‘ต้นส้มแสนรัก’ วัยเยาว์ที่แหลกสลาย
Reading Time: 3 minutesเมื่อฝันและจินตนาการกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นบนโลกยุคใหม่ ความพ่ายแพ้ถูกมอบให้ใครหลายคนที่ไปไม่ถึงความสำเร็จ แต่ไม่ใช่กับเจ้าหนูเซเซ่ ที่นำทางชีวิตด้วยหัวใจและบาดแผลที่เขาไม่เคยลืม
มันเป็นบ่ายวันธรรมดา ๆ ของการมองเห็น…
ภาพซ้อนภาพตามเวลาในแนวดิ่ง ไม่ใช่ระนาบ
ระหว่าง ยิหวาและเบธ ฮาร์มอน
ระหว่าง ฟลามิงโกสีดำและรุกฆาตสามตาเดิน
ระหว่าง โรงเรียนเด็กกำพร้าและป่าดึกดำบรรพ์
ระหว่าง โลกสีน้ำเงินของการตื่นกับโลกสีดำของการหลับ ปรากฏและเกิดขึ้นในเวลาของการกักตัวในอาณานิคม 29 ตารางเมตรย่านประชาชื่น งุนงงยุ่งเหยิงและพบว่า การมองเห็นในหนึ่งหลับเมื่อครู่ถูกนำเข้าด้วย ประโยคของความคิด มวลสารของความฝัน อาการตกค้างจากความทรงจำ เป็นวัตถุดิบที่รับใช้ Dream Production ของฉันให้ผลิตออกมาในรูปนามของความฝันทั้งที่ยังตื่น
ไม่มีเวลาอื่น นอกจากเวลานี้ เวลากลับไม่ใช่สิ่งที่ต่อเนื่อง แต่เป็นหน่วยสัมพันธภาพที่อยู่ในแนวตั้งจากบนลงล่าง มีห้วงขณะและเหตุการณ์ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ เหมือนอาการจอสั่นภาพซ้อนของไอโฟน 7 ไม่ต่างจากโลก(โควิด)ที่ยุ่งเหยิง แบ่งแยก
ปรากฏและเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันหลังดูซีรีส์ The Queen’s Gambit เรื่องราวของ ‘เบธ’ เด็กกำพร้าวัย 9 ขวบที่สูญเสียแม่จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เธอต้องอาศัยบ้านเด็กกำพร้าและได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ ศาสนา และยากล่อมประสาทสู่วงการหมากรุกในยุค 50-60’s ที่หมากรุกยังเป็นเกมสำหรับผู้ชาย
“กระดานหมากเป็นโลกทั้งใบที่ถูกย่อส่วนให้เหลือ 64 ช่องที่ฉันควบคุมมันได้ และเดาทางได้” วรรคทองของเบธที่ทำให้ฉันเห็นอีกด้านหนึ่งของการมีชีวิตอยู่เพื่อเสรีภาพในการปกครองตัวเอง
เพราะชีวิตจริงไม่ได้ดีเหมือนฝัน โลกทั้งใบของเบธ จึงชัดเจนกับการควบคุมกระดาน 64 ช่องให้เป็นไปตามต้องการ แต่กลับพล่าเลือนเมื่อมองเห็น “แม่” ในความคิด ความฝัน และความจริง ชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเบธจึงเคลื่อนที่ไปด้วยอัตราเร่งของการเติบโตในรูปของการแข่งขันที่ยากขึ้น และการปกครองตัวเองในโลกของการตื่น และโลกของการหลับที่ซับซ้อน สับสน และวนซ้ำ
เพราะสำหรับเด็กบางคนการเติบโตก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดน้อยลง
ปรากฏและเกิดขึ้นในเวลาที่ตกตะกอนความคิดจากการอ่านหนังสือ “ทะเลสาบน้ำตา” ผลงานลำดับที่ 3 ของพี่แหม่ม วีรพร นิติประภา ออกตัวไว้ก่อนว่า ที่ฉันเลือกหยิบยกสองตัวละครนี้มาเล่าเรื่องและตีความใหม่ไม่ใช่เพราะรับรสและได้กลิ่นเด็กกำพร้าของเบธ และยิหวา (ตัวละครเอกในทะเลสาบน้ำตา)หรอก แต่เพราะเธอต่างถูกสาปให้แปลกแยกนับแต่วันที่แม่หนีไป
มันเป็นบ่ายวันธรรมดาๆ
ภาพตรอกมอซอในเย็นวันที่แม่หนีออกจากบ้าน
ซ้อนลอยขึ้นเหนือฉากหลังของป่าดึกดำบรรพ์ตรงหน้า
ฟลามิงโกที่หายไป หางปลากัดที่แหวกว่ายในอากาศ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างพล่าเลือนละลายไปเหมือนภาพสีน้ำ 148 x 210 มม.ที่ฉันวาดมันจากสีอะคริลิคผสมลายเส้น ฝัน…มันเป็นฝันของเด็กวัยสิบสอง และสิบสามตามลำดับ
เด็กหญิง เริ่มรู้ตัวว่า มีน้ำตาเอ่อล้น ผุดลุกผุดนั่งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตื่นดี งุนงงกระพริบตาไล่ความฝันอันยุ่งเหยิง
เด็กชาย อีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ ดิ่งจมไปในดวงตาที่เห็นแม่ ในลมหนึ่งกรรโชกก่อนจะสำเหนียกว่า แม่ที่เห็นเป็นแค่เงาสะท้อนตัวเองบนผิวครอบแก้ว ความทรงจำผุดย้ำไม่ทันตั้งตัวฉุดเด็กกำพร้าทั้งสองคนขึ้นจากภวังค์ กลับเข้าสู่โลกของความจริงและความทรงจำที่กระท่อนกระแท่น บนร่องรอยของจดหมายน้อยที่ทิ้งไว้
