกทรมาน ทุบตี อดอาหาร อดนอน กระทำความรุนแรงทางเพศ และมีนักข่าวชาวเมียนมามากถึง 7 คนที่ถูกประหารชีวิตจากการนำเสนอข่าวและปกป้องเสรีภาพสื่อ

“ในฐานะนักข่าว เราไม่สามารถพูดได้ว่าการเลือกตั้งนี้ถูกหรือผิด แต่ถ้าถามว่ามันเป็นธรรมไหม มันไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน เราแพร่ข่าวเกี่ยวกับผู้สมัครฯ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด พอเผยแพร่ไปเราก็ถูกดำเนินคดีทันทีเลย แต่เรามองว่าประชาชนควรได้รับรู้ว่าผู้สมัครฯ ทำอะไร มาก่อนการเลือกตั้ง และเรื่องที่เราทำก็เป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม” เนมิวบอก

Sham Election ‘การเลือกตั้งจอมปลอม’ ในวิกฤตมนุษยธรรม

‘Sham Election’ หรือ ‘การเลือกตั้งจอมปลอม’ ชื่อเล่นที่เหล่านักกิจกรรม นักวิชาการ และสื่อชาวเมียนมาขนานนามให้กับการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังผู้นำรัฐบาลทหารประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้น โดยเขตการเลือกตั้งจะครอบคลุมทั้ง 330 ตำบลของประเทศ ทั้งพื้นที่ควบคุมของกองทัพ พื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่กองกำลังปฏิวัติ และพื้นที่ที่ไม่เคยจัดการเลือกตั้งมาก่อน อีกทั้งยังมีการใช้ระบบการเลือกตั้ง 2 ระบบผสมกัน คือ FPTP (First Past The Post) หรือ ‘ระบบหนึ่งเขตหนึ่งคน’ และ PR (Proportional Representation) หรือ ‘ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน’ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับภาคประชาชนและนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมาอย่างมาก

พวกเขามองว่า ‘เป็นการแบ่งเขตที่เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคใหญ่ที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร’ มากกว่าคืนอำนาจกลับสู่ประชาชน

โดยการเลือกตั้งแบ่งออกเป็น 3 เฟส ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2025 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2026 ซึ่งเฟสแรกจะเริ่มต้นวันที่ 28 ธันวาคมนี้ในพื้นที่ 102 ตำบล และแม้จะเป็นเฟสแรกที่ครอบคลุมพื้นที่ ไม่ถึง 1 ใน 3 ของประเทศ ก็สามารถเลือกตั้งสภาล่างถึง 48% และสภาสูงกว่า 90%

“เราคิดว่ากองทัพจัดการเลือกตั้งขึ้นมาเพื่อหาทางออกของตัวเอง ไม่ใช่ทางออกของประเทศ”

ความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลทหารสะท้อนผ่านน้ำเสียงของ Dr. Lwan Wai และ Kristen ทีมนักวิจัยจาก Burmar Affairs & Conflict Study และทีมภาคประชาชนที่จับตาการเลือกตั้งครั้งนี้ แน่ล่ะว่าการเลือกตั้งที่จัดขึ้น โดยคณะรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจคงไม่น่าอภิรมย์นัก แต่ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทั้งสองคนชี้ให้เห็น ว่านี่เป็นเพียงละครปาหี่จากกองทัพ ที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองเสียมากกว่า

ย้อนกลับไปช่วงก่อนรัฐประหาร พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้รับคะแนนเสียงถล่มทลายจนแผ่นดินแทบเอียงไปทางซ้าย ซึ่งหนึ่งในนโยบายสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 ที่ถูกเขียนขึ้นโดย State Peace and Development Council (SPDC) ในยุครัฐบาลทหารเต็งเส่ง ซึ่งปัญหาหลักของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 คือการครอบงำทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จของกองทัพ อาทิ ทหารต้องมีนั่งในสภาฯ 25% โดยไม่ต้อง ผ่านการเลือกตั้ง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม มหาดไทย และกิจการชายแดนต้องเป็นทหารเท่านั้น 

ซึ่งอำนาจตามรัฐธรรมนูญนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 เพราะเปิดช่องทางให้กองทัพสามารถกระทำการรัฐประหารผ่านรัฐธรรมนูญ อย่างมาตรา 417 ที่ระบุว่าประธานาธิบดีสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้หากเกิดสถานการณ์อาจทำให้ประเทศ แตกแยก สูญเสียประชาธิปไตย หรือรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ ทว่าการประกาศดังกล่าวจำเป็นต้อง ใช้ความเห็นของ National Defence and Security Council (NDSC) หน่วยงานที่ควบคุมโดยกองทัพ ซึ่งโครงสร้างภายในก็มีทหารกุมเสียงข้างมากอยู่ (6 ใน 11 คน) ขั้นตอนถัดมาที่ถูกบังคับใช้ก็คือมาตรา 418 หรือการถ่ายโอนอำนาจฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการให้ผู้บัญชาการสูงสุด เปิดฉากใหม่ของประเทศที่ถูกบริหารผ่าน State Administration Council (SAC) และพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย

แม้ตามรัฐธรรมนูญ 2008 ระบุไว้ว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นภายใน 6 เดือนหลังรัฐประหาร คริสเตนเล่าว่าในสามเดือนแรกรัฐบาลทหารไม่สามารถควบคุมประเทศและประชาชนได้เลย เพราะเกิดการประท้วงขึ้นทั่วประเทศ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ เข้าร่วมกระบวนการอารยะขัดขืน กลุ่มนักกิจกรรมขยายตัว กลุ่มชาติพันธุ์เริ่มติดอาวุธ นักเรียนนักศึกษาเปลี่ยนมาจับอาวุธ การจัดตั้ง ‘รัฐบาลเงา’ หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (NUG) รวมถึงการต่อต้านและช่วงชิงอำนาจ ในระดับรัฐและพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ จนเป็นเหตุให้รัฐบาลทหารยืดเยื้อและขยายสถานการณ์ฉุกเฉินไปถึง 5 รอบจนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งขึ้นในระยะเวลาที่กำหนด

“มันเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมเลย คนที่ถูกจับไปตอนรัฐประหารก็ยังไม่เป็นอิสระ เขาไม่ได้ให้โอกาสกับทุกคนที่อยากเลือกตั้ง กองทัพก็ยังกดขี่คนในประเทศ แต่ละพื้นที่ในประเทศก็เต็มไปด้วยระเบิด ประชาชนต้องลี้ภัย ไม่มีส่วนร่วม ไม่มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น หรือบอกว่าเขาอยากได้การเลือกตั้งแบบไหน” คริสเตนบอก

The Platform for People Movement รายงานผลสำรวจประชาชนชาวเมียนทั้งในและต่างประเทศ ที่สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งที่จัดขึ้นโดยกองทัพทหาร แม้ตัวเลขผู้ตอบแบบ สอบถามอาจเทียบไม่ได้กับจำนวนประชากรชาวเมียนมาทั้งหมด แต่ผลสำรวจค่อนข้างเป็นที่ประจักษ์ ว่าคนเมียนมาไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยกว่า 98% มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่ทางออกของประเทศ ซึ่งเกือบทั้งหมดแสดงความประสงค์ว่าจะไม่เข้า ร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้

ทีม Burmar Affairs & Conflict Study ได้ลงพื้นที่สำรวจเสียงและความเห็นของชาวเมียนมาที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน กรุงเทพฯ ชลบุรี รวมถึงตำบลมหาชัย กว่า 200 คนสะท้อนความเห็นที่คล้ายกันว่าพวกเขาต้องเผชิญความกดดันจากกองทัพในหลายทาง ทำให้พวกเขามองว่าไม่มีอิสระในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง รวมมาตรการอื่น ๆ ของรัฐบาลทหาร เมียนมา เช่น การบังคับให้แรงงานเมียนมาในไทยส่งเงินกลับประเทศอย่างน้อย 25% ของรายได้ผ่าน ช่องทางหรือธนาคารที่กองทัพอนุญาต ซึ่งนอกจากจะเป็นจำนวนเงินที่สูงแล้ว แรงงานบางส่วนก็มองว่า เป็นการส่งเงินกลับเพื่อนำไปให้ทหารซื้ออาวุธเข่นฆ่าประชาชนเมียนมาด้วยกันเอง