“รออยู่นี่นะหวา อย่าไปไหนทั้งนั้น ฉันจะไปตามหาความรัก…เดี๋ยวมา”
แม่เขียนทิ้งไว้ในกระดาษห้วนสั้นไร้อารมณ์ มันต้องเป็นความรักแบบไหน ถึงทิ้งกันไปแบบนี้ น่าจะเป็นคำถามที่ถามแทนคนอ่านได้ตรงใจที่สุด ไม่นับความแยบยลในการร้อยรอยต่ออันบอบบางระหว่างหลับและตื่นของเด็กที่ทำตัวเองหายไป
ทุกตัวอักษรของพี่แหม่มมีอิทธิพลต่อฉันในการได้ยิน ได้กลิ่น และได้มองเห็น
ตีความ ถอดรื้อความหมายของ “เมืองกระจกในสภาพโรคระบาด” และความเจ็บปวดของเด็กที่ทำตัวเองหายไปจาก สำหรับฉันตีความ “เมืองกระจก” เป็นภาพตัวแทนของ “สังคมทุนนิยม” สังเกตจากคำบอกเล่าของคุณยายไลลา ตัวละครในเรื่องบอกเล่าถึงลักษณะอย่างหนึ่งของเมืองกระจกว่า อยู่ในสภาพของโรคระบาด
“โรคลืมเลือน คนที่นั่นพากันลืมว่าตัวเองมีอะไร มีแล้วก็หาซื้อใหม่อีก ซื้อของอย่างเดิมซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ชิ้น เอาแต่เร่งรีบ ไม่มีเวลาคิดอะไร พวกเขาคิดว่าเวลาของเขามีราคาแพง แต่เวลาของคนอื่นอย่างพวกเรา ๆ น่ะเขาตีราคาถูกจะตาย” ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่ยิหวาจินตนาการว่า มันน่าจะเป็นเมืองที่สวยงาม จึงไม่เคยเข้าใจว่า ทำไมแม่จึงอยากไปอยู่ที่นั่น ดูภายนอกอาจเป็นน้ำเสียงของความสงสัย แต่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหวภายในความโดดเดี่ยว เงียบหาย
คิดเล่น ๆ ว่า ถ้าเบธกับยิหวามาเจอกันในวัยสิบสาม จะคุยกันเรื่องอะไร…
ความโดดเดี่ยวกับความทรงจำที่เกี่ยวกับ “แม่” อาจเป็นหนึ่งในบทสนทนานั้น
ถ้าการลืมเลือน อยู่ขั้วตรงข้ามกับ ความทรงจำ ทุนนิยมมีราคาที่ต้องจ่ายสักกี่มากน้อย…
สำหรับฉันแล้ว อาการลืมเลือน เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เป็นผลไม้พิษสำหรับคนที่หิวกระหาย ขัดแย้งกับความฝัน ผลักไสให้เราไม่ลงรอยกับความทรงจำ มาถึงตรงนี้พอจะเข้าใจเบธและยิหวาว่า ทำไมถึงยินยอมให้อยู่ใต้อาณัติของความทรงจำที่ง่อนแง่นคลอนแคลน
เช่นเดียวกับเราที่อกหักจากทุนนิยมจมดิ่งกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ผลิตซ้ำ แยกห่าง ต่างกันเพียงแค่…คุณและฉันไม่ยินยอมรับสภาพนี้
อาจเป็นหายนะจากการจมน้ำ…
ผลพวงจากคลื่นลมมรสุมโควิด เรือทุนนิยมกำลังอับปางกลางมหาสมุทรเกินกว่าจะคาดคะเนความกว้าง ลึก และซับซ้อน แต่เดาได้ไม่ยากว่า ผู้คนบนเรือจะโกลาหลขนาดไหนก่อนที่เรือจะค่อย ๆ ดิ่งจม ตามมาด้วยอาการแทรกซ้อนจากการจมน้ำทะเลเป็นเวลานาน ถ้าเป็นไปตามการคาดการณ์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ว่า วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลต่อเนื่องยาวนานจนทำให้สถานการณ์ความยากจนเลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะมากกว่าหรือเท่ากับโลกสีน้ำเงิน ใน “ทะเลสาบน้ำตา” ที่ใช้สีน้ำเงินเป็นเส้นแบ่งความจริงออกจากความฝัน หรือมากไปกว่านั้นอาจเป็นเส้นแบ่งคนรวยกับคนจน
สร้างสภาวะแปลกแยกจากระบบที่สัญญากับประชาชนว่า จะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัว ก็จะพบ ครอบครัวแตกแยก แม่ทิ้ง โอกาสเป็นของคนที่มีความสามารถพิเศษ และหวังว่าทุนนิยมจะมีแต่เรื่องโชคดี ยิ่งรัฐเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแข่งขันมากขึ้น ยิ่งดูเหมือนคนกลุ่มเดียวที่ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ จากเสรีภาพที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายย่อย และประชาชนคนธรรมดา กลับมีเสรีภาพลดลง โดยเฉพาะเสรีภาพในการรับรู้ และเสรีภาพในการแข่งขันที่เป็นธรรม ใต้คลื่นลมของทุนนิยมสีน้ำเงินพัดแรง และพาเราไปไกลจากที่เดิม
ดูเหมือนว่า ยิ่งไกลเท่าไหร่ ยิ่งแปลกแยก และลืมเลือน
ปลุกปลอบตัวเองด้วยความฝัน โอบกอดความพยายาม ปางตาย แทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์
เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ฉันจึงดูแคลนการยอมจำนนต่อเสรีภาพที่ปราศจากโอกาส