มีแรงงานประมาณ 2-3 คนที่แสดงความกังวลว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจทำให้สถานะแรงงานของ พวกเขาเปราะบางขึ้น และทำให้การทำเอกสารหรือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยยากขึ้นกว่าเดิม แรงงานคนหนึ่งที่ทำงานในประเทศไทยมากว่า 20 ปีสะท้อนว่า เขาไม่เคยเห็นกระบวนการต่ออายุใบ อนุญาตทำงานที่นานขนาดนี้มาก่อน ปกติขั้นตอนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานจะเริ่มตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์และเสร็จสิ้นภายในสองเดือน ทว่าจนถึงตอนนี้ ยังมีแรงงานบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการต่ออายุ รวมถึงการทำบัตรชมพูและหนังสือเดินทาง ซึ่งกลุ่มแรงงานมองว่า ‘พวกเขาอาจต้องใช้สิทธิ์เลือกตั้ง’ ก่อน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถจัดการเอกสารในการอาศัยและทำงานในประเทศไทยได้

คริสเตนเล่าอีกว่า กลุ่มเยาวชนเมียนมาในประเทศก็เผชิญกับความกดดันให้เลือกตั้งเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเยาวชนที่มีอายุอยู่ในช่วงเกณฑ์ทหารที่กองทัพประกาศไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เธอบอกว่าพ่อ แม่ และเยาวชนอาจจำเป็นต้องให้คะแนนเสียงกับกองทัพ เพื่อความอยู่รอดภายใน ประเทศและความปลอดภัยของเยาวชนที่ไม่เข้าร่วมการเกณฑ์ทหาร “สำหรับนักเรียน ถ้าอยากสมัครเรียนก็ต้องลงคะแนนเสียงก่อนด้วยนะ” Dr. Lwan Wai เสริม

Dr. Lwan Wai เล่าเสริมว่า ขณะนี้รัฐบาลทหารเริ่มการเลือกตั้งล่วงหน้าใน 102 พื้นที่ที่เป็นเฟสแรกของการเลือกตั้ง โดยเก็บคะแนนเสียงจากกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มนักแสดง หรือกลุ่มพ่อค้าระหว่างประเทศ ทว่าประชาชนชาวเมียนมาที่ลี้ภัยหรือทำงานในต่างประเทศกลับไม่รู้เลยว่ามีการเลือกตั้งล่วงหน้าเกิดขึ้น 

รวมถึงมีการเปลี่ยนรูปแบบการลงคะแนนจากการเขียนลงบนกระดาษ เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Myanmar Electronic Voting Machine (MEVM) อย่างไรก็ดี ระบบ MEVM ถูกภาคประชาชนและ องค์กรนานาชาติต่าง ๆ ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของคะแนนอย่างหนักหน่วง

คริสเตนเล่าว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา จะมีการเรียกนักเรียน ครู หรือประชาชนไปเป็นอาสาสมัครเฝ้าดูการให้คะแนนและการนับคะแนนอยู่ตลอด แต่เรากลับไม่เห็นอาสาสมัครเหล่านั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือหากมีอาสา เธอก็มองว่าอาจเป็นบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวพันกับรัฐบาลทหารเสียมากกว่า “เครื่องนี้ได้รับการทดสอบหาข้อบกพร่องหลายแสนครั้งแล้ว จนถึงขณะนี้ยังไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ” U Nyi Nyi Lwin รองผู้อำนวยการคณะกรรมการเลือกตั้ง UEC กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่เครื่องลงคะแนนเสียงกว่า 50,000 เครื่องกำลังถูกติดตั้งในเขตเลือกตั้งต่าง ๆ

“ผมบอกเลยว่าความโปร่งใสเป็นศูนย์ เราไม่รู้ว่าหลังบ้านเขาจัดการกันยังไง เรากดสองอาจจะได้หนึ่ง ซึ่งมันก็เคยมีกรณีที่ประชาชนไม่ได้ลงคะแนนเสียง แต่กลับมีรายชื่อไปปรากฏอยู่บนผู้ลงคะแนนเสียง” Dr. Lwan Wai บอก

Election Protection Law คุ้มครองการเลือกตั้งด้วยการ ‘จับกุมประชาชน’ 

ผมสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งแบบหลายพรรคโดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด”

เสียงสุนทรพจน์ของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ถูกประกาศผ่านโทรทัศน์ว่าจะจัดการเลือกตั้งภายใน 6 เดือนหลังจากกระทำการรัฐประหาร แม้จะต้องรอถึงเกือบครบรอบปีที่สี่ การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นจนได้

แต่สิ่งหนึ่งที่พ่วงมาพร้อมกับการประกาศเลือกตั้งคือ ‘Law on the Protection of Multiparty Democratic General Election from Obstruction, Disruption and Destruction’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘Election Protection Law’ กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง

แม้กฎหมายจะเกิดขึ้นเพื่อคุ้มครองการเลือกตั้งไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด แต่ดูเหมือนว่า ‘ข้อผิดพลาด’ ที่รัฐบาลทหารหมายถึง คือการต่อต้านของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งครั้งนี้ กล่าวคือเนื้อหาของกฎหมายมีท่าทีกดปราบประชาชนและสื่อมวลชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง หรือรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้งก็เข้มข้นอย่างมาก รายงานจาก The Irrawaddy วันที่ 27 พฤศจิกายน 2025 พบว่ามีประชาชนกว่า 260 คนถูกจับกุมเพราะต่อต้านการเลือกตั้งของรัฐบาล ทหาร 19 คนถูกจับเพราะทำลายโปสเตอร์เลือกตั้ง 18 คนถูกจับเพราะวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งบน โซเชียลมีเดีย 13 คน ถูกจับเพราะส่งเสริมกิจกรรมต่อต้านการเลือกตั้ง 10 คนถูกจับเพราะขัดขวาง ข่มขู่ ก่อให้เกิดอันตราย หรือลักพาตัว และอีก 200 คนที่เรายังไม่ทราบข้อกล่าวหา

แม้ในช่วงของปูทางไปสู่การเลือกตั้ง ขิ่น โอม่า นักกิจกรรมอาวุโสชาวเมียนมา เล่าว่าในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา พบการโจมตีทางอากาศกว่า 192 ครั้ง มีพลเรือนเสียชีวิต 150 คน และบาดเจ็บ 350 คน มีรายงานอีกว่าพบตัวเลขผู้ถูกการบังคับเกณฑ์ทหาร และการล่วงละเมิดทางเพศที่ยังคงพุ่งสูง 

โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้พลัดถิ่นในประเทศเมียนมาเกิน 4.3 ล้านคน พบการสังหารหมู่กว่า 300 ครั้งโดยพุ่งเป้าไปยังโรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถาน มีประชาชนเสียชีวิตราว 7,000 กว่า 1,300 เป็นเด็ก และอีก 1,900 คนเป็นผู้หญิง ขณะที่จำนวนของนักโทษทางการเมืองก็เพิ่มสูงถึง 22,000 คน และมีมากกว่า 100 คนที่เสียชีวิตจากการถูกซ้อมทรมานและเข้าถึงไม่ถึงการรักษาพยาบาล

“… แม้กระทั่งรัฐบาลพลเรือนอย่าง NLD เราก็ไม่มีประชาธิปไตย เพราะงั้นเราหวังประชาธิปไตยและสันติภาพจากการเลือกตั้งของกองทัพไม่ได้หรอก”

เนมิวคิดอยู่นานก่อนจะตอบ แม้สถานการณ์ในเมียนมาก่อนการประกาศเลือกตั้งจะแย่อยู่แล้ว แต่ประกาศดังกล่าวก็ยังทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ทั้งในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่รับไม่ได้กับการ เลือกตั้งครั้งนี้อยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้อุณหภูมิของการสู้รบในพื้นที่สูงขึ้นอีก

ขณะที่ชีวิตของประชาชนชาวเมียนมาก็เปราะบางลงทุกขณะ เนมิวบอกว่าประชาชนจำนวนมาก แทบไม่มีงานทำ ค่าครองชีพก็ขยับตัวสูงขึ้น หลายคนจำเป็นต้องทิ้งอาชีพที่เขารัก และกลายเป็นแรงงานไร้ทักษะอยู่นอกประเทศ เยาวชนหลายคนก็ถูกจับ ริบเงินจากครอบครัว หรือถูกพาไปเป็นทหารของกองทัพ หรือเข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ แม้พวกเขาต้องเผชิญกับความ เครียดและไม่เห็นด้วยกับการดำเนินงานของรัฐบาลทหารมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยปาก วิพากษ์วิจารณ์ กดไลก์ หรือแสดงความเห็นใด ๆ ได้เลย แม้กระทั่งการเลือกตั้งที่อาจเป็นเพียงครั้งเดียว ที่พวกเขาสามารถ ‘เปล่งเสียง’ ได้ก็ถูกจำกัดไว้เป็นเพียงเสียงในหัว ตอนนี้ร้านน้ำชาในเมียนมา เหลือเพียงเสียงช้อนกระทบแก้ว ไร้เสียงคุยจ้อเรื่องการเมือง

อีกเรื่องที่กังวลคือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐในช่วงการเลือกตั้ง นาว นักข่าวและบรรณาธิการจากสำนักข่าว Mizzima ฉายภาพให้เราเห็นว่า ขณะนี้กองทัพกำลังทำ ‘สงครามข่าวสาร’ กับประชาชน โดยบรรดาสื่อโทรทัศน์หรือสื่อต่าง ๆ ภายในประเทศต่างถูกรัฐบาลทหารควบคุมเบ็ดเสร็จ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลทหารสร้างข่าวปลอมขึ้นมาบนโลกโซเชียลมีเดียเพื่อสู้กับการนำเสนอข่าวของ นักข่าวและสำนักข่าวอิสระของเมียนมา

ในช่วงหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งเฟสแรก The Irrawaddy มีรายงานข่าวหลายฉบับเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ อาทิ คณะกรรมการเลือกตั้ง (UEC) สั่งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พลัดถิ่น (IDPs) จากเขตเลือกตั้งของตนเองลงคะแนนเสียงล่วงหน้าระหว่างวันที่ 25-29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยขู่ว่าจะเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่อาศัยหากไม่ลงคะแนนเสียง เจ้าของโรงงานและแรงงานในย่างกุ้งถูกกดดันให้ลงคะแนนเสียงให้กับพรรค USDP ที่เป็นพรรคนั่งร้านของรัฐบาลทหาร ภาคประชาสังคมในเมียนมากังวลว่ากองทัพอาจใช้ระบบเฝ้าระวังทางอิเล็กทรอนิกส์และระบบ Ai-Biometric มาใช้ในการติดตามการลงคะแนนเสียงของประชาชน ขณะเดียวกันรัฐบาลทหารก็ได้นิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองกว่า 3,085 คนที่ถูกจับกุมหลังการรัฐประหาร โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิเลือกตั้ง ถึงแม้ยังมีผู้ถูกจับกุมจากการวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งก็ตาม

เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา SAC ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ หรือ Cyber Security Law โดยกฎหมายระบุว่า กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารระงับการให้บริการ VPN หรือเครือข่ายส่วน ตัวเสมือน ซึ่งเป็นเหมือนช่องทางสุดท้ายของประชาชนชาวเมียนมาที่จะสามารถรับข่าวสารภายนอกได้ โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีความผิดทางอาญา ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 1-6 เดือน ปรับตั้งแต่ 1-10 ล้านจ๊าด หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเจ้าหน้าที่สามารถยึดอุปกรณ์ของผู้ที่ฝ่าฝืนได้อีกด้วย

โดยกระบวนการที่รัฐทำคู่ขนานไปกับการปราบปรามการใช้อินเทอร์เน็ตนี้ คือการปิดกั้นข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ ทั้งการสู้รบบริเวณชายแดน การทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ หรือกระทั่งตัวเลขการเสีย ชีวิตของประชาชน ซึ่งนอกจากประชาชนจะไม่ได้รับข่าวสารที่แท้จริงแล้ว ยังสร้างความเข้าใจผิดใน ระดับพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับประชาชนได้

“ช่วงนั้นกลุ่มประชาชน กลุ่มต่อต้าน เขาพยายามหาทางด้วยตัวเอง จะหาอินเทอร์เน็ตมายังไง จะรับข่าวสารได้ยังไง ส่วนมากเขาก็จะหาข้อมูลว่าถ้ามีระเบิด จะวิ่งไปตรงไหน หลบภัยตรงไหน แต่ถ้ากองทัพยึดเข้าในพื้นที่ไหน ก็จะมีการล้างสมองด้วยเช่นกัน เช่น บางพื้นที่ก็จะแจกใบปลิวลงมาจากเครื่องบิน ว่าถ้าคุณเจอกับกลุ่ม PDF หรือ กลุ่มต่อต้านอื่น ๆ ให้แจ้งมาที่กองทัพ หากไม่แจ้งคุณจะโดนอะไรบ้าง” นาวบอก

แม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยเลย แม้เสียงคัดค้านของเนมิว Dr. Lwan Wai คริสเตน นาว รวมถึงประชาชนอีก 98% จะไม่สามารถหยุดการเลือกตั้งโดยกองทัพครั้งนี้ได้ แต่ในฐานะ ประชาชนและสื่อก็ต้องไม่หยุดนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน

คริสเตนและ Dr. Lwan Wai ยืนยันว่า ไม่อยากให้สังคมละเลยคำพูดของพวกเราและประชาชนที่ว่า ‘เรารับไม่ได้กับการเลือกตั้ง’ เพราะนี่ไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่เป็นคำพูดที่ทุกคนต้องเสี่ยงชีวิต เพื่อพูดมันออกมา และอีกหลายล้านคนที่เสี่ยงชีวิตตนเองและครอบครัวเพื่อต่อต้านคณะรัฐประหาร

นาวมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่ทางออกของประเทศ ความขัดแย้งระหว่างประชาชนและกองทัพ ก่อร่างสร้างตัวมาตลอด 70 ปีภายใต้โครงข่ายทางการเมืองและอำนาจนำของทหาร รวมถึงความขัดแย้งระหว่างกองทัพและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่พูดถึงอิสระในการปกครองพื้นที่ของตนเอง แม้ข้อเสนอเรื่องสหพันธรัฐในเมียนมายังมีหนทางอีกไกล แต่แนวทางเบื้องต้นที่เนามองว่าประเทศเมียนมาจะสงบลง คือกองทัพต้องออกไปจากการเมือง

ด้านเนมิวเสนอว่า สื่อมวลชนและภาคประชาชนต้องร่วมกันจับตาการลงคะแนนเสียง ว่าการให้คะแนนเป็นไปอย่างชอบธรรมและยุติธรรม เพราะนักข่าวอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะร่วม ประท้วงหรือต่อต้านการเลือกตั้งครั้งนี้ได้อย่างไร แม้เขาจะไม่มีอาวุธครบมือหรือศิลปะการต่อสู้ เขาก็ยืนยันว่า ‘การนำเสนอข่าวอย่างเต็มที่’ นี่แหละที่เป็นการประท้วงที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา

“ผมทำงานข่าวเพราะผมยังมีหวังอยู่ ไม่ใช่แค่ความหวังสำหรับพวกผม แต่เป็นความหวังของคนรุ่นต่อไป ผมเองก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนย่างกุ้ง เธอรักย่างกุ้งมาก และเธอก็อยากมีอนาคตที่ดีในประเทศของตัวเอง” เนมิวยิ้มตอบ